เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1644 แฝงตัวเข้าก๊วนผี
ตอนที่ 1,644 แฝงตัวเข้าก๊วนผี
ในไม่ช้า หลินเป่ยเฉินก็สามารถแฝงตัวอยู่ในกลุ่มโครงกระดูกผีได้อย่างแนบเนียน
เขาเริ่มต้นทดสอบความอดทนของพวกมันอย่างรวดเร็ว
ตัวอย่างเช่น เด็กหนุ่มแอบตบศีรษะโครงกระดูกผีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างแรง
พลั่ก!
หัวกะโหลกลอยกระเด็นออกไป
บรรดาวิญญาณปีศาจแห่งสนามรบตัวอื่น ๆ หันมาจ้องมองทางเขาด้วยความพิศวง ส่วนโครงกระดูกผีเจ้าของหัวกะโหลกนั้นก็รีบวิ่งไปตะครุบศีรษะของตนเองด้วยความตื่นตระหนกตกใจ แต่มันก็ไม่ได้กลับมาโต้ตอบหลินเป่ยเฉินแต่อย่างใด
เด็กหนุ่มลองพยายามดูหลายครั้ง
เขาพบว่าไม่ว่าตนเองจะโจมตีโครงกระดูกผีเหล่านี้สักเท่าไหร่ พวกมันก็จะอดทนอดกลั้น และวิ่งไปเก็บชิ้นส่วนกระดูกของตนเองกลับมา แต่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะทำร้ายเขาแต่อย่างใด
“ถ้าอย่างนั้น…”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะ
เขาเกิดความคิดใหม่ขึ้นมาแล้ว
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปหาโครงกระดูกผีตัวหนึ่ง จากนั้นก็ยื่นมือซ้ายออกไปดูดซับพลังปราณปีศาจออกมาจากร่างของฝ่ายตรงข้าม
หลินเป่ยเฉินเตรียมตัวต่อสู้หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน
แต่วิญญาณปีศาจตัวนั้นมองเขาด้วยความงุนงง มันเอียงศีรษะคล้ายกับต้องการจะถามไถ่หลินเป่ยเฉินว่า ‘เจ้ามาจับตัวข้าทำไม’ ทว่ามันก็ไม่ได้ตอบโต้แต่อย่างใด
ผ่านไปยี่สิบลมหายใจ
ในที่สุด เปลวไฟสีม่วงที่ครอบคลุมทั่วร่างกายโครงกระดูกผีก็ดับมอดลง
วูบ!
เมื่อโครงกระดูกผีตัวนั้นไม่หลงเหลือมวลพลังอีกต่อไป ร่างกายของมันก็แยกชิ้นส่วนหล่นลงไปกองอยู่บนพื้น ไม่ต่างจากหุ่นกระบอกที่ถูกแยกชิ้นส่วนออกจากกัน
“อ้าว… ตายแล้วใช่ไหมเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความประหลาดใจ
ทันใดนั้น…
ครืน!
โครงกระดูกผีตัวอื่น ๆ อยู่ดี ๆ ก็เกิดอาการบ้าคลั่งเคลื่อนที่เข้ามาหาเขาเป็นจุดเดียว
หรือว่าพวกมันจะมาแก้แค้นให้แก่สหายของตนเอง?
นี่เขาถูกจับได้แล้วหรือ?
หลินเป่ยเฉินกำลังจะกระโดดขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์ Zongshen รุ่น 250 เรโทร เพื่อหลบหนีด้วยความลุ้นระทึก
แต่ปรากฏว่าเด็กหนุ่มกลับวิตกกังวลมากเกินกว่าเหตุ
เพราะโครงกระดูกผีเหล่านั้นไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย แต่พวกมันกลับวิ่งเข้าไปหากองชิ้นส่วนกระดูกของวิญญาณปีศาจที่ ‘ตายแล้ว’ ตัวนั้น และพวกมันก็แย่งชิงชิ้นส่วนกระดูกด้วยความดุเดือดจนเกิดการต่อสู้ขึ้นอีกครั้ง…
เพียงไม่นาน ชิ้นส่วนกระดูกนับร้อยชิ้นที่กองอยู่บนพื้นดินเมื่อสักครู่ก็หายวับไปกับตา
เมื่อได้ชิ้นส่วนกระดูกไปครอบครอง บรรดาโครงกระดูกผีเหล่านั้นก็นำชิ้นส่วนใหม่ประกอบเข้ากับร่างของตนเอง ทำให้ดูน่าเกลียดน่ากลัวมากยิ่งกว่าเดิม
แต่เมื่อมีชิ้นส่วนกระดูกเพิ่มเติม พลังปราณของพวกมันก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
“หมายความว่ายิ่งร่างกายมีชิ้นส่วนกระดูกมากเท่าไหร่ พวกมันก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้นสินะ?”
