เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1626 ได้ยินไม่ถนัด ขอฟังชัดๆ อีกสักเที่ยว
ตอนที่ 1,626 ได้ยินไม่ถนัด ขอฟังชัดๆ อีกสักเที่ยว
ผู้คนตระกูลใหญ่ล้วนสนใจเรื่องราวของครอบครัวมาก่อนเป็นลำดับแรก
ในชีวิตที่ยืนยาวของฮั่วหยงเหนียน
เขามีบุตรชายอยู่มากมาย
ฮั่วหานซานกับฮั่วหานช่วนถือเป็นหนึ่งในบุตรชายที่ดีที่สุด เป็นความหวังใหม่ของตระกูล แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิต ก็มีอันต้องมาจบสิ้นชีวิตลงไปเสียแล้ว
แววตาของฮั่วหยงเหนียนสงบนิ่งและสุขุมมากขึ้น
เขาไม่ต้องการเผชิญหน้ากับหลินเป่ยเฉินอีกต่อไป
เพราะรู้ดีว่าตนเองพร้อมด้วยบรรดาผู้ติดตามไม่ใช่คู่ต่อกรของเด็กหนุ่มผู้นี้
หลังจากนั้น ชายชราก็ก้าวเท้าถอยหลังหลบสายตาหลินเป่ยเฉิน ก่อนจะหันไปประสานมือแสดงความเคารพ กล่าวต่อนายทหารซึ่งติดยศผู้บัญชาการพิเศษนามเฟิงซงหลินว่า “ท่านแม่ทัพเฟิง เรื่องราวต่อจากนี้คงต้องขึ้นอยู่กับท่านแล้ว หลินเป่ยเฉินทำการสังหารผู้คนในโรงเตี๊ยมต้าเฟิง ถือเป็นการทำผิดกฎระเบียบกองทัพขั้นร้ายแรง ท่านแม่ทัพคงรู้ดีมากกว่าข้าว่าควรจัดการเรื่องราวนี้อย่างไร”
ผู้บัญชาการพิเศษเฟิงซงหลินขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาเป็นชายฉกรรจ์ที่มีหน้าตาอยู่ในวัยสี่สิบปีเศษ ร่างกายกำยำ ใบหน้าดุดัน รูปลักษณ์มีความคล้ายคลึงกับท่านผู้คุมสภาเฟิงเสี่ยวไป๋อยู่หลายส่วน
ชุดเกราะที่เฟิงซงหลินสวมใส่เป็นเครื่องมือป้องกันที่ผ่านการเล่นแร่แปรธาตุระดับ 15 ซึ่งถือเป็นชุดเกราะรุ่นใหม่ล่าสุดในอาณาจักรหลิวเยวียน นอกจากช่วยคุ้มครองส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้เป็นอย่างดีแล้ว ชุดเกราะชุดนี้ยังเพิ่มความคล่องตัวเวลาเคลื่อนที่ได้อีกด้วย
“คุณชายหลิน เรื่องราวในค่ำคืนนี้… ท่านมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”
เฟิงซงหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง
ฮั่วหยงเหนียนเล่นโยนเผือกร้อนมาให้เขาเสียขนาดนี้ แล้วเขายังจะทำอะไรได้อีก?
