เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1596 ข้าขอยอมรับผิด
ตอนที่ 1,596 ข้าขอยอมรับผิด
ณ ลานหินนอกห้องพิจารณาคดี
กลุ่มคนแตกแถวแหวกออกเป็นทาง
บรรดาบุคคลที่มีชื่อเสียงภายในเมืองชิงอวี้ซึ่งได้รับเชิญมาร่วมรับฟังการพิจารณาคดีของหลินเป่ยเฉินมีจำนวนไม่ต่ำกว่าสี่พันคน และตำแหน่งที่ยืนในลานหินก็จะแบ่งแยกตามสถานะความสูงส่ง
แต่แล้วหลินเป่ยเฉินก็ปรากฏตัวขึ้นมา
ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างแตกต่างมากกว่าทุกคน
เด็กหนุ่มปรากฏตัวมาในลักษณะที่ขี่อยู่บนหลังของเจ้าเสือเสี่ยวหู
การเดินทางโดยการขี่หลังเสือนั้นอย่างแรกคือสะดวกสบายและมันยังส่งเสริมภาพลักษณ์ให้ดูสูงส่งอีกด้วย
หลินเป่ยเฉินย่อมไม่เคยปรากฏตัวในรูปแบบธรรมดาอยู่แล้ว
ด้านหลังของเขาติดตามมาด้วยผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนซึ่งมีสีหน้าวิตกกังวลและร้อนใจ ตามมาด้วยเซียวปิงซึ่งกำลังรับประทานขาหมูทอดอย่างเอร็ดอร่อย
นักพรตหญิงชินกับอากวงไม่ได้ติดตามมาด้วย
เนื่องจากต้องอยู่เฝ้ายอดเขาหลิวหลี่
เมื่อพบเห็นการปรากฏตัวของหลินเป่ยเฉิน ผู้คนที่รวมตัวกันอยู่ในลานหินก็แตกแยกออกราวกับพบเจอเชื้อโรคน่ารังเกียจ เส้นทางที่ทอดสู่ห้องพิจารณาคดีจึงเปิดกว้างโดยทันที
มีเพียงเยว่อู๋เซี่ย ประมุขรักษาการณ์ของค่ายน้ำอ่าวจันทรา โจวโจ่วหัวหน้าพรรคกระบี่เลื่อมพรายและผู้อาวุโสใหญ่แห่งค่ายภูเขาอวิ๋นอู่เหอเจิ้งชิงเท่านั้นที่เข้ามาทักทายหลินเป่ยเฉิน
รวมถึงองค์ชายเจี้ยนอวี่กับหลงหน่าด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะสองคนหลังก้าวเข้ามายืนหยัดเคียงข้างหลินเป่ยเฉินพร้อมสนับสนุนเขาเต็มที่
เสียงกระซิบพูดคุยในลานหินเงียบลง
ภายใต้แสงตะวันยามเที่ยง ลานหินกลับเงียบสงบยิ่งกว่าสุสานยามเที่ยงคืน…
แน่นอนว่าบรรยากาศรอบตัวไร้การเคลื่อนไหว
แม้ภาพลักษณ์ของหลินเป่ยเฉินจะเสื่อมเสียลงไป แต่ก็ไม่เคยมีผู้ใดข้องใจเกี่ยวกับความสามารถและความแข็งแกร่งของเขา
หลายคนยังจำได้ดีถึงเหตุการณ์ที่หลินเป่ยเฉินเกิดความขัดแย้งกับเหออู่ซาง ผู้เป็นหัวหน้าค่ายภูเขาอวิ๋นอู่ และหลินเป่ยเฉินก็จัดการสังหารผู้คนอย่างง่ายดายยิ่ง
ไม่มีใครอยากดำเนินการตามรอยเดิมของเหออู่ซาง
ดังนั้น ผู้คนจึงปิดปากเงียบ
ที่เหออู่ซางต้องถึงแก่ความตายก็เพราะพูดมากเกินไปไม่ใช่หรือ?