หลินเป่ยเฉินยกมือทำท่าดันแว่นโดยไม่รู้ตัว
เรื่องนี้ต้องหาทางพิสูจน์
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปหาโครงกระดูกเคราะห์ร้ายตัวใหม่ และดูดซับพลังปราณจากร่างกายของมันทั้งหมดด้วยมือซ้ายของเขาอีกครั้ง
โครงกระดูกผียังคงไม่ขัดขืน มันเพียงยืนมองหน้าเขาด้วยความฉงน
ในลมหายใจต่อมา เมื่อร่างกายของมันพังทลายลงไปเป็นกองกระดูกบนพื้นดิน หลินเป่ยเฉินก็รีบเก็บชิ้นส่วนกระดูกเหล่านั้นเข้าไปในพื้นที่ฝากไฟล์ออนไลน์ของแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์
หลังจากนั้น เขาก็เดินไปหาเหยื่อรายต่อไป
เพียงพริบตาเดียว หลินเป่ยเฉินก็สังหารวิญญาณปีศาจแห่งสนามรบไปได้ถึงสามสิบตัว
แขนซ้ายของเขาพองโตขึ้นมามากกว่าเดิมหลายเท่า ผิวหนังกลายเป็นสีม่วง
มือซ้ายของเขาพองโต ซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยพลังปราณปีศาจ และความแข็งแกร่งของมันก็มากกว่าพลังปราณจากฮั่วหานช่วนเสียอีก
หลินเป่ยเฉินเดินหน้าดูดซับพลังจากพวกโครงกระดูกผีต่อไป
แขนซ้ายของเขาบวมโตมากขึ้นไม่หยุดยั้ง
หลินเป่ยเฉินไม่ทราบเหมือนกันว่าแขนซ้ายของตนเองจะสามารถเก็บพลังได้มากน้อยแค่ไหน
บัดนี้ แอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ก็เก็บชิ้นส่วนกระดูกมากกว่าสามพันชิ้นแล้ว
ในที่สุด ภายในสุสานใต้ดินบริเวณนี้ก็หลงเหลือเพียงโครงกระดูกผีแค่เก้าตัวเท่านั้น และหนึ่งในนั้นก็คือเจ้าโครงกระดูกยักษ์ใหญ่นั่นเอง
“นี่คือการทดลองขั้นสุดท้ายของเรา เอาล่ะนะ…”
หลินเป่ยเฉินกระโดดขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์และโบกมือ ปล่อยกระแสเสียงออกไปว่า “พี่น้องทุกท่านตามข้ามา ตราบใดที่พวกท่านเชื่อฟังคำสั่งของข้า ข้าก็จะมีกระดูกชิ้นงาม ๆ มอบให้แก่พวกท่าน”
ทันใดนั้น กลุ่มโครงกระดูกผีที่เหลืออยู่เก้าตัวก็วิ่งตามมอเตอร์ไซค์ของหลินเป่ยเฉินออกมาทันที
ทำไมพวกมันถึงเชื่อฟังเขา?
นั่นเป็นเพราะว่าหลินเป่ยเฉินโยนชิ้นส่วนกระดูกออกไประหว่างทางด้วยไงล่ะ
ผู้ใดวิ่งเร็วที่สุด ผู้นั้นก็จะได้ครอบครองกระดูก
ผู้ใดที่เชื่อฟังหลินเป่ยเฉิน ผู้นั้นก็จะได้ครอบครองกระดูก
เพียงไม่กี่อึดใจ โครงกระดูกผีทั้งเก้าตัวก็ไม่ต่างจากสุนัขที่ภักดีต่อหลินเป่ยเฉิน ไม่ว่าเขาสั่งให้พวกมันทำอะไร พวกมันก็ไม่เคยขัดคำสั่งสักครั้ง
ดูเหมือนโครงกระดูกผีทั้งเก้าจะยึดถือหลินเป่ยเฉินเป็นเจ้านายของพวกมันแล้ว
ให้ตายสิ!
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองเป็นอัจฉริยะ
ในขณะที่คณะเดินทางสำรวจสุสานในครั้งนี้ไม่รู้ชะตากรรมเลยว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง แต่บัดนี้ เขากลับได้ทาสรับใช้ที่ซื่อสัตย์มาถึงเก้าตัว
“ขั้นตอนต่อไป ต้องหาโลหิตพิสุทธิ์ให้เจอ”
หลินเป่ยเฉินกดดูเส้นทางในแอปไป่ตู้ แมปและขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามเส้นทางนั้น
จากข้อมูลที่หลิงเฉินบอกเขาก่อนหน้านี้ หากหลินเป่ยเฉินต้องการจะบรรลุขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ เขาก็ต้องมาค้นหาสิ่งที่เรียกว่าโลหิตพิสุทธิ์ในสุสานโบราณให้เจอเสียก่อน
โลหิตพิสุทธิ์คืออะไร?
บรรดานักรบที่เสียชีวิตอยู่ในยุคการล่มสลายครั้งที่สอง แม้ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน แต่ร่างกายของพวกเขาก็ยังคงมีเลือดเนื้อสมบูรณ์ดีทุกประการ
โลหิตพิสุทธิ์คือมวลพลังที่ตกค้างอยู่ในโลหิตของซากศพ เมื่อหลินเป่ยเฉินดูดซับพลังมาจากซากศพเหล่านั้น เขาก็น่าจะเลื่อนขั้นขึ้นสู่ขอบเขตจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ในเวลาเพียงสองวัน…
“ยอดฝีมือที่ตายในยุคการล่มสลายครั้งที่สอง และเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติมีโลหิตพิสุทธิ์ จะต้องเป็นยอดคนเหนือคน เป็นราชาแห่งราชา… เพราะฉะนั้น น่าจะอยู่ในพื้นที่บริเวณเมืองใหญ่…”
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามเส้นทางในโทรศัพท์มือถือ โดยที่มีโครงกระดูกทั้งเก้าตัววิ่งตามหลังมาเป็นขบวน ในไม่ช้า พวกเขาก็กำลังจะใกล้ถึงเมืองโบราณที่ชื่อว่าเมืองตงหยาง ซึ่งอยู่ห่างจากอาณาเขตของพวกโครงกระดูกผีออกไปหลายร้อยลี้
ที่นั่นเป็นเมืองใหญ่
เมืองใต้ดินที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล
การค้นหาโลหิตพิสุทธิ์คงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ ๆ
หลังจากนั้นไม่นาน เมืองตงหยางก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
สิ่งที่ปรากฏอยู่ด้านหลังม่านพลังเบาบางในอากาศ ก็คือกำแพงเมืองที่ชำรุดทรุดโทรม
ประตูเมืองที่แตกหัก
กำแพงเมืองและป้อมปราการโบราณที่พังถล่มไปตามกาลเวลา
บรรยากาศไม่ต่างไปจากเมืองผีสิง
โดยเฉพาะประตูเมืองนั้นมีขนาดใหญ่โตสูงเสียดฟ้า แต่ที่น่าแปลกประหลาดก็คือรอยฝ่ามือขนาดใหญ่สามฝ่ามือที่ประทับอยู่บนบานประตูอย่างชัดเจน
เป็นผู้ใดกันนะที่มาฝากรอยมือเอาไว้บนประตูเมืองบานนี้?
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความขนพองสยองเกล้า
เพราะเขาพบว่าประตูเมืองทำขึ้นมาจากหินผา แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนบนบานประตูได้เลยด้วยซ้ำ
“เมืองตงหยางแห่งนี้น่าจะเคยเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของเผ่าพันธุ์มนุษย์แน่ ๆ”
หลินเป่ยเฉินบิดมอเตอร์ไซค์ นำโครงกระดูกผู้เป็นองครักษ์ทั้งเก้าของเขาเข้าสู่ตัวเมือง
อาคารบ้านเรือนที่อยู่ในตัวเมืองล้วนพังถล่มหมดสิ้น ไม่ว่ามองไปทางใด ก็พบเจอแต่เศษซากปรักหักพัง
บนพื้นดินปรากฏรอยเท้าขนาดใหญ่ เป็นเท้าที่มีนิ้วเพียงสามนิ้ว ที่น่าสะพรึงกลัวคือแต่ละนิ้วมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ภาพของไดโนเสาร์ไทรันโนซอรัสปรากฏขึ้นในหัวสมองของหลินเป่ยเฉินทันที
แต่หากจะนำมาเทียบกันแล้ว บางทีรอยเท้าของไทรันโนซอรัสอาจจะไม่ใหญ่โตขนาดนี้ด้วยซ้ำ
นอกจากรอยเท้ายักษ์ที่แปลกประหลาดเหล่านี้แล้ว ก็ยังมีร่องรอยของสิ่งพิสดารอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นร่องรอยที่คล้ายกับการหวดฟาดของหนวดปลาหมึกยักษ์ ร่องรอยของสัตว์ประหลาดสามหัวที่กระแทกพื้นดิน ร่องรอยของมนุษย์ที่ถูกเหยียบย่ำจมหายลงไปใต้พื้นธรณี…