เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1625 ความตายของฮั่วหานซาน
ตอนที่ 1,625 ความตายของฮั่วหานซาน
เขาเคยเข้าใจว่าตนเองมีจิตใจแข็งแกร่งมากพอ แต่เมื่อเผชิญหน้าความวิกลจริตของหลินเป่ยเฉิน ฮั่วหานซานก็รู้สึกหวาดกลัวไปถึงขั้วหัวใจ
วูบ! วูบ!
ร่างของผู้คนทยอยปรากฏตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ
ค่ายอาคมเรืองแสงเป็นประกาย
ในที่สุด กลุ่มคนจากศูนย์บัญชาการกองทัพและตระกูลฮั่วก็มาถึง
ผู้นำกลุ่มคนในครั้งนี้มีนามว่า ‘ฮั่วหยงเหนียน’ เป็นทั้งตัวแทนจากนายทหารระดับสูงในกองทัพ และเป็นผู้อาวุโสคนสำคัญของตระกูลฮั่ว ถือเป็นบุคคลที่มีสถานะสูงส่งในเมืองหลันจี๋ซิง
และภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่อยากเชื่อ
“ร้ายกาจนัก เจ้าตัวบัดซบ…”
ฮั่วหยงเหนียนระเบิดเสียงคำรามออกมาขณะจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉินด้วยสายตาไม่ต่างจากคมกระบี่
ขณะนี้ ธูปที่ถูกปักอยู่ในกระถางได้มอดไหม้ไปหมดแล้ว
“หมดเวลา”
หลินเป่ยเฉินสบสายตาฮั่วหยงเหนียนผู้ซึ่งกำลังโกรธแค้นสุดขีด ก่อนยิ้มออกมาเล็กน้อยและค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า “มาได้ทันเวลาพอดีเชียว แต่ก็มาทันเพียงได้เก็บศพของฮั่วหานซานเท่านั้น”
“อย่านะ!”
เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินค่อย ๆ ยกมือขึ้น ก่อนจะมางอนิ้วชี้ลงเหมือนกำลังจะปลดปล่อยลำแสงจากวิชาปราณกระบี่คงกระพัน ฮั่วหานซานซึ่งถูกปักติดอยู่บนประตูห้องก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว “ไม่นะ ข้าขอโทษ ข้าขอโทษก็ได้ ข้าเสียใจจริง ๆ …ข้าฮั่วหานซานผิดไปแล้ว ยกโทษให้ข้าเถอะนะ”
“สายเกินไปแล้ว”
หลินเป่ยเฉินเหนี่ยวไกยิง “ข้าไม่รับคำขอโทษอีกแล้ว… ไปกล่าวคำขอโทษกับท่านพญายมเถอะ”
แล้วลูกกระสุนก็ถูกยิงออกไปในชนิดที่ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานได้
พรึ่บ!
โลหิตสาดกระจาย เศษกระดูกปลิวว่อน
ศีรษะของฮั่วหานซานระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“ไม่นะ…”
ฮั่วหยงเหนียนเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง รีบวิ่งเข้าไปสวมกอดร่างไร้ศีรษะของฮั่วหานซานและคร่ำครวญออกมาว่า “บุตรชายของข้า… หลินเป่ยเฉิน เจ้าฆ่าบุตรชายของข้าไปถึงสองคน ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าลอยนวลไปเด็ดขาด ตระกูลฮั่วของเราจะไม่มีทางละเว้นเจ้า ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้อีกแล้ว ข้าจะทำให้เจ้าสำนึกเสียใจที่ถือกำเนิดขึ้นมาในโลกใบนี้”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะตอบกลับไปด้วยความเหยียดหยาม
“เป็นตระกูลฮั่วแล้วจะอย่างไร”
เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงฉะฉาน “พวกท่านสมคบคิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจบุกโจมตีเรือเหาะรุ่งอรุณ… ตระกูลฮั่วของพวกท่านมีความผิดมากกว่าข้าหลายร้อยพันเท่า ข้ารู้สึกเสียใจแทนบรรดานายทหารที่เสียสละชีวิตของตนเองเพื่อต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจจริง ๆ”
“ตระกูลฮั่วเราไม่เกี่ยวข้องด้วยสักหน่อย”