ดูเหมือนหลินเป่ยเฉินจะไม่ชอบให้ผู้ใดขัดจังหวะ
ในกลุ่มผู้คน เหยียนซานซิงกับนักบวชสวีจิงยืนอยู่ด้านหลังสุด ปิดบังพลังลมปราณและซ่อนเร้นตัวตน เนื่องจากกลัวว่าหลินเป่ยเฉินจะรับรู้ว่าพวกตนเองอยู่ที่นี่และอาจจะบุกเข้ามาโจมตีได้
แต่หลินเป่ยเฉินเพียงกวาดสายตามองกลุ่มคนอย่างผ่าน ๆ เท่านั้น สุดท้าย สายตาของเด็กหนุ่มก็ไปหยุดอยู่ที่ประตูทางเข้าห้องพิจารณาคดี
สองข้างฝั่งของประตูยืนเรียงรายด้วยองครักษ์ของท่านข้าหลวงใหญ่เหยียนอวี้หลง
ท่านข้าหลวงใหญ่เหยียนอวี้หลงในชุดเสื้อคลุมสีม่วงก้าวเท้าออกมา ตามด้วยหัวหน้ากลุ่มองครักษ์อวิ้นหง
“คารวะท่านข้าหลวงใหญ่”
“คารวะท่านข้าหลวงใหญ่”
กลุ่มผู้คนชนชั้นเจ้าสำนักและผู้ที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงอวี้รีบประสานมือแสดงความเคารพด้วยความนอบน้อม
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน
มีเพียงเขาคนเดียวที่ไม่ทำความเคารพ
มิหนำซ้ำ ยังส่งเสียงหัวเราะเยาะออกมาอีกด้วย
“ทุกท่านทำตัวตามสบาย อย่าได้เกรงใจไปเลย”
เหยียนอวี้หลงยิ้มแย้มพร้อมกับโบกไม้โบกมือ
ดูเหมือนเขาจะรู้สึกดีกับเรื่องราวเหล่านี้เสียเหลือเกิน
นี่คือความรู้สึกของ… การเป็นผู้ยิ่งใหญ่
หลังจากนั้น สายตาของท่านข้าหลวงใหญ่ก็จับจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินอย่างไร้อารมณ์ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด
“หลินเป่ยเฉิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าความผิดของตนเองคืออะไร?”
เหยียนอวี้หลงไม่ได้อยากจะตีสนิทกับหลินเป่ยเฉินอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงพูดเข้าเรื่องโดยทันที
เมื่อทุกคนได้ยินประโยคคำถามนั้น หัวใจก็กระตุกวูบและรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก
หลินเป่ยเฉินผู้นั่งอยู่บนหลังเสือกล่าวว่า “นั่นก็แล้วแต่ว่าท่านจะให้ข้าทำผิดเรื่องอะไร”
“เจ้า…”
เห็นได้ชัดว่าคำตอบของหลินเป่ยเฉินไม่ใช่สิ่งที่เหยียนอวี้หลงคาดคิดเอาไว้
ขุนนางร่างอ้วนรู้สึกมึนงง
เหยียนอวี้หลงทำงานรับใช้อาณาจักรหลิวเยวียนมาเป็นระยะเวลายาวนาน ไม่เคยมีผู้ใดกล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับเขามาก่อน และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง
“ได้ยินว่ามีสุนัขปากเสียสองตัวมาใส่ร้ายป้ายสีข้าให้ท่านฟังไม่ใช่หรือ?”
หลินเป่ยเฉินแสยะยิ้มด้วยความเหยียดหยาม “พวกมันอยู่ที่ไหน? ให้พวกมันแสดงตัวออกมาซะ”
สีหน้าของเหยียนอวี้หลงยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้น ก่อนหัวเราะเยาะและตอบกลับไป “เด็กน้อย ดูเหมือนเจ้าจะไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีจริง ๆ สินะ ข้าขอถามเจ้า เหออู่ซาง ผู้เป็นหัวหน้าค่ายภูเขาอวิ๋นอู่ เจ้าคือผู้สังหารเขาใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง ข้าขอยอมรับผิด”
หลินเป่ยเฉินยิ้มรับหน้าชื่นตาบาน
“เหออู่ซางเป็นหัวหน้าค่ายภูเขาอวิ๋นอู่ มีชื่อเป็นผู้ที่ได้รับการคุ้มครองจากอาณาจักรหลิวเยวียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เจ้าฆ่าเขาเช่นนี้ ไม่ทราบว่ามีเหตุผลอะไร?”
เหยียนอวี้หลงเพิ่มน้ำหนักเสียงขึงขัง
หลินเป่ยเฉินนำที่ตัดเล็บออกมานั่งตัดเล็บนิ้วมืออยู่บนหลังเจ้าเสือเสี่ยวหูและตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้านใด ๆ ว่า “แค่เห็นหน้าแล้วรู้สึกไม่ชอบใจ ก็เลยฆ่าทิ้งไปน่ะ… ไม่ทราบว่าท่านมีปัญหาหรือไม่?”
