เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1593 ความเปลี่ยนแปลงในเมืองชิงอวี้
ตอนที่ 1,593 ความเปลี่ยนแปลงในเมืองชิงอวี้
กองทัพปีศาจถอนกำลังออกไปจากเมืองชิงอวี้ในเวลาสามวันจริง ๆ
ไม่มีผู้ใดทราบว่าพวกมันจะถอนกำลังไปที่ใด
เมื่อผ่านพ้นวันที่สาม ก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นเผ่าพันธุ์ปีศาจในเมืองชิงอวี้อีกแล้ว
และเผ่าพันธุ์อสูรก็เช่นกัน
ราชาอสูรวาฬและพรรคพวกของมันก็หายตัวไปจากเมืองชิงอวี้
มีเพียงอวี้เหวินซิวเซียนอดีตอัจฉริยะอันดับหนึ่งประจำเมืองชิงอวี้เท่านั้นที่ยังคงมาปรากฏตัว ณ งานศพของหวังซือเฉาก่อนหมดเวลาครึ่งชั่วยาม แม้จะต้องพบเจอการก่นด่าสาปแช่งจากอดีตมิตรสหายร่วมสำนักเป็นจำนวนมากก็ตาม
สุดท้าย เขาก็เดินมาหาหลินเป่ยเฉิน
ดวงตาของทั้งคู่ประสานกัน
“อันที่จริงนั้น…”
อวี้เหวินซิวเซียนลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็พูดออกมาอยู่ดี “คัมภีร์ที่ข้าให้เจ้าไป มันจะช่วยทำให้เจ้าสามารถทำลายคำสาปของผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่พูดคำใดออกมา
เพราะเขาก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว
เนื่องจากในตอนนั้นพวกเขาเพิ่งพบหน้ากันเป็นครั้งแรก จึงไม่มีเหตุผลที่อวี้เหวินซิวเซียนจะส่งมอบคัมภีร์ออกมาอย่างไม่มีความหมาย
“เผ่าพันธุ์ปีศาจของเรายินดีต้อนรับเจ้าเสมอ”
ในน้ำเสียงของอวี้เหวินซิวเซียนปรากฏความคาดหวังอยู่ไม่น้อย “เจ้าเพิ่งมาถึงที่นี่ เจ้าไม่รู้หรอกว่าพวกเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ได้ดีเลิศอย่างที่เจ้าคิด หากวันใดวันหนึ่งที่เจ้าทนรับพวกเขาไม่ไหว… จงรู้ไว้เสมอว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจของเรายินดีต้อนรับเจ้าตลอดเวลา”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มและตอบกลับไปว่า “ยังไม่รีบไปอีก เดี๋ยวก็ตกรถเอาหรอก”
อวี้เหวินซิวเซียนหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายศีรษะเบา ๆ และหมุนตัวเดินจากไป
วันต่อมา เมื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจถอนกำลังออกไปหมดสิ้น เรือเหาะลำหนึ่งก็ได้มาลอยลำปรากฏตัวอยู่เหนือภูเขาอวิ๋นเจวี่ยน
เป็นผู้ส่งสาส์นจากอาณาจักรหลิวเยวียน
เมืองชิงอวี้ถึงกับสั่นสะเทือน
“เกิดข่าวลือว่ากองทัพปีศาจออกอาละวาดภายในเมืองนี้ พวกเราคือกองกำลังสนับสนุนที่จะมาช่วยเหลือพวกท่าน...”