ฮั่วหยงเหนียนรีบสั่งให้ผู้ติดตามนำศพของบุตรชายลงมา ก่อนจะค่อย ๆ หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “ในทางตรงกันข้าม ตระกูลฮั่วเรารับใช้อาณาจักรหลิวเยวียนมาอย่างยาวนาน ต้องเสียสละชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมหาศาล และเพียงสงครามครั้งนี้ครั้งเดียว คนตระกูลฮั่วจากสิบแปดสาขาก็ต้องเสียชีวิตอยู่ในสนามรบมากถึง 1,360 คนแล้ว”
“และเมื่อสามวันก่อน พวกเรายังบริจาคทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลมอบให้แก่คลังหลวงของกองทัพ… เรื่องราวเหล่านี้ผู้คนในเมืองหลันจี๋ซิงมีผู้ใดบ้างไม่รับทราบ? ในเมื่อเจ้าไม่มีหลักฐาน ก็อย่าได้มากล่าวหาผู้อื่นส่งเดชเช่นนี้”
เมื่อชายชรากล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความเศร้าหมอง สุดท้ายก็ต้องระเบิดเสียงคำรามออกมา “ตระกูลฮั่วเราจะไม่ยอมถูกผู้ใดย่ำยีเด็ดขาด”
เมื่อผู้คนในโถงทางเดินได้ยินคำพูดประโยคนี้ สีหน้าของทุกคนก็แปรเปลี่ยนไปทันที
แต่หลินเป่ยเฉินยังคงไม่สะทกสะท้านสักนิด
“ในเมื่อตัวโสโครกอย่างตระกูลฮั่วยังไม่อาจถูกผู้คนย่ำยี แล้วท่านคิดว่าหลินเป่ยเฉินผู้นี้จะปล่อยให้ผู้คนย่ำยีแต่เพียงฝ่ายเดียวได้หรือ? ตระกูลฮั่วยิ่งใหญ่มากนักใช่หรือไม่? ไม่ทราบว่าตั้งแต่ที่สงครามเปิดฉากขึ้นมา พวกท่านสังหารปีศาจระดับหัวหน้าใหญ่ของพวกมันได้กี่ตัวแล้ว? ยามที่พวกท่านเผชิญหน้าปีศาจเฒ่าฟ่านหรู่เมิ่ง ผู้คนตระกูลฮั่วจะคิดทำสิ่งใดมากกว่ากันระหว่างสู้จนตัวตายกับหลบหนี?”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ เสียงของเด็กหนุ่มก็ดังกังวานไม่ต่างจากเสียงฟ้าคำราม “ข้าก็ไม่ได้อยากจะเอาความดีความชอบอันใดหรอกนะ แต่จะบอกให้รู้เอาไว้ว่าเพียงข้าลงมือไม่กี่วัน ก็สามารถสร้างความดีความชอบได้มากกว่าตระกูลฮั่วหลายร้อยปีแล้ว หากท่านไม่พอใจ จะนำหลักฐานออกมาพิสูจน์กันก็ย่อมได้”
“เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม หยุดกล่าววาจาเหลวไหลเดี๋ยวนี้”
ฮั่วหยงเหนียนใบหน้ากระตุกด้วยความโกรธแค้น
ชายชราอยากจะนำหลักฐานออกมาหักล้างข้อกล่าวหาของหลินเป่ยเฉิน แต่ก็จนใจที่ในความเป็นจริงนั้น สิ่งที่หลินเป่ยเฉินได้พูดออกมาล้วนเป็นความจริงทั้งหมด
การปรากฏตัวของเด็กหนุ่มผู้นี้ทำให้อาณาจักรหลิวเยวียนสั่นสะเทือน
มีปีศาจและอสูรระดับสูงมากมายต้องเสียชีวิตด้วยน้ำมือของหลินเป่ยเฉิน
หากนำข้อเท็จจริงในส่วนนี้มาเทียบกัน ฮั่วหยงเหนียนก็ไม่สามารถหาหลักฐานมาหักล้างคำพูดของหลินเป่ยเฉินได้เลยแม้แต่คำเดียว
กลุ่มคนที่ยืนอยู่ในโถงทางเดินบัดนี้มีสีหน้าผ่อนคลายลงและแอบเห็นด้วยกับคำพูดของหลินเป่ยเฉิน
แม้แต่หวงไหเว่ยและเจิ้นหรู่อี้ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่ถูกส่งตัวมาดูแลฮั่วหานซาน ก็ยังต้องจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉินด้วยแววตาแห่งความเคารพยกย่อง
หากตัดเรื่องอื่นออกไป ความดีความชอบที่ผ่านมาของเด็กหนุ่มผู้นี้ก็สมควรได้รับความเคารพอย่างแท้จริง นี่คือครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามอุบัติขึ้นที่เผ่าพันธุ์อสูรและเผ่าพันธุ์ปีศาจต้องเกิดความสูญเสียใหญ่หลวงเช่นนี้
