เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1650 ตกสู่หลุมพรางไร้ทางออก
ตอนที่ 1,650 ตกสู่หลุมพรางไร้ทางออก
สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนไปทันที
สถานการณ์ในอาณาจักรหลิวเยวียนเริ่มปั่นป่วนนับตั้งแต่ที่หัวหน้าภูตอเวจีผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นมา และเปลวไฟแห่งสงครามก็ปะทุตัวอย่างรุนแรง
เมื่อได้ยินเสียงของหัวหน้าภูตอเวจี ผู้คนก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว
หรือว่าอวี้เหวินซิวเซียน…
“ขอบคุณที่พาข้ามาถึงที่นี่”
อวี้เหวินซิวเซียนยังคงกล่าวด้วยเสียงของสตรีต่อไป เป็นน้ำเสียงของสตรีที่มีตำแหน่งสูงส่งและมีพลังอำนาจแข็งแกร่ง
ก่อนหน้านี้ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าหัวหน้าภูตอเวจีเป็นบุรุษหรือสตรีกันแน่
แต่เมื่อได้ยินเสียงอย่างชัดเจน ทุกคนจึงทราบแล้วว่าหัวหน้าภูตอเวจีเป็นสตรี
นี่พวกของเฟิงเสี่ยวไป๋ถูกหลอกใช้อย่างนั้นหรือ?
ไม่น่าใช่
เพราะข้อมูลเกี่ยวกับกระดูกอาถรรพ์ที่พวกเขาได้มาจากจิตใต้สำนึกของอวี้เหวินซิวเซียนนั้น แสดงให้เห็นว่าหัวหน้าภูตอเวจีต้องการของสิ่งนี้จริง ๆ
แล้วทำไมนางถึงพูดออกมาเช่นนั้น?
หรือว่าบนเกาะกระดองเต่าแห่งนี้จะมีค่ายอาคมบางอย่างที่ทำให้หัวหน้าภูตอเวจีมาที่นี่ด้วยตนเองไม่ได้ ดังนั้นนางจึงต้องยืมมือเผ่าพันธุ์มนุษย์ ในการนำตัวอวี้เหวินซิวเซียนมายังสถานที่แห่งนี้?
กลุ่มคนที่มีสติปัญญาสูงส่งย่อมทำความเข้าใจได้ไม่ยาก
“ขัดขวางอวี้เหวินซิวเซียนเอาไว้”
เฟิงเสี่ยวไป๋รีบตะโกนออกมาทันที “อย่าให้เขาเอากระดูกอาถรรพ์ไปได้”
วูบ!
ท่านผู้คุมสภาเหวี่ยงหมัดออกไปข้างหน้า
เมื่อกล่าวถึงความแข็งแกร่งของร่างกาย หากกวาดตามองทั่วอาณาจักรหลิวเยวียน ไม่น่าจะมีผู้ใดแข็งแกร่งมากไปกว่าเฟิงเสี่ยวไป๋อีกแล้ว และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงพลังออกมาอย่างเต็มอัตรา
กำปั้นทะยานผ่านอากาศตรงเข้าไปหาอวี้เหวินซิวเซียนด้วยอานุภาพการทำลายล้างน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าลำแสงกระบี่
“ฮ่า ๆๆ…”
อวี้เหวินซิวเซียนระเบิดเสียงหัวเราะเยาะ
ปีศาจหนุ่มยกมือขึ้นและสามารถคว้าจับกำปั้นของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างง่ายดาย มิหนำซ้ำ เขายังเพิ่มแรงบีบที่ฝ่ามือพร้อมกับหัวเราะในลำคอ “เจ้ายังอ่อนหัดนัก”
ในเวลาเดียวกันนี้ สมาชิกคณะสำรวจสุสานคนอื่น ๆ ก็ลงมือโจมตีแล้วเช่นกัน
สองคนพยายามจัดการฟางเว่ยอ้าย
ส่วนอีกหกคนก็พยายามโจมตีอวี้เหวินซิวเซียน
“ตายซะเถอะ!”
