เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1638 จอมเทพจักรา
ตอนที่ 1,638 จอมเทพจักรา
หลังจากนั้น วัตถุเล่นแร่แปรธาตุสุดพิสดารก็กลับมาอยู่ในรูปทรงหยดน้ำบนฝ่ามือของเด็กสาวอีกครั้ง “พี่หลิน ข้ามอบมันให้กับท่านดีหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงัก รีบส่ายศีรษะปฏิเสธ “มันมีค่ามากเกินไป”
วัตถุเล่นแร่แปรธาตุระดับที่ 41
ต่อให้รวบรวมทรัพย์สินของมีค่าทั่วทั้งอาณาจักรหลิวเยวียน ก็ยังไม่แน่ว่าจะเพียงพอต่อมูลค่าวัตถุชิ้นนี้ อันที่จริง คำว่า ‘มันมีค่ามากเกินไป’ ยังไม่สามารถอธิบายความล้ำค่าทั้งหมดได้ด้วยซ้ำ
มโนหิรัญคือสุดยอดวัตถุที่ไม่มีสิ่งใดเทียบเคียงได้อีกแล้ว
“แต่ข้าจะมอบมันเป็นของขวัญให้กับท่าน” หลิงเฉินยังคงยืนกรานคำเดิม
รอยยิ้มของนางใสซื่อบริสุทธิ์
“เจ้ากำลังจะต้องเข้าไปสำรวจสุสานโบราณ วัตถุเล่นแร่แปรธาตุระดับที่ 41 เช่นนี้ ถือเป็นเครื่องมือป้องกันตัวที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าแล้ว”
หลินเป่ยเฉินส่งมอบวัตถุมโนหิรัญกลับคืนไปด้วยสีหน้าจริงจัง
“หากข้าเดาไม่ผิด อีกสามวันข้างหน้า เมื่อประตูสุสานเปิดออก คงไม่ได้มีแต่เผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้นที่จะเข้าไปที่นั่น แม้แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจกับเผ่าพันธุ์อสูรก็ต้องเข้าไปเช่นกัน เดิมทีเพียงตัวสุสานก็อันตรายมากพออยู่แล้ว นี่ยังมีปัจจัยอื่น ๆ เป็นเจ้าพวกสองเผ่าพันธุ์นั้นอีก การสำรวจย่อมเต็มไปด้วยอันตราย เจ้าเก็บของชิ้นนี้เอาไว้ป้องกันตัวเถอะ”
หลิงเฉินยังคงยิ้มแย้มไร้ความเป็นกังวล “ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ข้ามีท่านลุงคอยดูแล ท่านลุงหลิงของข้านั้นมีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักราเชียวนะ”
หลินเป่ยเฉินถึงกับหยุดชะงักไปอีกครั้ง
ตอนที่เฟิงเสี่ยวไป๋พูดคุยกับปีศาจหญิงเฉาคง หลินเป่ยเฉินเหมือนเคยได้ยินพวกเขาพูดถึงเรื่องราวที่องค์ชายแห่งราชวงศ์หลิงจากดินแดนเกิงจินเสด็จมาประทับอยู่ที่เมืองหลันจี๋ซิงเช่นกัน
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าองค์ชายท่านนี้จะมีขอบเขตพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักราแล้ว
ขอบเขตพลังขั้นจอมเทพจักราคืออะไร?
มันเป็นขั้นพลังที่อยู่เหนือกว่าขั้นจอมเทพจักรพรรดิ แบ่งแยกเป็นได้อีกสิบระดับ
ความแข็งแกร่งระดับนี้เหนือกว่าผู้คนทั่วอาณาจักรหลิวเยวียนแล้ว
หลิงเฉินมีบุคคลผู้นี้คอยดูแลความปลอดภัยให้ตลอดเส้นทาง
หลินเป่ยเฉินยืนคิดอะไรบางอย่างอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังส่งวัตถุมโนหิรัญกลับคืนไปให้เด็กสาวเหมือนเดิมอยู่ดี “พึ่งพาผู้อื่นไม่สู้พึ่งพาตนเอง เจ้าอย่าฝากความปลอดภัยชีวิตตนเองไว้ในมือผู้อื่นเลย”
หลิงเฉินทำท่าเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง
หลินเป่ยเฉินจึงได้แต่ยิ้มและตัดบทว่า “นี่ เจ้าไม่เชื่อมั่นในตัวพี่หลินคนนี้หรืออย่างไร ไม่ว่าจะเป็นสุสานโบราณหรือปีศาจอสูรร้ายตนใด พวกมันก็ทำอันตรายข้าไม่ได้หรอกน่า… แค่เจ้าดูแลตัวเองให้ดี ก็ถือว่าช่วยข้าได้มากแล้ว”
หลิงเฉินลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ทั้งสองคนนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง ซบไหล่กันและกันรับสายลมที่โชยพัดแผ่วเบา ฟังเสียงหัวใจของกันและกันที่เต้นตึกตักในความเงียบ และดื่มด่ำไปกับความสงบเรียบง่ายที่แสนอบอุ่นอย่างหาได้ยากยิ่ง
…
ประตูห้องเปิดออก
หลินเป่ยเฉินเดินออกมาในที่สุด
เฟิงเสี่ยวไป๋ผู้ทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าหน้าประตูค่อย ๆ ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก สีหน้าของเขาผ่อนคลายมากขึ้น หัวคิ้วไม่ได้ขมวดมุ่นอีกแล้ว
“องค์หญิงกล่าวอะไรกับเจ้าบ้าง?”