เฟิงซงหลินลอบสงสารตนเองอยู่ในใจ
เฟิงซงหลินคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะต้องมารับหน้าที่ทำอะไรเช่นนี้ เขาทำงานรับใช้กองทัพตั้งแต่เยาว์วัย ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในยอดอัจฉริยะจากทุกฝ่าย และสามารถขึ้นเป็นแม่ทัพควบคุมการรบได้ตั้งแต่อายุยี่สิบปี และบัดนี้ เฟิงซงหลินก็อยู่ในกองทัพมาได้เป็นเวลากว่าแปดสิบปีแล้ว ไม่ว่าอยู่ในสถานที่ใด เฟิงซงหลินล้วนได้รับความเคารพเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในขณะนี้ที่เขามีตำแหน่งเป็นถึงผู้บังคับการพิเศษระดับ 8 แห่งกองทัพหลิวเยวียน
ความจริง การฆ่าคนในโรงเตี๊ยมต้าเฟิงไม่มีสิ่งใดต้องให้ขบคิดมากความ ผู้ที่ลงมือก่อเหตุสังหารผู้คนเท่ากับเป็นการดูหมิ่นกองทัพอย่างซึ่งหน้า และนั่นก็ไม่มีเหตุผลที่เฟิงซงหลินจะต้องปรานีฆาตกรอีกแล้ว
แต่ประเด็นสำคัญก็คือฆาตกรในวันนี้มีนามว่าหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา
เมื่อคิดถึงความดีความชอบที่หลินเป่ยเฉินได้สร้างผลงานเอาไว้ก่อนหน้านี้ เฟิงซงหลินก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
“ข้าไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว”
หลินเป่ยเฉินโบกมือตอบกลับเสียงเรียบ “เดิมที ข้าเองก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไร มิหนำซ้ำ ข้ายังเมตตาต่อผู้อื่นอยู่เสมอมา ข้าเพียงต้องการใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบและเรียบง่าย ไม่อยากวุ่นวายเกี่ยวข้องกับผู้คนสักเท่าไหร่ ในเมื่อไหน ๆ ฮั่วหานซานก็ตายไปแล้ว ถือว่าข้ายกโทษให้เขาเลยก็แล้วกัน แต่การที่เขาดูถูกอาจารย์ของข้านั้น นั่นคือเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด โบราณเคยกล่าวเอาไว้ เป็นอาจารย์หนึ่งวันเท่ากับเป็นภรรยา… เอ่อ ช่างเถอะ เอาเป็นว่าแม่นางชินมีความสำคัญต่อข้ามาก ตระกูลฮั่วต้องขอโทษนางซะ”
เฟิงซงหลินแทบจะยกมือขึ้นมากุมหน้าผาก
ฟังที่เจ้าเด็กคนนี้พูดออกมาสิ?
นี่เรียกว่าเมตตาต่อผู้อื่นที่ไหนกัน?
นี่เรียกว่าต้องการใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบและเรียบง่ายอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินได้ฟังสิ่งที่ตนเองพูดออกมาบ้างหรือไม่?
หลินเป่ยเฉินสังหารคนสำคัญของตระกูลฮั่วไปถึงสองคน แล้วยังจะสั่งให้ตระกูลฮั่วมาขอโทษสตรีของตนเองอีกเนี่ยนะ?
“เด็กน้อย เจ้าอย่าได้ข่มเหงรังแกผู้คนมากเกินไป”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลฮั่วอดรนทนไม่ไหวต้องกล่าวขึ้นมา “มิเช่นนั้น เจ้าอาจจะต้องเสียใจในภายหลัง”
พรึ่บ!
ศีรษะของชายชราระเบิดหายไปทันที
ม่านหมอกเลือดและเศษกระดูกสาดกระจาย
ศพคนตายล้มลงบนพื้นทางเดินอย่างช้า ๆ แขนขาชักกระตุก โลหิตไหลทะลัก
“ท่านว่าอย่างไรนะ? ข้าได้ยินไม่ถนัด ขอฟังชัด ๆ อีกสักเที่ยวได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นมาเป่าปลายนิ้วของตนเองและถามกับศพที่ไร้ชีวิตนั้น
ศพคนตายย่อมตอบคำถามไม่ได้
ผู้คนที่อยู่รอบบริเวณล้วนตกตะลึง
“ดูสิ คนถามดี ๆ ก็ไม่ยอมตอบซะงั้น”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความไม่พอใจ
ทุกคนตกตะลึงมากไปกว่าเดิม
หลินเป่ยเฉินต้องการให้ศพคนตายตอบว่าอย่างไร?
ศพคนตายตอบคำถามได้ด้วยหรือ?
บัดนี้ ทุกคนเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าหากผู้คนตระกูลฮั่วแสดงความคิดเห็นแทรกแซงหลินเป่ยเฉิน ความตายก็จะมาถึงตัวโดยทันที
นี่เป็นเพราะหลินเป่ยเฉินมีปัญหาทางสมองอย่างแน่นอน
เด็กหนุ่มเป็นคนเสียสติ
ไม่มีผู้ใดสามารถคาดเดาจิตใจของหลินเป่ยเฉินได้อีกแล้ว
ในเวลานี้ แม้สมาชิกตระกูลฮั่วจะโกรธแค้นถึงขีดสุด ทว่าก็ไม่มีผู้ใดกล้าแสดงความคิดเห็นออกมาแม้แต่คำเดียว
เพราะพวกเขารู้ดีว่าหากพูดออกไป ตนเองต้องตายแน่ ๆ
“หากพวกท่านไม่คัดค้าน เท่ากับว่าตอบรับข้อเสนอของข้าแล้วนะ”
หลินเป่ยเฉินยิ้มด้วยความพอใจ และหันมากล่าวต่อกลุ่มคนตระกูลฮั่วว่า “หากเป็นเช่นนั้น หลังจากนี้ก็ขอให้พวกท่านจัดเตรียมเงินหมื่นตำลึงส่งมอบให้ข้าด้วย ข้าไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่แล้ว เพียงเท่านี้ก็จะถือว่าพวกเราเลิกแล้วต่อกัน… พวกท่านคงไม่มีปัญหาใช่หรือไม่?”