ผู้ส่งสาส์นที่ยืนอยู่บนหัวเรือเหาะพูดออกมาเสียงดัง
ข่าวแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว
ผู้คนเกิดความรู้สึกต่าง ๆ นานา
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็หัวเราะในลำคอด้วยความเย็นชา “ผู้คนล้มตายกันหมดแล้ว เพิ่งจะมาโผล่หัวเนี่ยนะ”
เรือเหาะที่ลอยลำอยู่เหนือภูเขาอวิ๋นเจวี่ยน มีนามว่าเรือเหาะหยางเว่ย
ผู้บังคับบัญชาเรือเหาะหยางเว่ยและเป็นหัวหน้ากลุ่มกองกำลังที่จะมาช่วยเหลือผู้คนในเมืองชิงอวี้ คือท่านข้าหลวงใหญ่จากอาณาจักรหลิวเยวียน มีนามว่าเหยียนอวี้หลง
ระบบการปกครองของผู้คนยังคงแบ่งตามลำดับชั้นของตำแหน่ง
แม้ว่าตามดินแดนต่าง ๆ จะมีระบบการปกครองที่แตกต่างกันออกไป แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็มักจะปกครองกันตามระบบที่องค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์คิดค้นขึ้นมา
อาณาจักรหลิวเยวียนก็เป็นหนึ่งในนั้น
ด้วยเหตุนี้ ขุนนางที่มีตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ จึงถือเป็นคนใหญ่คนโตภายในเมืองชิงอวี้
เพราะไม่ใช่ว่าใครก็เข้ารับตำแหน่งขุนนางกันได้ง่าย ๆ
นอกจากจะต้องมีความฉลาดปราดเปรื่องแล้ว เรื่องพลังยุทธ์ก็ต้องบรรลุขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นกัน
แต่ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าเมื่อบรรลุขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วจะสามารถไปสอบเข้ารับตำแหน่งขุนนางได้สำเร็จ
อย่างเช่น ผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งในเมืองชิงอวี้อย่างหวังซือเฉา เขามีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้ารับตำแหน่งขุนนาง ชายชราเคยยื่นเรื่องขอเข้ารับตำแหน่งอยู่หลายครั้ง และเคยเข้าร่วมการสอบขุนนางอีกหลายครั้งเช่นกัน แต่ทุกครั้งก็จบลงด้วยความล้มเหลว
ดังนั้น การปรากฏตัวของท่านข้าหลวงใหญ่เหยียนอวี้หลงจึงถือเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเมืองชิงอวี้
ท่านเจ้าสำนักทั้งหลายต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่หน้าสำนักกระบี่เหินฟ้า เพื่อรอต้อนรับท่านข้าหลวงใหญ่เหยียนอวี้หลง
ทำไมต้องเป็นที่สำนักกระบี่เหินฟ้า?
เพราะว่าภูเขาอวิ๋นเจวี่ยนซึ่งเคยเป็นตำแหน่งที่ตั้งของสำนักเฉาเทียนถูกพวกเผ่าพันธุ์ปีศาจทำลายล้างไม่เหลือความสวยงาม บรรยากาศของสถานที่นั้นชวนให้รู้สึกเศร้าสลดหดหู่ใจ
ท่านข้าหลวงใหญ่ไม่ชอบสถานที่อัปมงคล
ดังนั้น เหยียนอวี้หลงจึงออกคำสั่งให้ผู้คนมารอตนเองอยู่ที่หน้าสำนักกระบี่เหินฟ้า ซึ่งจะเป็นที่พำนักชั่วคราวของเขา
เรือเหาะหยางเว่ยลอยลำมาจอดอยู่เหนือยอดเขาเจียนล่าย เงาของมันทอดทับลงมาบนพื้นดิน ไม่ต่างจากเงาของปลาวาฬในมหาสมุทร
ตลอดระยะเวลาสามวันให้หลัง ยอดเขาเจียนล่ายมีบรรยากาศที่คึกคักเป็นอย่างยิ่ง
บรรดาคนใหญ่คนโตทั่วเมืองชิงอวี้ต่างก็มารวมตัวกันตั้งแต่บริเวณตีนเขาจนถึงระหว่างทางขึ้นเขา เพื่อเข้าแถวรอเข้าพบกับท่านข้าหลวงใหญ่ เพื่อที่จะได้ส่งมอบของขวัญให้แก่อาคันตุกะคนสำคัญจากอาณาจักรหลิวเยวียนผู้นี้
แต่คนกลุ่มแรกที่ได้เข้าพบท่านข้าหลวงใหญ่ ก็คือกลุ่มชนชั้นเจ้าสำนักที่รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองชิงอวี้ก่อนหน้านี้