นอกจากนั้น ยังมีข่าวลือแพร่สะพัดอยู่ตามกลุ่มผู้คนในกองทัพว่า วันที่เรือเหาะรุ่งอรุณถูกโจรสลัดปีศาจดักปล้น ปีศาจหญิงเฉาคงสัญญาว่าจะปล่อยตัวหลินเป่ยเฉินไป แต่ผลปรากฏว่าเด็กหนุ่มพยายามช่วยเหลือผู้คนของคฤหาสน์ตระกูลหลิงและแสดงฝีมือปกป้องเรือเหาะรุ่งอรุณอย่างสุดความสามารถ
แม้สุดท้ายหลินเป่ยเฉินจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็ถ่วงเวลาเอาไว้จนท่านผู้คุมสภาไปถึงและช่วยเหลือผู้คนได้ทันเวลาพอดี
สำหรับกับเด็กหนุ่มที่กล้าหาญเช่นนี้ ย่อมสมควรได้รับการสรรเสริญอย่างแท้จริง
หวงไหเว่ยรู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย
เจิ้นหรู่อี้กัดฟันข่มความเจ็บปวดและก้มหน้าลง
นางเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองถูกฮั่วหานซานหลอกใช้ และนางก็หลงใหลในเสน่ห์ของหญิงสาวผู้มีผมสีเงินยวงผู้นั้นอย่างลึกซึ้ง
อีกอย่าง การทะเลาะวิวาทระหว่างแขกระดับสูงของทางกองทัพนั้น ก็ถือเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดาอย่างยิ่ง
ยิ่งใช้ความคิดมากเท่าไหร่ เจิ้นหรู่อี้ก็ยิ่งรู้ซึ้งถึงความผิดพลาดของตนเองมากเท่านั้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมา นางพยายามฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้ถูกเลือกสำหรับการรับใช้กองทัพด้วยการดูแลแขกคนสำคัญในโรงเตี๊ยมต้าเฟิง…
คืนนี้เป็นการปฏิบัติภารกิจครั้งแรกของนาง
แต่ผลปรากฏว่าเจิ้นหรู่อี้กลับทำผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย
กระบี่ที่เสียบติดอยู่บนหัวไหล่ของนางนั้นคือบทลงโทษที่สาสมแล้ว
ในโถงทางเดินพลันปกคลุมด้วยความเงียบ
หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ
“เด็กน้อยเอ๋ย เจ้ายังไม่รู้หรอกว่าการสร้างความดีความชอบให้แก่อาณาจักรหลิวเยวียนนั้น เขาไม่ได้วัดกันที่ผลงานในสนามรบอย่างเดียว เจ้ายังไร้เดียงสามากเกินไป เจ้ายังเด็กมากเกินไป…”
สุดท้าย ฮั่วหยงเหนียนก็สามารถกลั่นกรองคำพูดและกล่าวออกมาได้อีกครั้ง
แต่หลินเป่ยเฉินขี้เกียจเกินกว่าที่จะต่อล้อต่อเถียงด้วยอีกแล้ว
“หุบปากของท่านไปซะ”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะและกล่าวว่า “ข้าขอแนะนำให้ท่านรีบยอมรับความผิดเสียดีกว่า หากท่านคิดก่อกรรมทำชั่ว ก็ต้องรอรับผลที่ตามมาด้วยสิ ฮั่วหยงเหนียนเอ๋ย ฮั่วหยงเหนียน ท่านช่างน่าเวทนาเหลือเกิน…”
จังหวะนั้น หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นมาชี้หน้าฮั่วหยงเหนียนและกล่าวเสียงเรียบ “ท่านนำชื่อเสียงของตระกูลฮั่วมาข่มขู่ข้า ท่านรู้หรือไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดตามมา? ข้าหลินเป่ยเฉินผู้นี้เกลียดการถูกข่มขู่เป็นที่สุด”
บรรยากาศกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
ทุกคนรู้สึกหายใจไม่ออก
ฮั่วหยงเหนียนกัดฟันกรอด
เขารู้สึกว่าหากตนเองยังคงแสดงกิริยาแข็งกร้าวต่อไป เด็กหนุ่มในชุดขาวผู้นี้ก็พร้อมที่จะสังหารผู้คนตระกูลฮั่วได้โดยไม่ลังเล
ชายชราพบว่าตนเองกำลังหวาดกลัว
“เอ่อ ถ้อยคำที่เราผู้เฒ่ากล่าวออกไปก่อนหน้านี้…”
ฮั่วหยงเหนียนพยายามตั้งสติและควบคุมอารมณ์ของตนเอง “เป็นเพียงคำพูดโดยไม่ยั้งคิดของชายชราที่เพิ่งสูญเสียบุตรชายอันเป็นที่รักไปก็เท่านั้น”