ฉินม่อเฟยหัวหน้าตระกูลฉินยกมือขึ้น
ฝุ่นผงสีเขียวเข้มระเบิดออกมา ก่อนที่ฝุ่นผงเหล่านั้นจะเปลี่ยนแปลงกลายเป็นหมาป่าและพยัคฆ์เขียวอย่างละสิบตัว พวกมันระเบิดเสียงคำรามดุร้าย พุ่งเข้าไปหาอวี้เหวินซิวเซียนด้วยความรวดเร็วสายฟ้าฟาด
ตระกูลฉินเป็นผู้สืบสายเลือดผู้ใช้พิษ มีความชำนาญเรื่องการใช้ยาพิษ
และฉินม่อเฟยก็เป็นผู้ที่มีฝีมือน่ากลัวที่สุดประจำตระกูล
เขาใช้วิชาประจำตระกูลอย่างวิชา ‘พิษอสุรา’ คิดค้นยาพิษตัวใหม่ออกมาในชื่อว่าพิษหมอกเขียว ซึ่งผงพิษเหล่านั้นก็จะแปลงร่างกลายเป็นสัตว์ร้ายโจมตีศัตรู
ใครก็ตามที่ถูกสัตว์ร้ายเหล่านั้นกัด พวกเขาก็จะต้องเสียเลือดไปจนตาย แม้แต่ผู้ที่อยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิก็ยากต่อการรับมือ
แต่อวี้เหวินซิวเซียนกลับดูดผงพิษเหล่านั้นเข้าตัวหน้าตาเฉย
“ซู้ด…”
อวี้เหวินซิวเซียนทำปากเหมือนกำลังดูดน้ำ แล้วหมาป่ากับพยัคฆ์เขียวอย่างละสิบตัว ก็ถูกดูดหายเข้าไปในปากของเขาหมดสิ้น
ปีศาจหนุ่มทำแก้มป่อง ก่อนจะพ่นพิษกลับออกมา
พรวด!
ลูกศรสีเขียวเข้มพุ่งออกมาจากปากของอวี้เหวินซิวเซียน
ฉินม่อเฟยไม่ทันได้กระโดดหลบ หน้าอกฝั่งขวามือก็ถูกลูกศรปักเข้าใส่อย่างจัง
โลหิตที่ไหลทะลักออกมาจากบาดแผลกลายเป็นของเหลวสีเขียวเหนียวหนืด ร่างกายครึ่งหนึ่งกลายเป็นผลึกน้ำแข็ง สีหน้าบอกชัดถึงความตกตะลึง
ปรากฏว่ายาพิษที่ถูกอวี้เหวินซิวเซียนดูดกลืนเข้าไปนั้น ยังสามารถย้อนกลับมาเล่นงานผู้เป็นเจ้าของเดิมได้อีกด้วย
ฉินม่อเฟยร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด ก่อนล่าถอยอย่างต่อเนื่อง และรีบนำยาถอนพิษออกมากิน และในเวลาเดียวกันนี้ ก็ใช้วิชาประจำตระกูลพยายามสะกดพิษในร่างกาย
“พวกเราร่วมมือกัน”
เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ สมาชิกของคณะสำรวจสุสานคนอื่น ๆ ก็ไม่กล้าประมาทคู่ต่อสู้อีกแล้ว
แต่อวี้เหวินซิวเซียนก็สามารถรับมือการโจมตีรอบทิศทางได้อย่างไม่มีปัญหา
“หมื่นนาคามรณะ!”
ร่างกายของเขาปกคลุมด้วยคลื่นพลังสีม่วงเข้ม ก่อนที่คลื่นพลังเหล่านั้นจะเปลี่ยนรูปทรงกลายเป็นงูยักษ์ตัวใหญ่ เลื้อยเข้าไปหากลุ่มคนทั้งห้าชีวิต
พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
ห้าหัวหน้าตระกูลใหญ่ต่างก็ถูกหางงูยักษ์สะบัดฟาดใส่กระเด็นออกไปเลือดไหลทะลักออกปาก
ความแตกต่างระหว่างขั้นพลังมีมากเกินไป
พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอวี้เหวินซิวเซียน
“เพลงหมัดดาวฤกษ์… จงตายซะเถอะ!”