“เจ้า…”
เหยียนอวี้หลงถึงกับพูดอะไรไม่ออกอีกครั้ง
เจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ได้ทำสิ่งใดตามกฎเกณฑ์เลยสักอย่าง
เหยียนอวี้หลงนึกว่าหลินเป่ยเฉินจะต้องโต้แย้งว่าเหออู่ซางประพฤติตนเป็นตัวชั่วร้าย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กหนุ่มจะให้เหตุผลในการสังหารเพียงเพราะ ‘เห็นหน้าแล้วไม่ชอบใจ’ เท่านั้นเอง
แผนการที่ท่านข้าหลวงใหญ่เตรียมมาทั้งหมดจึงไร้ประโยชน์ไปโดยปริยาย
“ท่านเจ้าสำนักเหยียนซานซิงและท่านนักบวชสวีจิง เชิญก้าวออกมา”
เหยียนอวี้หลงตัดสินใจไม่ยุ่งเกี่ยวกับความตายของเหออู่ซางอีก และเปลี่ยนกลยุทธ์มาที่ประเด็นใหม่ “พวกท่านทั้งสองได้โปรดออกมากระชากหน้ากากที่แท้จริงของวีรบุรุษแห่งเมืองชิงอวี้ผู้นี้ด้วยเถอะ”
เหยียนซานซิงกับนักบวชสวีจิงเดินเคียงข้างกันออกมาจากกลุ่มคน
หลินเป่ยเฉินยังคงตัดเล็บนิ้วมือของตนเองต่อไป ไม่สนใจผู้ที่เพิ่งปรากฏตัวทั้งสองคนนั้นแม้แต่น้อย
“หลินเป่ยเฉิน ไม่ทราบว่าเจ้าจำข้าได้หรือไม่? ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก ข้าจะทำให้ทุกคนได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเจ้าไม่ใช่วีรบุรุษ แต่เจ้าคือพวกปีศาจที่แฝงตัวมาเท่านั้น พวกเรามีหลักฐานบันทึกภาพเอาไว้ว่า ในวันนั้นเจ้าใช้พลังปราณปีศาจ…”
“ถูกต้อง ข้าเองก็สามารถเป็นพยานได้เช่นกัน บัดนี้ ทุกคนทราบดีแล้วว่าเหตุผลที่กองทัพปีศาจถอนกำลังกลับไปก็เป็นเพราะพวกมันหวาดกลัวท่านข้าหลวงใหญ่เหยียนอวี้หลง ไม่ใช่หวาดกลัวเจ้า อันที่จริงนั้น เจ้าคือผู้ที่ถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจทอดทิ้งและตั้งใจจะหลอกลวงพวกเราต่างหาก ฮ่า ๆๆ …แผนการที่ตื้นเขินเช่นนี้จะสามารถตบตาท่านข้าหลวงใหญ่เหยียนอวี้หลงได้อย่างไร?”
หลังจากนั้น เหยียนซานซิงกับนักบวชสวีจิก็นำภาพที่ตนเองบันทึกได้ออกมาฉายบนท้องฟ้าเหนือลานหินหน้าห้องพิจารณาคดี
เหตุการณ์ในวันประลองระหว่างสองเผ่าพันธุ์ถูกฉายซ้ำอีกครั้ง
และมันก็เป็นจังหวะที่หลินเป่ยเฉินยื่นฝ่ามือซ้ายออกมา ฝ่ามือซ้ายของเขามีลักษณะบวมโต มิหนำซ้ำ สีผิวยังกลายเป็นสีม่วงเข้มชัดเจน
นี่คือภาพที่ถูกบันทึกได้ในระยะใกล้ เป็นภาพที่มีคุณภาพสูง
มือซ้ายข้างนี้เป็นสีม่วง แตกต่างจากมือผู้คนปกติ
โดยเฉพาะในยามที่ถุงมือเทวฤทธิ์แตกสลาย เมื่อฝ่ามือข้างซ้ายถูกเปิดเผยออกมา มันก็กลายเป็นภาพที่น่าตกตะลึงยิ่งนัก
เสียงอุทานดังอื้ออึงไปทั่วลานหินโดยทันที
นักบวชสวีจิงหัวเราะเยาะและกล่าวว่า “สำหรับผู้ที่ได้รับชมการถ่ายทอดสดในวันนั้นย่อมจำได้ดีว่าก่อนที่ภูตอเวจีจะถอนตัวจากไป นางได้ตั้งข้อสงสัยว่าแท้ที่จริงแล้วหลินเป่ยเฉินเป็นมนุษย์หรือปีศาจกันแน่ ฮ่า ๆๆ เพียงเท่านี้ ทุกคนก็คงแน่ใจแล้วใช่หรือไม่ ว่าข้าไม่ได้ใส่ร้ายป้ายสีหลินเป่ยเฉินแม้แต่น้อย”
เสียงพูดคุยในลานหินยิ่งดังกระหึ่มมากกว่าเดิม
รอยยิ้มเริ่มกลับมาแต่งเติมอยู่บนใบหน้าของเหยียนอวี้หลง
เพียงข้อหานี้ข้อหาเดียวก็สามารถตอกตะปูปิดฝาโลงหลินเป่ยเฉินได้เรียบร้อยแล้ว
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ค่อยดี ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนจึงอดส่งเสียงตะโกนขึ้นมาไม่ได้ “เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลยิ่งนัก หากหลินเป่ยเฉินเป็นพวกเดียวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจริง เหตุไฉนภูตอเวจีตนนั้นจึงต้องเปิดเผยตัวตนของหลินเป่ยเฉินในท้ายที่สุดด้วยเล่า? นี่คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้นเอง”
ไม่เลวเลย
นี่เป็นข้อแก้ต่างที่ไม่เลวเลย
แต่ท่านข้าหลวงใหญ่เหยียนอวี้หลงไม่เปิดโอกาสให้ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนได้กล่าวคำใดต่อไป เพราะขุนนางร่างอ้วนรีบตะโกนสวนขึ้นมาทันทีว่า “ผู้อาวุโสอวี้ ท่านไม่มีสิทธิ์พูดที่นี่ รีบถอยไปซะ… หรือว่าท่านอยากโดนพิจารณาคดีด้วยอีกคน?”
ใบหน้าของผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนพลันบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น