ท่านขุนนางใหญ่รีบแสร้งถามด้วยความอยากรู้
หลินเป่ยเฉินหัวเราะออกมาเล็กน้อย
“กราบเรียนท่านผู้คุมสภา”
เขาตอบคำถามด้วยการถามกลับไปว่า “ท่านเองก็ได้ยินทั้งหมดแล้วไม่ใช่หรือ?”
“เอ๋?”
เฟิงเสี่ยวไป๋หยุดชะงักด้วยความพิศวง
หลินเป่ยเฉินกล่าวว่า “ท่านเป็นคนที่ซ่อนเร้นความรู้สึกไม่เก่งเอาเสียเลย”
เฟิงเสี่ยวไป๋ได้แต่ยกมือขึ้นเกาหลังศีรษะแกรก ๆ และหัวเราะด้วยความเก้อเขิน “เจ้าเด็กคนนี้นี่… ใช่แล้ว ข้าเป็นคนที่ซ่อนเร้นความรู้สึกไม่เก่ง ข้าไม่สามารถเก็บความลับอันใดได้เลย พวกจิ้งจอกเฒ่าสามารถอ่านความคิดของข้าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และเป็นเพราะเหตุนี้เอง ทุกคนจึงเลือกข้าขึ้นดำรงตำแหน่งผู้คุมสภา เพราะทุกคนรู้ว่าข้ากำลังคิดอะไรอยู่ และไม่ต้องคอยหวาดระแวงว่าข้าจะกำจัดผู้ใดทิ้งไป”
ต้องยอมรับเลยว่าตัวตนของเฟิงเสี่ยวไป๋นั้นแตกต่างจากการเป็นขุนนางใหญ่ในความคิดของหลินเป่ยเฉินโดยสิ้นเชิง
เฟิงเสี่ยวไป๋เป็นบุคคลที่ตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีความประสงค์ร้ายที่จะหักหลังผู้ใด
“แต่อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้พี่เฟิงสามารถขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ได้ เป็นเพราะท่านมีความแข็งแกร่งมากที่สุดไม่ใช่หรือ? ข้าเคยได้ยินผู้คนเล่าขานว่าท่านคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองหลันจี๋ซิงด้วยซ้ำ”
หลินเป่ยเฉินรีบใช้โอกาสนี้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
เฟิงเสี่ยวไป๋ไม่ได้สงวนท่าทีของการเป็นขุนนางใหญ่ผู้สูงส่งแม้แต่น้อย
ในทางกลับกัน เขากลับหัวเราะออกมาอย่างเปิดเผย “เจ้าเป็นเด็กที่ฉลาดเหลือเกิน สามารถอ่านสถานการณ์ได้ทะลุปรุโปร่ง สมแล้วที่ข้ายึดถือเจ้าเป็นน้องชาย ฮ่า ๆๆ พูดแล้วจะหาว่าคุย น้องรัก นับดูผู้คนในอาณาจักรหลิวเยวียน ไม่มีผู้ใดจะหมัดหนักมากไปกว่าข้าอีกแล้ว”
เมื่อการสนทนาดำเนินมาถึงจุดนี้ พวกเขาก็กลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ
บรรดาองครักษ์ที่ยืนรักษาความปลอดภัยอยู่บริเวณนั้นต่างก็มีเม็ดเหงื่อผุดซึมขึ้นมาบนหน้าผาก
นี่คือภาพที่ไม่น่าเชื่อ
พวกเขาไม่คิดเลยว่าหลินเป่ยเฉินผู้ที่มีปัญหาทางสติปัญญากลับมีความสนิทสนมต่อเฟิงเสี่ยวไป๋ถึงเพียงนี้
แม้แต่บรรดาผู้บัญชาการสี่ทัพหลวงก็ยังไม่มีใครกล้าเรียกเฟิงเสี่ยวไป๋ด้วยถ้อยคำสั้น ๆ อย่าง ‘พี่เฟิง’ แม้แต่คนเดียว
อย่างมากที่สุด ก็คงมีบรรดาหนึ่งในประมุขเก้าตระกูลใหญ่แอบเรียกหาเฟิงเสี่ยวไป๋เป็น ‘คนแซ่เฟิง’ ลับหลังบ้างนาน ๆ ครั้ง
สองบุรุษหนุ่มต่างวัยเดินพูดคุยกันไปด้วยรอยยิ้ม
…
สายลมยามเย็นโชยพัดไปทั่วเมืองหลันจี๋ซิง
ค่าดัชนีฝุ่น PM 2.5 ในอากาศคือสิบ
แสงตะวันยามเย็นสาดส่อง
ร่างขององค์ชายหลิงเยวียนหลงพลันปรากฏขึ้นที่ประตูบานหนึ่ง
สายตาของเขาทอดมองไปยังทิศทางที่ร่างของเฟิงเสี่ยวไป๋กับหลินเป่ยเฉินเดินหายลับไปจากสายตา แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าเล็กน้อย
…
“เฮ้อ ลืมบอกเรื่องสำคัญไปซะได้”
เมื่อส่งหลินเป่ยเฉินกลับไปแล้ว เฟิงเสี่ยวไป๋ถึงได้ยกมือตบหน้าผากตนเอง
ระหว่างทำหน้าที่ยืนยามเฝ้าหน้าประตู เขาได้ยินบทสนทนาระหว่างหลินเป่ยเฉินกับองค์หญิงหลิงเฉินทุกถ้อยคำ เดิมที เฟิงเสี่ยวไป๋จึงตั้งใจจะย้ำเตือนให้เด็กหนุ่มอย่าทำสิ่งใดใจร้อนวู่วามมากเกินไป
โดยเฉพาะในเรื่องราวความสัมพันธ์กับองค์หญิงหลิงเฉิน
เพราะมันเป็นเรื่องที่อันตรายถึงตายเลยทีเดียว
เฟิงเสี่ยวไป๋กลัวว่าหลินเป่ยเฉินอาจจะมีจุดจบที่ไม่สวยนัก
ในฐานะที่เป็นผู้คุมสภาแห่งเมืองหลันจี๋ซิง ซึ่งถือเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรหลิวเยวียน เฟิงเสี่ยวไป๋ย่อมเข้าใจดีว่าในเส้นทางดาราจักรอันยิ่งใหญ่ ยังคงมีผู้ยิ่งใหญ่ตามตระกูลต่าง ๆ อยู่อีกมากมาย และเมื่อนำสถานะมาเทียบกันแล้ว หลินเป่ยเฉินจึงไม่อาจนับว่าเป็นตัวดีอันใดได้เลย
หากทำผิดพลาดเพียงนิดเดียว เรื่องราวความรักระหว่างหลินเป่ยเฉินกับองค์หญิงหลิงเฉินก็จะจบลงด้วยโศกนาฏกรรม
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เฟิงเสี่ยวไป๋ไม่อยากให้เกิดขึ้น
ท่านขุนนางใหญ่รู้สึกถูกชะตาเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นพิเศษ
เขาไม่เคยรู้สึกว่าตนเองจะเข้าได้ดีหรือสนิทสนมกับผู้ใดมากถึงเพียงนี้มาก่อน
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เฟิงเสี่ยวไป๋คอยดูแลเอาใจใส่หลินเป่ยเฉินทั้งทางตรงและทางอ้อมมาโดยตลอด
สถานการณ์ในขณะนี้ ยังคงมีความลับอีกหลายประการที่หลินเป่ยเฉินไม่รู้ และความลับเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่เฟิงเสี่ยวไป๋ต้องรับหน้าที่จัดการในตลอดหลายวันที่ผ่านมา
ระหว่างที่เดินออกไปส่งเมื่อสักครู่ เฟิงเสี่ยวไป๋ตั้งใจจะย้ำเตือนให้หลินเป่ยเฉินคอยควบคุมตนเองให้ดี เพราะมีบุรุษหนุ่มมากมายต้องเสียอนาคตไปเพราะเรื่องสตรีมานักต่อนักแล้ว
แต่เฟิงเสี่ยวไป๋ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงถูกเรียกหาเป็น ‘พี่เฟิง’ คำเดียว เขาก็ลืมเลือนทุกอย่างไปหมดสิ้น
สุดท้าย เฟิงเสี่ยวไป๋ก็ได้แต่ส่ายศีรษะและเดินจากมาพร้อมรอยยิ้ม
เขากำชับกับตนเองว่าครั้งต่อไปต้องไม่ลืมเด็ดขาด
แม้จะเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลันจี๋ซิง แต่เฟิงเสี่ยวไป๋ก็มีชีวิตที่ขมขื่นเหลือเกิน
โดยเฉพาะหลังจากรับตำแหน่งผู้คุมสภา เขาก็ไม่เคยมีอิสระเสรี แม้ในมือจะมีอำนาจล้นฟ้า แต่เฟิงเสี่ยวไป๋ก็ยังเป็นเพียงมนุษย์ผู้หนึ่ง เขาไม่สามารถซ่อนเร้นอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง เมื่อลองคิดทบทวนดูดี ๆ เฟิงเสี่ยวไป๋กลับพบว่าตนเองไม่มีผู้คนให้หัวเราะเฮฮาหรือร่วมร่ำสุราด้วยเลยสักคน
ดังนั้นเมื่อพบเจอกับหลินเป่ยเฉินซึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่สมองไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่ เฟิงเสี่ยวไป๋จึงรู้สึกว่าตนเองได้พบเจอมิตรแท้เข้าให้แล้ว