เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1670 เปิดประตูมิติสู่ดินแดนตงเต้า
ตอนที่ 1,670 เปิดประตูมิติสู่ดินแดนตงเต้า
แล้วต้นกำเนิดประตูมิติสู่ดินแดนตงเต้าก็ถูกจุดติดทันที
แทบจะในเวลาเดียวกันนี้ หลินเป่ยเฉินก็รู้แล้วว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เขาหลับตาลง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองถูกดูดเข้าไปผ่านอุโมงค์ที่มีแต่ดวงดาวไร้จุดสิ้นสุด ร่างกายถูกบีบอัดด้วยคลื่นพลังแปลกประหลาด มีเสียงพ่อแม่พี่น้องเรียกหาเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เช่นเดียวกับเสียงเพรียกหาจากบ้านเกิดเมืองนอน...
แผ่นดินตงเต้า
หลินเป่ยเฉินยิ้มร่าออกมาด้วยความดีใจ
นี่มันง่ายเกินไปไหมเนี่ย?
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็รีบตั้งสมาธิและสัมผัสถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกายต่อไป
แผ่นดินเบื้องหน้ากำลังขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินรู้สึกไม่ต่างจากกำลังใช้นิ้วมือขยายแผนที่ในแอปไป่ตู้ แมป ดังนั้น… สิ่งที่เขาเห็นจากภาพสองมิติจึงค่อย ๆ ขยายขนาดใหญ่ขึ้นกลายเป็นภาพสามมิติ กลายเป็นแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล กลายเป็นเมืองน้อยเมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่ทั่วแผ่นดินตงเต้า
หลินเป่ยเฉินปรับสายตาของตนเองให้สนใจแต่บนแผ่นดินใหญ่
เขามองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
นี่คือดินแดนที่ถูกปิดผนึกกาลเวลาด้วยพลังแห่งเวทมนตร์
เป็นการปิดผนึกกาลเวลาด้วยพลังจากวงแหวนอันธการของชิงเล่ย
แผ่นดินตงเต้า
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็เปิดประตูมิติกลับมาสู่แผ่นดินตงเต้าได้สำเร็จแล้ว
เมื่อหลินเป่ยเฉินคิดได้ดังนี้ ร่างของเขาก็ไปปรากฏขึ้นบนแผ่นดินตงเต้า
เป็นร่างที่ถูกฉายออกไปด้วยกระแสจิต
กลับมาแล้วโว้ย!
หลินเป่ยเฉินยิ้มด้วยความดีใจ
เขากวาดตามมองสภาพแวดล้อมรอบกายและสัมผัสได้ถึงพลังของโลกที่คุ้นเคย
ที่นี่คือดินแดนแห่งความไม่สมบูรณ์ ดินแดนที่มีแต่ผู้คนอ่อนแอ ดินแดนที่มีแต่การแย่งชิงอำนาจ
แต่สิ่งที่หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงเลยก็คือ พลังที่เขาหลอมรวมได้มาจากแดนมหาแผ่นดินหรือเส้นทางดาราจักรเหล่านั้น กลับไม่สามารถนำมาใช้งานที่แผ่นดินตงเต้าได้เลย
เป็นเพราะอะไรกัน?
หากอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คงต้องบอกว่า นี่เปรียบเสมือนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินไม่สามารถเติมน้ำมันดีเซลได้นั่นเอง
โชคดีที่หลินเป่ยเฉินผู้หล่อเหลาเติบโตขึ้นมาในแผ่นดินตงเต้า ณ จักรวรรดิเป่ยไห่ ร่างกายของเขาจึงสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว
พลังยุทธ์และพลังปราณธาตุที่หลินเป่ยเฉินเคยบรรลุสมัยฝึกวิชาอยู่ในจักรวรรดิเป่ยไห่ ยังคงสามารถนำกลับมาใช้งานได้ต่อจากเดิมเสมอ
แต่ในเวลาเดียวกันนี้ ถ้ามีพวกปีศาจจากเส้นทางดาราจักรแอบติดตามหลินเป่ยเฉินมาโจมตีเขาในขณะนี้ หลินเป่ยเฉินก็คงมีแต่ตายกับตายเท่านั้น
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกโอรสสวรรค์ยามบุกมาที่แผ่นดินตงเต้า พวกมันจึงถูกฆ่าตายได้ยากเย็นนักหนา ไม่ว่าฆ่าตายไปกี่ครั้ง พวกนั้นก็ฟื้นกลับขึ้นมาใหม่แทบทุกครั้ง… เพราะว่าพลังในแผ่นดินตงเต้านั้น ไม่สามารถทำอันตรายพวกมันได้ถึงตายนั่นเอง
แต่หากมาเผชิญหน้ากันอีกครั้งในเส้นทางดาราจักร ความแข็งแกร่งของหลินเป่ยเฉิน ณ ปัจจุบัน ย่อมสามารถฆ่าโอรสสวรรค์ตายได้ด้วยการสะบัดผมแค่เส้นเดียวแล้ว
หลินเป่ยเฉินควบคุมสมาธิของตนเองและสำรวจสภาพแวดล้อมต่อไป
นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินมายังแผ่นดินใหญ่ด้วยตัวเองเพียงลำพัง
ถึงแม้ว่าแผ่นดินตงเต้าจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนพวกดินแดนในเส้นทางดาราจักร แต่แน่นอนว่าแผ่นดินแห่งนี้ย่อมมีขนาดไม่เล็ก เพราะหากจะให้หลินเป่ยเฉินออกเดินสำรวจทั่วทุกตัวเมือง เขาก็คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายสิบวัน
ยังคงมีหลายสิ่งหลายอย่างให้ออกสำรวจ
แต่บัดนี้ หลินเป่ยเฉินไม่มีเวลา
เขาลอยตัวกลับขึ้นมากลางอากาศอีกครั้ง
ค่อย ๆ ถอยห่างออกมาเรื่อย ๆ
โลกที่ชัดเจนย่อขนาดเล็กลงไปกลายเป็นภาพสองมิติ
และมุมมองใหม่นี้เองก็ทำให้หลินเป่ยเฉินได้ค้นพบความจริงที่เขาไม่เคยสังเกตมาก่อน
สิ่งที่เรียกว่าดินแดนทวยเทพนั้น แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงดินแดนขนาดเล็กที่ลอยตัวอยู่เหนือแผ่นดินตงเต้า และอาณาเขตส่วนใหญ่ก็แบ่งแยกออกเป็นสองส่วนคือส่วนของตัวเมืองกับชานเมืองเท่านั้น
กล่าวคือ สำหรับแผ่นดินตงเต้ากับดินแดนทวยเทพ ก็ไม่ต่างอะไรจากโลกมนุษย์กับดวงจันทร์ดี ๆ นี่เอง
มนุษย์ยุคโบราณเคยจินตนาการว่าดวงจันทร์เป็นสถานที่อยู่อาศัยของเทพเจ้า
และมนุษย์ในแผ่นดินตงเต้าก็มีความเชื่อมั่นในเทพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง
ระหว่างที่ลอยตัวอยู่ในอุโมงค์แห่งดวงดาว หลินเป่ยเฉินยังได้ค้นพบกับดินแดนอีกมากมายที่ลอยวนเวียนอยู่ใกล้เคียงกับแผ่นดินตงเต้า
เด็กหนุ่มพบเห็นดินแดนของชาวเผ่าจันทราขาว
ดินแดนขนาดเล็กที่ไม่ต่างไปจากดาวเทียมดวงหนึ่ง
แต่เนื่องจากมันถูกห้อมล้อมด้วยคลื่นพลังแปลกประหลาดจากแผ่นดินตงเต้า ดินแดนของชาวเผ่าจันทราขาวจึงมีความเหมาะสมต่อการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต
หลินเป่ยเฉินเดาเอาว่าพวกดินแดนที่ลอยตัวอยู่รอบ ๆ แผ่นดินตงเต้าก็น่าจะมีระบบการทำงานไม่ต่างไปจากนี้
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจเปิดประตูมิติลงไปสำรวจดูที่ดินแดนทวยเทพ
ดินแดนทวยเทพมีขนาดไม่ใหญ่
ในไม่ช้า เด็กหนุ่มก็กลับไปถึงคฤหาสน์บนภูเขาเสี่ยวฝูของตนเอง
ใต้ต้นไม้โบราณหน้าคฤหาสน์ ชิงเล่ยยังคงลอยตัวนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ
ดวงตาของนางปิดสนิทแน่น ใบหน้ายังคงสวยงามอ่อนหวาน ไม่ต่างไปจากรูปปั้นแกะสลักที่สวยงามที่สุดในโลก
ในสนามหญ้า
อันอัน ฉินเฉียนเซวียน และบรรดาเด็กน้อยอีกหลายสิบชีวิต ทุกคนแต่งกายสะอาดสะอ้าน ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม ร่างกายยังคงหยุดชะงักอยู่ในอากัปกิริยาที่กำลังเล่นสนุกอยู่กับพี่เลี้ยงเด็กอย่างฉางจิ้งคง
นี่คือภาพที่อบอุ่นและน่ารัก ทำให้มุมปากของหลินเป่ยเฉินยกตัวขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย
หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกไปสัมผัสพวงแก้มของชิงเล่ยแผ่วเบา
พลัน ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเบิกโต
หัวใจของเขากระตุกวูบ
เพราะว่าที่ข้างขมับของชิงเล่ย เส้นผมของนางได้กลายเป็นสีขาวไปเสียแล้ว
และบนศีรษะของนางก็มีเส้นผมสีขาวขึ้นแซมเส้นผมสีดำเป็นจำนวนไม่น้อย
“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้?”
หลินเป่ยเฉินย้อนกลับมาสังเกตใบหน้าของชิงเล่ยอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ไม่ทราบว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ แต่เด็กหนุ่มรู้สึกว่าชิงเล่ยผู้งดงามอ่อนหวานของเขาแก่ชราขึ้นไม่น้อย
วงแหวนอันธการคงดูดกลืนพลังชีวิตของนางเป็นจำนวนมหาศาล
“ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวข้าก็หาวิธีชุบชีวิตพวกเจ้าได้แล้ว ข้าจะไม่ให้พวกเจ้าต้องเหนื่อยอีกต่อไป”
หลินเป่ยเฉินพูดในความเงียบ
ยังมีอีกหลายคนที่เขาอยากจะไปพบเจอ
ไม่ว่าจะเป็นท่านอาจารย์ฉู่เหิน หลิงไท่ซวี หลิงจุนเซวียน เฉียนเหมยและเฉียนเจิน…
ทุกคนต่างก็ถูกแช่แข็งอยู่ในค่ายอาคมแห่งการปิดผนึกกาลเวลา
แต่ว่าหลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาแล้ว
เขาทราบดีว่า ‘การเชื่อมต่อ’ ในครั้งนี้ต้องยุติลงก่อน
หลินเป่ยเฉินรีบสลายพลังจิต
ลมหายใจต่อมา เด็กหนุ่มก็ลืมตากลับมาอยู่ในห้องพักบนเรือเหาะหยางเว่ยอีกครั้ง
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
นักพรตหญิงชินรีบถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล