เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1659 ความยุติธรรมที่แท้จริง
ตอนที่ 1,659 ความยุติธรรมที่แท้จริง
แล้วเขาก็ได้เห็นบรรดาคุณชายชื่อดังประจำเมืองพร้อมด้วยเหล่าขุนนางใหญ่โตกว่ายี่สิบคน ถูกจับใส่กุญแจดับดาราควบคุมตัวอยู่ในลานประหาร เผ่าพันธุ์มนุษย์ถูกนำตัวมาประหารชีวิตบนแท่นยกพื้นสูง บัดนี้ เจ้าหน้าที่บนเวทีกำลังอ่านโทษทัณฑ์ความผิดของนักโทษประหารแต่ละคน…
ลานประหารรายล้อมไปด้วยผู้คนหลายพันชีวิต
มีทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์และมีทั้งเผ่าพันธุ์ปีศาจ
ตอนแรก หลินเป่ยเฉินอยากจะบุกขึ้นไปช่วยเหลือนักโทษประหารเหล่านั้น
แต่เมื่อได้รับฟังความผิดของนักโทษแต่ละคน สีหน้าของเด็กหนุ่มก็แปรเปลี่ยนไป
ปรากฏว่านักโทษประหารทั้งยี่สิบคนต่างก็ก่อความผิดร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการฉ้อราษฎร์บังหลวง ข่มขู่รีดไถชาวบ้าน รวมไปถึงการสังหารผู้คนตามใจชอบ…
สมควรถูกนำตัวมาประหารชีวิตตามกฎหมายที่สภาขุนนางประจำเมืองหลันจี๋ซิงได้บัญญัติเอาไว้อยู่แล้ว
นี่ไม่ใช่การประหารจากกฎหมายของพวกปีศาจ
ว่าแต่นักโทษประหารเหล่านี้ถูกใส่ร้ายหรือเปล่านะ?
หลินเป่ยเฉินพยายามกางหูรับฟังเสียงพูดคุยของผู้คนรอบกายขณะเฝ้ามองพิธีการประหารชีวิตดำเนินต่อไป
ผู้คนที่มารับชมการประหารชีวิตต่างก็เป็นชาวบ้านเดินดิน ตอนแรก พวกเขาก็รวมตัวกันหนาแน่นด้วยความหวาดกลัวและหวาดระแวง
แต่เมื่อพิธีการประหารชีวิตเริ่มต้นขึ้น สีหน้าของทุกคนก็บอกชัดถึงความประหลาดใจ
โดยไม่รู้ตัว กลุ่มผู้คนก็ส่งเสียงตะโกนกึกก้องว่า
“ประเสริฐ ฉู่เทียนหนานก่อกรรมทำเข็ญมากเกินไป มันสมควรตายมานานแล้ว…”
“คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายกลับเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้แก่พวกเรา…”
“พ่อลูกตระกูลเนี้ยสมควรตายแล้วจริง ๆ พวกมันสมควรตายมานานแล้ว พวกมันเป็นถึงนายทหารระดับสูงในกองทัพชิงเหยียนแท้ ๆ แต่กลับหาประโยชน์จากอำนาจ ผูกขาดการซื้อขายโอสถในตลาดการค้าแต่เพียงผู้เดียว ท่านหมอยาเซินที่ออกมาเปิดโปงความจริงเรื่องนี้กลับถูกฆ่าตายอย่างน่าอนาถ กว่ายี่สิบปีที่ไม่มีผู้ใดสามารถทำอะไรพ่อลูกคู่นี้ได้เลย แต่วันนี้ เผ่าพันธุ์ปีศาจได้แก้แค้นให้แก่ท่านหมอยาเซินแล้ว…”
“ฆ่าได้ดี”
กลุ่มคนปรบมือโหร้องชื่นชม
“ใครจะไปคิดเลยว่าสุดท้ายกลับเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจที่นำความยุติธรรมมาให้ประชาชนคนธรรมดาอย่างพวกเรา…”
“ถึงพวกเราจะได้รับความยุติธรรมกลับคืนมา แต่ข้าก็อดรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้แฮะ”
เมื่อเห็นเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของเผ่าพันธุ์มนุษย์ตลอดมา จัดการประหารชีวิตพวกขุนนางโกงกินบ้านเมืองที่คอยเอารัดเอาเปรียบผู้คน ชาวเมืองบางส่วนก็มีสีหน้าแปลกประหลาด พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะได้รับความยุติธรรมก็ในวันที่เมืองทั้งเมืองถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจยึดครองไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อได้รับฟังการสนทนาจากชาวเมือง หลินเป่ยเฉินจึงตัดสินใจไม่ลงมือช่วยเหลือนักโทษประหาร
เห็นได้ชัดว่านักโทษประหารกลุ่มนี้สมควรตายแล้ว
ไม่มีประโยชน์ที่จะเข้าไปช่วย
หลังจากนั้น ตัวแทนจากฝ่ายเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ยืนอยู่บนเวทียกพื้นสูงก็ได้ประกาศกฎหมายฉบับใหม่ซึ่งจะใช้งานนับจากวันนี้เป็นต้นไป
กฎหมายฉบับใหม่บัญญัติว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจคือสิ่งมีชีวิตที่เท่าเทียมกัน ทั้งสองฝ่ายต่างต้องให้ความเคารพซึ่งกันและกันและจำเป็นต้องอยู่ร่วมด้วยกันอย่างสงบสุข
หากมีการขัดแย้งระหว่างผู้คนของทั้งสองเผ่าพันธุ์ ก็ให้ทำตามกฎหมายขั้นพื้นฐานโดยไม่มีข้อยกเว้น
ในเวลาเดียวกันนี้ สำนักอัสนีมืดก็ได้ประกาศนโยบายใหม่ออกมา
พวกเขาเปิดให้มีการแต่งงานระหว่างมนุษย์กับปีศาจอย่างเสรี
พวกเขารณรงค์ให้ผู้คนทั้งสองเผ่าพันธุ์ลืมเลือนความแค้นในอดีตและเริ่มต้นใหม่สู่อนาคตที่รุ่งเรือง
มีการรณรงค์ให้ร่วมธุรกิจกันระหว่างทั้งสองเผ่าพันธุ์
มีการรณรงค์ให้เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจส่งบุตรหลานไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาเดียวกัน
มีการรณรงค์ให้เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจช่วยเหลือกันฝึกฝนผู้ฝึกยุทธ์หน้าใหม่ และมีการจ้างงานเผ่าพันธุ์ปีศาจให้เข้าร่วมเป็นนายทหารในกองทัพประจำเมือง…
มีการรณรงค์ให้เลือกตั้งสมาชิกในสภาขุนนางครั้งใหม่
หลินเป่ยเฉินรับฟังนโยบายทั้งหมดด้วยความรู้สึกคุ้นเคย
ให้ตายเถอะ ทั้งหมดนี้เป็นนโยบายของหลินเป่ยเฉินที่เคยประกาศใช้งานในนครเจาฮุย ระหว่างที่เขายังอยู่ในจักรวรรดิเป่ยไห่ไม่ใช่หรือ?
แค่เปลี่ยนจากชาวเผ่าทะเลเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจเท่านั้น
โดยเฉพาะเรื่องการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข การยึดถือกฎหมายฉบับเดียวกัน การสนับสนุนส่งเสริมการค้าขายระหว่างเผ่าพันธุ์ รวมไปถึงการส่งบุตรหลานเข้าศึกษาในสำนักศึกษาเดียวกัน
นี่มีคนลอกเลียนแบบนโยบายของเขาใช่หรือไม่?
หลินเป่ยเฉินยกมือทำท่าดันแว่น
ดูเหมือนสำนักอัสนีมืดจะพยายามอย่างหนักที่จะทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
แต่โลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น
ตอนที่อยู่ในนครเจาฮุย ชาวเผ่าทะเลได้เคยขึ้นบกมาทำการค้าขายในตัวเมืองเป็นเวลาช้านาน แม้ภายหลังเมื่อเผ่าทะเลบุกโจมตีเมืองมนุษย์ ความเกลียดชังระหว่างผู้คนทั้งสองเผ่าพันธุ์เพิ่มมากขึ้น แต่มันก็เทียบไม่ได้เลยกับความเกลียดชังระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจในเมืองหลันจี๋ซิง
เพราะความเกลียดชังของพวกเขามันหยั่งรากลึกมากเกินไป
และบัดนี้ ถึงกับมีการตั้งซุ้มปีศาจอยู่ทั่วทุกหัวมุมถนน
สำหรับผู้ใดที่อยากจะมีพลังแข็งแกร่งมากขึ้น พวกเขาก็สามารถเดินเข้าไปที่ซุ้มปีศาจเหล่านี้ เพื่อทำเรื่องขึ้นทะเบียนขอย้ายเผ่าพันธุ์เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ หลังจากนั้น คนผู้นั้นก็จะได้รับการถ่ายทอดพลังปราณปีศาจ จนกลายเป็นปีศาจโดยสมบูรณ์
ความแข็งแกร่งคือสิ่งที่ดึงดูดใจผู้คนได้เป็นจำนวนมาก
มีใครบ้างไม่อยากเป็นผู้แข็งแกร่ง?
ผู้แข็งแกร่งย่อมเป็นผู้แข็งแกร่งอยู่วันยันค่ำ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใดก็ตาม
โดยเฉพาะเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีพลังปราณแข็งแกร่งกว่ามนุษย์เป็นพื้นฐาน แม้อยู่ในขั้นพลังเดียวกัน แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจก็มีความแข็งแกร่งมากกว่ากันหลายเท่า มิหนำซ้ำ ข้อจำกัดในการฝึกวิชาของเผ่าพันธุ์ปีศาจยังไม่ได้มีรายละเอียดยิบย่อยเหมือนเผ่าพันธุ์มนุษย์อีกด้วย
หลังจากที่หลินเป่ยเฉินเดินสำรวจในตัวเมืองอยู่หลายรอบ เขาก็พอจะสรุปสถานการณ์โดยคร่าว ๆ ได้ว่า
เมืองหลันจี๋ซิงถูกยึดครองโดยเผ่าพันธุ์ปีศาจ
สำนักอัสนีมืดกลายเป็นผู้ปกครองใหม่
สามวันก่อน เมื่อประตูสุสานโบราณถูกเปิดออก บรรดาคนใหญ่คนโตของสภาขุนนางเช่นเดียวกับผู้คนของเก้าตระกูลใหญ่ต่างก็เข้าไปค้นหาสมบัติภายในนั้น
กองทัพปีศาจจึงใช้โอกาสนี้บุกโจมตีด้วยแผนการที่วางมานานแล้ว
แม้ว่าทางสภาขุนนางและสี่ทัพหลวงจะวางกองกำลังป้องกันอย่างหนาแน่น แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่ได้เตรียมตัวป้องกันไว้ก็คือการรับมือกับผู้ทรยศที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกันเอง
ตระกูลฮั่ว ตระกูลคง และตระกูลเซินผนึกกำลังร่วมกับแม่ทัพใหญ่ส่วนหนึ่งจากสี่ทัพหลวงทำการยึดอำนาจสภาขุนนางด้วยความดุดันอำมหิต
การต่อสู้เกิดขึ้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ตกตายเป็นจำนวนมาก
และสมาชิกเผ่าพันธุ์ปีศาจระดับสูงสามตัว นำโดยปีศาจหญิงเฉาคงก็ได้แฝงตัวเข้าไปทำลายกองทัพต้าเฟิง จนเกิดสงครามปะทุขึ้นอีกครั้งที่ริมแม่น้ำเทียนซุย
เมื่อการต่อสู้จบลง กองทัพต้าเฟิงก็แตกสลายย่อยยับ นอกจากถูกปีศาจเล่นงานแล้ว พวกเขายังถูกมนุษย์ด้วยกันเองหักหลังอย่างน่าเจ็บใจ สุดท้ายก็มีนายทหารเพียงหยิบมือเดียวสามารถโดยสารเรือเหาะหลบหนีออกไปจากเมืองหลันจี๋ซิงได้สำเร็จ
และบรรดาหัวเมืองใหญ่ทั่วอาณาจักรหลิวเยวียนต่างก็ถูกกองทัพปีศาจยึดอำนาจในรูปแบบนี้ และบางเมืองก็ไม่เกิดการต่อสู้ ทำให้กองทัพปีศาจไม่ต้องสูญเสียเลือดเนื้อเลยแม้แต่หยดเดียว
สำหรับสภาขุนนางและสี่ทัพหลวง นี่คือความอัปยศสูงสุด
แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายล้างบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมทางศิลปะ ตลาดการค้าและอารยธรรมแห่งอาณาจักรหลิวเยวียน พวกเขาจึงต้องจำใจอยู่ภายใต้การปกครองของเผ่าพันธุ์ปีศาจ
และนั่นก็เพื่อไม่ให้ชาวเมืองต้องเสียชีวิตด้วยเช่นกัน
คำถามทั้งหมดของหลินเป่ยเฉินได้รับคำตอบแล้ว
และในบ่ายวันเดียวกันนี้เอง คณะสำรวจสุสานโบราณขององค์ชายหลิงเยวียนหลง หลิงเฉินและพวกของเฟิงเสี่ยวไป๋ก็ได้กลับออกมาพบความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้เช่นกัน แต่สถานการณ์ของพวกเขาเลวร้ายกว่าที่หลินเป่ยเฉินคาดคิดเอาไว้หลายเท่า!