เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1599 คำสารภาพจากท่านข้าหลวงใหญ่
ตอนที่ 1,599 คำสารภาพจากท่านข้าหลวงใหญ่
ในโลกนี้มีผู้คนที่ไม่กลัวความเจ็บปวดด้วยหรือ?
เหยียนอวี้หลงชักกระตุกไปแทบทั้งตัว
“เจ้าตายแน่ ญาติพี่น้องหรือสหายของเจ้าก็ไม่รอดด้วยเช่นกัน…”
เหยียนอวี้หลงกัดฟันกรอดพูดด้วยความเคียดแค้นใจ “ข้าเป็นสมาชิกของสภาขุนนาง เจ้าไม่รู้หรอกว่าสมาชิกของสภาขุนนางนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด เจ้าฆ่าองครักษ์ของข้า เจ้าทำร้ายข้าจนได้รับบาดเจ็บสาหัส สภาขุนนางแห่งอาณาจักรหลิวเยวียนไม่มีทางปล่อยให้เจ้าลอยนวลเด็ดขาด… นับจากนี้ไป จะไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเหลือเจ้าได้อีก”
“เฮอะ… พูดอะไรโง่ ๆ”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นและระเบิดพลังปราณกระบี่คงกระพันออกมาอีกสองครั้ง
“อ๊าก อ๊าก...”
เหยียนอวี้หลงส่งเสียงร้องโหยหวน ตัวคนขดงอเป็นกุ้งเผา
หลินเป่ยเฉินนั่งย่อกายลงและพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “ในเมื่อไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเหลือข้าได้อีก งั้นข้าก็จะฆ่าเจ้าให้ตายไปพร้อมกันนี่แหละ”
เหยียนอวี้หลงเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
สิ่งที่ตนเองพูดออกไปนั้นช่างเป็นคำพูดที่โง่เขลาจริง ๆ
ขุนนางร่างอ้วนรีบปรับเปลี่ยนท่าทีของตนเองเป็นการขอร้องอ้อนวอนโดยไม่ลังเล “ไม่นะ อย่าฆ่าข้าเลย อย่าเลยนะ… เจ้าปล่อยข้าไปเถอะ ข้าจะไม่ถือโทษโกรธเคืองเจ้า เรื่องระหว่างพวกเราจะถือว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แล้วข้าก็จะแนะนำเจ้าให้เข้ารับตำแหน่งในสภาขุนนางด้วยดีหรือไม่… ใช่แล้ว ใช่แล้ว ใช่แล้ว ข้าจะผลักดันทำให้เจ้าได้กลายเป็นสมาชิกสภาขุนนาง ความสามารถของเจ้ามีพร้อมแล้ว มิหนำซ้ำ เจ้ายังสร้างความดีความชอบด้วยการช่วยเหลือเมืองชิงอวี้เอาไว้ เจ้ามีคุณสมบัติที่จะได้เป็นสมาชิกสภาขุนนางแล้ว…”
“แต่ข้าสังหารองครักษ์ของเจ้า แล้วก็ยังฆ่าเหออู่ซางอีกนะ”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก เหออู่ซางสมคบคิดวางแผนร้ายกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ สมควรตายอยู่แล้ว”
“แต่เมื่อสักครู่นี้ ข้ายังสังหารเหยียนซานซิงกับนักบวชสวีจิงอีกด้วย”
“แหม นั่นก็ไม่สำคัญอีกเช่นกัน สุนัขปากเสียทั้งสองตัวนี้ใส่ร้ายป้ายสีเจ้า ต่อให้เจ้าไม่ฆ่ามัน ข้าก็ไม่ปล่อยให้พวกมันลอยนวลอยู่แล้ว”
“แล้วข้าก็ยังสังหารองครักษ์อวิ้น”
“อันที่จริง ข้าเพิ่งรับทราบข้อมูลมาว่าองครักษ์อวิ้นชอบนำข้าไปนินทาลับหลังเสีย ๆ หาย ๆ อยู่บ่อยครั้ง มิหนำซ้ำ ยังมีพฤติกรรมแอบยักยอกเงินหลวง ข้าเองก็หาจังหวะเล่นงานเขามานานแล้ว หากเจ้าไม่ฆ่าเขา เดี๋ยวข้าก็คงต้องฆ่าเขาอยู่ดี นี่ถือว่าเป็นเจ้าช่วยแบ่งเบาภาระของข้าด้วยซ้ำ…”
“จริงหรือ?”
“จริงสิ ย่อมเป็นความจริงแท้แน่นอน”
“แต่ข้าทำร้ายเจ้าบาดเจ็บสาหัสเชียวนะ…”
“ข้าไม่โทษเจ้าหรอก ความจริงนั้นข้าหลบหนีออกมาจากอาณาจักรหลิวเยวียน ตั้งใจมาหลอกลวงรับเงินบริจาค ขะ…”
แต่พูดมาถึงตรงนี้ ท่านข้าหลวงใหญ่ก็รู้ตัวว่าตนเองหลุดปากพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมาเสียแล้ว
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปาก ก่อนจะลุกขึ้นยืน ถอนหายใจ “เฮ้อ น่าอนาถเหลือเกิน”
เด็กหนุ่มหันหน้ากลับไปและถามว่า “ผู้อาวุโสอวี้ได้ยินหรือไม่?”
“ได้ยินชัดเจน”
อวี้อู๋เฉียนตอบรับกลับมาเสียงดังฟังชัด
เขาทราบดีว่าหลินเป่ยเฉินกำลังจะทำอะไรต่อไป
“เจ้าได้บันทึกภาพเอาไว้หรือไม่?”
ชายชราหันมามองหน้าเซียวปิง
เด็กหนุ่มร่างอ้วนพยักหน้าและกล่าวตอบ “โชคดีที่อาจารย์เคยสั่งสอนให้ข้าใช้กระจกบันทึกภาพอยู่บ้าง คำสารภาพเมื่อสักครู่นี้จึงถูกบันทึกเอาไว้หมดสิ้น” ระหว่างที่พูดด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะ เซียวปิงก็ชูกระจกบานหนึ่งขึ้นสูง กระจกสะท้อนประกายแวววาวกับแสงตะวัน
เหยียนอวี้หลงหรี่ตาลง ใบหน้าเศร้าหมอง
เขาเพิ่งจะรู้เอาก็ตอนนี้เองว่าตนเองถูกหลอกใช้
ปรากฏว่าตัวเขาเองไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่คิด
ตลอดระยะเวลาเกือบร้อยปีที่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกของสภาขุนนาง เหยียนอวี้หลงเสพสุขสบายกับลาภยศสรรเสริญมากเกินไป ไม่เคยลงสู่สนามแห่งการต่อสู้และเผชิญหน้าการหักเหลี่ยมเฉือนคมที่แท้จริง ดังนั้นเหยียนอวี้หลงจึงเข้าใจว่าชีวิตของผู้คนตกอยู่ในกำมือของตนเองเสมอมา
แต่วันนี้ ความภาคภูมิใจของเขาถูกทำลายย่อยยับ
ภายใต้การโจมตีที่แสนเจ็บปวดทรมานจากหลินเป่ยเฉิน อดีตท่านข้าหลวงใหญ่จึงไม่มีขวัญกำลังใจต่อรองสิ่งใด เหยียนอวี้หลงทราบดีว่าไม่ว่าตนเองพูดสิ่งใดออกไป มันก็คงไม่มีประโยชน์อีกแล้ว
“ของสิ่งนี้คืออะไร จงบอกวิธีใช้งานมาซะ”
หลินเป่ยเฉินยกโล่หกเหลี่ยมสีเขียวมรกตบานหนึ่งขึ้นชูสูง
เหยียนอวี้หลงมีสีหน้าเคร่งเครียด ไม่พูดคำใด
ในเมื่อกำลังจะต้องตาย ทำไมเขาจะต้องทำให้ศัตรูได้ประโยชน์ด้วย?
“อุ๊ย ปากแข็งไปซะแล้ว”
หลินเป่ยเฉินโยนอาหารเม็ดให้แก่เจ้าเสือเสี่ยวหู ก่อนขยิบตาออกคำสั่ง “จัดการ”
เสี่ยวหูระเบิดเสียงคำรามในลำคอ รีบรับประทานอาหารเม็ดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินเข้ามาเลียต้นขาของเหยียนอวี้หลงหลังจากนั้น มันก็ฝังเขี้ยวกระชากเนื้อหายออกไปก้อนใหญ่
“อ๊าก...”
เหยียนอวี้หลงส่งเสียงร้องราวกับหมูถูกเชือดออกมาอีกครั้ง ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดสุดขีด “บอกแล้ว ข้ายอมบอกแล้ว อย่าทรมานข้าเลย”
หลังจากนั้น ชายร่างอ้วนก็ส่งคัมภีร์คู่มือการใช้งานหกโล่มรกตประจัญบานออกมา
“หืม? คฤหาสน์ตระกูลหลิง? ตระกูลหลิงไหนกันนะ?”
เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นข้อมูลที่ระบุอยู่ในคัมภีร์ หัวใจก็กระตุกวูบขึ้นมา
ตระกูลหลิง… จะมีอะไรเกี่ยวข้องกับหลิงเฉินหรือไม่?
น่าลองตรวจสอบดูไม่น้อย
เด็กหนุ่มสอบถามต่อไป
เหยียนอวี้หลงตกอยู่ในอาการหวาดกลัวสุดขีด จึงตอบคำถามโดยไม่ปิดบัง รวมถึงสารภาพความจริงว่าตนเองอยู่เบื้องหลังการปล่อยข่าวลือใส่ร้ายป้ายสีหลินเป่ยเฉินโดยที่มีเหยียนซานซิงกับนักบวชสวีจิงเป็นคนคอยช่วยเหลือ เขาตั้งใจจะใช้การประหารชีวิตหลินเป่ยเฉินสร้างความประทับใจให้กับทุกคน และเมื่อได้รับเงินบริจาคครบตามจำนวนที่ต้องการแล้ว เหยียนอวี้หลงก็วางแผนกับพรรคพวกว่าจะหลบหนีไปทันที…
“จบสิ้นแล้ว อาณาจักรหลิวเยวียนจบสิ้นแล้ว”
เหยียนอวี้หลงครวญคราง
หลังคำสารภาพของท่านข้าหลวงใหญ่สิ้นสุดลง ทั่วลานจัตุรัสก็ปกคลุมด้วยความเงียบยิ่งกว่าสุสานยามเที่ยงคืน
ได้ยินเพียงเสียงสายลมพัดพา
หัวใจของผู้คนเต้นรัวเร็วด้วยความตกตะลึง
ไม่มีผู้ใดกล้าสบตามองหลินเป่ยเฉินอีกแล้ว ทุกคนได้แต่ก้มหน้ามองพื้นดินด้วยความละอายใจ
บางครั้งกลุ่มคนก็จะจ้องมองไปที่เหยียนอวี้หลงด้วยความโกรธแค้นและเกลียดชัง
พวกเขาไม่ทราบเลยว่าตนเองจะถูกท่านข้าหลวงใหญ่ผู้นี้หลอกลวงมาตั้งแต่แรก นอกจากตั้งใจจะหลอกลวงเงินทองแล้ว ท่านข้าหลวงใหญ่ยังมีเจตนาทอดทิ้งพวกเขาอีกด้วย
หากไม่ใช่เพราะหลินเป่ยเฉิน พวกเขาก็คงถูกหลอกลวงเงินทองมากมายมหาศาล อีกทั้งยังจะถูกทิ้งให้ตกตายอยู่ในความหมดหวัง
ความโกรธแค้นปะทุขึ้นมาในหัวใจของผู้คน
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็บีบบังคับให้เหยียนอวี้หลงส่งมอบทรัพย์สินของมีค่าทั้งหมด รวมถึงเครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับใช้ควบคุมเรือเหาะหยางเว่ย
บัดนี้ นักพรตหญิงชินและอากวงก็มาปรากฏตัวที่ลานหินหน้าสำนักกระบี่เหินฟ้าพอดี
อันที่จริง นักพรตหญิงชินกับอากวงไม่ได้อยู่เฝ้ายอดเขาหลิวหลี่เพียงอย่างเดียว แต่ทั้งสองรับหน้าที่ช่วยเก็บสัมภาระให้แก่เด็กหนุ่ม
ปัง! ปัง!
หลินเป่ยเฉินยกปืนอินทรีหิมะขึ้นยิงใส่ศีรษะของเหยียนอวี้หลง
เมื่อท่านขุนนางใหญ่ถึงแก่ความตายเรียบร้อย เด็กหนุ่มก็ย่อกายลงจัดการ ‘ดูดกลืน’ พลังของผู้ที่อยู่ในขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ระดับ 3 เข้าสู่ร่างกายของตนเอง
เหยียนอวี้หลงเป็นผู้ที่ฝึกวิชาด้วยสายเลือดผู้แปรธาตุ
หลินเป่ยเฉินดูดซับพลังปราณทั้งหมดนำมาเก็บไว้ในแขนซ้ายของตนเอง
แขนและมือซ้ายของเขาบวมโตขึ้นมาโดยทันที