ผู้คนเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินจะต้องถูกเรียกตัวเข้ามารับความดีความชอบเป็นแน่แท้
แต่สิ่งนั้นกลับไม่เกิดขึ้น
เพราะตลอดสิบวันให้หลัง เหยียนอวี้หลงไม่เคยแสดงท่าทีว่าจะเรียกตัวหลินเป่ยเฉินมาเข้าพบเลยสักครั้ง
แน่นอนว่าหลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้อยากจะรับคำเชิญไปเข้าพบอยู่แล้ว
เขากลับมาใช้ชีวิตเงียบ ๆ อยู่ที่บ้านพักของตนเองและถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ปรับพลังในร่างกายให้พร้อมสำหรับการออกเดินทางไปสู่ภพภูมิดาราจักร
ณ ปัจจุบัน สถานการณ์ของอาณาจักรหลิวเยวียนมีแต่สงครามและความวุ่นวายโกลาหล ตัวเขาเปรียบเสมือนปลาตัวเล็กตัวน้อย หากไม่ระมัดระวังตัวเพียงนิดเดียว ก็อาจจะกลายเป็นอาหารของฉลามใหญ่โดยไม่รู้ตัว
อย่างเช่นท่านข้าหลวงใหญ่เหยียนอวี้หลงนั่นไงล่ะ
อยู่ดี ๆ ก็โผล่มาเช่นนี้ มีเจตนาอะไรก็ไม่รู้
หลินเป่ยเฉินไม่สนใจแม้แต่น้อย
เขาไม่อยากรู้ว่าอีกฝ่ายมาเพราะเหตุใดและก็มีความประทับใจแรกกับขุนนางผู้นี้ที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ด้วย
กาลเวลาผ่านไป
บรรยากาศของผู้คนในเมืองชิงอวี้ก็เริ่มเปลี่ยนแปลง
วันที่สิบเอ็ด
ในที่สุด ท่านข้าหลวงใหญ่เหยียนอวี้หลงก็ออกมาปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน และยินดีให้ผู้คนทั่วไปได้เข้าพบตามใฝ่ฝัน
“นี่หรือคือคนที่พวกท่านยึดถือเป็นวีรบุรุษ”
ขุนนางร่างอ้วนกล่าว
หลังจากนั้น ภายใต้การจ้องมองของผู้คนจำนวนมาก เหยียนอวี้หลงก็เหินกายพุ่งร่างตรงไปยังยอดเขาที่อยู่ห่างออกไป ซึ่งเป็นที่ตั้งกระท่อมไม้ของหลินเป่ยเฉิน
นี่คือเหตุการณ์ครั้งสำคัญ
หลายคนอยากเห็นภาพที่วีรบุรุษประจำเมืองจับมือร่ำสุรากับท่านข้าหลวงใหญ่ และภาพฝันหลังจากนั้นก็คือหลินเป่ยเฉินกับเหยียนอวี้หลงจะช่วยกันฟื้นฟูเมืองชิงอวี้ให้กลับคืนมาจากความพังพินาศที่พวกเผ่าพันธุ์ปีศาจสร้างเอาไว้อย่างรวดเร็ว
แต่หลินเป่ยเฉินกลับไม่ยอมมาเข้าพบท่านข้าหลวงใหญ่
หวังจงผู้ลาออกจากตำแหน่งประมุขคฤหาสน์เซินซุยกลับไปรับตำแหน่งพ่อบ้านข้างกายเด็กหนุ่มอีกครั้ง และขณะนี้ พ่อบ้านชราก็กำลังออกมาต้อนรับเหยียนอวี้หลงด้วยความกระตือรือร้น แต่ด้านหลังก็มีกลุ่มคนที่น่าจะเป็นองครักษ์และคนรับใช้ยืนเรียงรายอยู่หลายสิบชีวิต
แม้แต่ท่านเจ้าสำนักใหญ่ทั้งหลายก็ยังไม่มีผู้คนรายล้อมรอบกายเยอะเท่ากับหวังจงด้วยซ้ำ
ลานดินหน้ากระท่อมจึงเต็มไปด้วยผู้คนหนาแน่น
ดังนั้น บรรดาคนใหญ่คนโตและหัวหน้าสำนักต่าง ๆ ที่ติดตามมารับชมสถานการณ์จึงต้องยืนรออยู่นอกรั้วไม้
แต่สิ่งที่ผู้คนคิดไม่ถึงก็คือการพบปะครั้งประวัติศาสตร์ในครั้งนี้กลับจบลงอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น ท่านข้าหลวงใหญ่เหยียนอวี้หลงก็เดินออกมาจากกระท่อมไม้ของเด็กหนุ่ม ไม่ว่าจะเป็นลักษณะสีหน้าท่าทางหรือท่วงท่าในการเดินเหิน ล้วนบอกถึงความเดือดดาลขั้นสุด
ท่านข้าหลวงใหญ่เหยียนอวี้หลงเหินร่างจากไปด้วยความฉุนเฉียวและรีบร้อน
“???”
บรรดาคนใหญ่คนโตที่ยืนรออยู่นอกรั้วกระท่อมได้แต่หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
เกิดอะไรขึ้น?
การพูดคุยมีปัญหาอย่างนั้นหรือ?
เหตุไฉนการพบกันครั้งนี้จึงจบลงอย่างไม่มีความสุข?
หลายคนอยากเข้าไปสอบถาม แต่ก็กลัวจะโดนหลินเป่ยเฉินไล่ตะเพิดออกมา