ฮั่วหยงเหนียนนิ่งเงียบ
เช่นเดียวกับสมาชิกตระกูลฮั่วคนอื่น ๆ
ความจริงพวกเขามีเรื่องให้คัดค้านอยู่เต็มไปหมด แต่มีผู้ใดบ้างที่จะกล้ากล่าวออกมา?
เนื่องจากเห็นชะตากรรมของผู้ที่คัดค้านหลินเป่ยเฉินด้วยสองตาของตนเอง แม้ตระกูลฮั่วจะถูกกดขี่ข่มเหงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าววาจาออกมาอีกแล้ว
ฮั่วหยงเหนียนมีสีหน้าเย็นชาปานหิมะน้ำแข็ง
หลินเป่ยเฉินเพียงตัวคนเดียวสามารถข่มเหงผู้คนของเขาได้ทั้งตระกูล
ช่างน่าอับอายขายหน้ายิ่งนัก
เด็กหนุ่มผู้นี้จะปล่อยให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไปไม่ได้!
มิเช่นนั้น ตระกูลฮั่วยังจะสามารถสู้หน้าผู้คนในเมืองหลันจี๋ซิงอีกได้อย่างไร?
หากเรื่องราวในวันนี้ถูกแพร่งพรายออกไป พวกเขาคงกลายเป็นตัวตลกในสายตาของผู้คนแล้ว
“ดูเหมือนพวกเราจะได้ข้อตกลงที่เห็นพ้องกันทั้งสองฝ่ายแล้วสินะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ก่อนจะหันมามองหน้าเฟิงซงหลินและกล่าวว่า “พวกเราได้ข้อตกลงกันแล้วขอรับ ไม่ต้องรบกวนให้ท่านแม่ทัพใหญ่ลำบากใจแล้ว”
เฟิงซงหลินต้องการจะยิ้มตอบกลับไป แต่ก็รู้สึกได้ถึงพลังกดดันคุกคามจากฮั่วหยงเหนียน
ดังนั้น เฟิงซงหลินจึงไม่ทราบเลยว่าตนเองสมควรตอบรับอย่างไรดี
เขาไม่เคยพบเห็นบุคคลใดมีความมหัศจรรย์เท่าหลินเป่ยเฉินมาก่อน
สำหรับสถานการณ์ในขณะนี้ เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างได้ข้อตกลงที่เห็นพ้องต้องกัน เรื่องราวก็สามารถจัดการได้ง่ายดายขึ้น
“ในเมื่อทุกคนเห็นพ้องต้องกันเช่นนี้ เพราะฉะนั้น พวกเราแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนเถอะขอรับ นี่ก็ดึกมากแล้ว”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้น
วูบ!
กระบี่ยาวถูกดึงกลับออกมาจากประตูห้องพักฝั่งตรงข้าม
“โอ๊ย…”
เจิ้นหรู่อี้ส่งเสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่ตัวคนจะไถลลงมากองอยู่บนพื้น
หัวไหล่ของนางมีโลหิตไหลทะลัก ชุดเกราะที่สวมใส่ถูกย้อมเป็นสีแดงเลือด หญิงสาวพยายามยันกายลุกขึ้นยืนพิงผนัง กัดฟันข่มความเจ็บปวด เม็ดเหงื่อปรากฏขึ้นบนหน้าผาก แต่เจิ้นหรู่อี้ก็ยังไม่ยอมให้หวงไหเว่ยเข้ามาช่วยประคองอยู่ดี
“กระบี่นี้เป็นการลงโทษเพียงเล็กน้อย”
หลินเป่ยเฉินเป่าโลหิตออกไปจากคมกระบี่ ก่อนที่จะเก็บกระบี่กลับไปพร้อมกล่าวว่า “ในอนาคตต่อจากนี้ เจ้าต้องคิดทบทวนดูให้ดีเวลาจะลงมือทำสิ่งใดและอย่ายื่นมือเข้าช่วยเหลือคนผิดเป็นอันขาด… มิเช่นนั้น เจ้าอาจจะไม่ได้โชคดีเหมือนครั้งนี้อีกแล้ว”
“ขอบคุณคุณชายหลินสำหรับการชี้แนะเจ้าค่ะ”
เจิ้นหรู่อี้ผู้มีใบหน้าซีดขาวตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น