เฟิงเสี่ยวไป๋ระเบิดเสียงคำรามกู่ก้อง ตัวคนพุ่งผ่านเป็นลำแสงสีทองคำ กำปั้นในมือเงื้อขึ้นสูง คลื่นพลังห่อหุ้มข้อมือของเขาราวกับดาวหางที่กำลังพุ่งผ่านลงมาจากชั้นบรรยากาศ และดาวหางลูกนั้นก็กำลังจะตกลงมาใส่เจ้างูยักษ์
ในคณะเดินทางครั้งนี้ มีเพียงเฟิงเสี่ยวไป๋ผู้เดียวที่อยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิ
มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับอวี้เหวินซิวเซียนได้
ในเวลาเดียวกันนี้
ฟางเว่ยอ้ายซึ่งถูกปราณปีศาจกลืนกินโดยสมบูรณ์ก็ระเบิดพลังต่อสู้ออกมาได้อย่างน่าสะพรึงกลัว บนหน้าผากของเขาถึงกับปรากฏเขาสีม่วงขนาดเล็กงอกขึ้นมา และตามข้อต่อของร่างกายก็ปรากฏหนามแหลมแทงทะลุผิวหนัง บัดนี้ ชายวัยกลางคนได้กลายเป็นปีศาจโดยสมบูรณ์แล้ว
“แย่แล้วสิ วิญญาณถูกกลืนกินหมดแล้ว”
อวี้พั่วเซียวมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป
การที่วิญญาณถูกกลืนกินคืออาการขั้นรุนแรงสูงสุดของผู้ที่ถูกพลังปีศาจแทรกแซง
กล่าวคือ ระยะการแทรกซึมของปราณปีศาจนั้นจะแบ่งออกเป็นระดับ 1 ระดับ 2 และระดับ 3 ยิ่งระดับสูงมากเท่าไหร่ การแทรกซึมก็ยิ่งหนาแน่นมากเท่านั้น
และหากวิญญาณถูกกลืนกินเมื่อไหร่ นั่นก็เป็นสิ่งที่เกินเยียวยาแล้ว
“พวกเราระวัง อย่าให้ถูกเขาข่วนเด็ดขาด”
หนึ่งในคณะสำรวจร้องตะโกนด้วยความตกใจ
ผู้ที่วิญญาณถูกพลังปีศาจกลืนกินนั้นจะมีสถานะเป็นตัวแพร่เชื้อปีศาจ สามารถทำให้ผู้อื่นติดเชื้อปีศาจได้อย่างง่ายดายยิ่ง
สถานการณ์อันตรายมากยิ่งขึ้น
พลั่ก!
เฟิงเสี่ยวไป๋ซวนเซถอยหลังออกมาหลายก้าว
เส้นผมสีดำปลิวไสวราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังโกรธแค้น
ทันใดนั้น ร่างของชายวัยกลางคนก็ระเบิดคลื่นพลังที่เปล่งแสงสว่างเจิดจ้าราวกับพระอาทิตย์แผดเผา ส่งผลให้อุณหภูมิในบรรยากาศรอบตัวร้อนระอุขึ้นมาทันที
เมื่อการต่อสู้ดำเนินมาถึงจุดนี้ เฟิงเสี่ยวไป๋ก็ไม่มีหนทางให้ถอยหนีอีกแล้ว
วิชาที่เฟิงเสี่ยวไป๋กำลังใช้ออกมานั้นมีชื่อเรียกขานว่าวิชาหลักศิลาฟ้า เป็นวิชาการต่อสู้ของจอมเทพจักรพรรดิระดับ 3 และเมื่อผนวกเข้ากับความแข็งแกร่งของร่างกาย เฟิงเสี่ยวไป๋จึงขยายขนาดร่างกายของตนเองใหญ่มากกว่าเดิมเป็นสองเท่า ชุดเกราะของเขาระเบิดกระจาย แสงสีทองคำปกคลุมทั่วร่าง มัดกล้ามเนื้อปูดโปนอย่างน่าขนลุก
พลังกดดันจากกำปั้นของเฟิงเสี่ยวไป๋มีมากมายมหาศาลเสียจนพื้นของกระดองเต่าเริ่มเกิดรอยแตกร้าวขึ้นมาแล้ว…
นี่เป็นพลังหมัดที่สามารถสังหารผู้ที่อยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิได้สบาย ๆ
หรือต่อให้จัดการกับผู้ที่อยู่ในขั้นจอมเทพจักราระดับ 1 ก็ยังไหว
แต่หมัดนี้ของเฟิงเสี่ยวไป๋กลับไม่สามารถสร้างอันตรายให้ระคายผิวอวี้เหวินซิวเซียนแม้แต่น้อย
ขณะที่อวี้เหวินซิวเซียนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความสะใจทันที