เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1676 ปล่อยพวกเขาไปเถอะ
ตอนที่ 1,676 ปล่อยพวกเขาไปเถอะ
หลินเป่ยเฉินรีบรับหน่ออ่อนของไผ่สามกษัตริย์มาถือไว้โดยไม่ลังเล
“ทรัพย์สินของมีค่ามีอะไรบ้าง จงส่งมอบออกมาให้หมด…”
หลินเป่ยเฉินข่มขู่
ครั้งนี้ถือเป็นลาภลอยของเขาจริง ๆ
หลินเป่ยเฉินไม่คิดไม่ฝันเลยว่าต้นไผ่สามกษัตริย์จะมาอยู่ในมือเขาอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้
สุยฮันเหยียนต้องพยายามฝืนทนความเจ็บปวดรวดร้าวทางจิตใจและส่งมอบทรัพย์สินของมีค่าทั้งหมดออกไปด้วยความไม่เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง… หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ นางคงไม่มีทางบุกขึ้นเรือเหาะหยางเว่ยเด็ดขาด
“กราบเรียนนายน้อย ข้ามีความลับอยากจะเปิดเผย ในร่างกายของหานเซียวยังคงซุกซ่อนของมีค่าเอาไว้…”
ในเมื่อนางอัปโชค สุยฮันเหยียนจึงตัดสินใจไม่ยอมหมดตัวแต่เพียงผู้เดียว
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินหันขวับไปมองหน้าหานเซียว
ด้วยแววตา…
ไม่เป็นมิตร
เดือดร้อนให้หานเซียวต้องรีบนำแผ่นหยกที่แกะสลักเป็นรูปนกเพลิงตัวหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเล่นแร่แปรธาตุของตนเอง หานเซียวประคองส่งแผ่นหยกนั้นออกมาด้วยสองมือพร้อมกับกล่าวว่า “นี่คือแผ่นป้ายประจำตัวของผู้เข้าร่วมงานชุมนุมมังกรเหินฟ้า นายน้อยได้โปรดเก็บเอาไว้เถอะขอรับ”
งานชุมนุมมังกรเหินฟ้า?
หลินเป่ยเฉินรับแผ่นหยกมาดู
ผิวสัมผัสอ่อนนุ่มและยืดหยุ่น
วัตถุชิ้นนี้ทำขึ้นมาจากสิ่งที่เหมือนกับหยก แต่มันกลับมีลักษณะคล้ายคลึงแผ่นเหล็กที่สามารถอ่อนตัวได้ นอกจากมีน้ำหนักมหาศาลแล้ว ยังมีอุณหภูมิร้อนอุ่นเล็กน้อยอีกด้วย
รูปสลักของนกเพลิงที่อยู่บนแผ่นหยกเป็นรูปสลักที่สวยสดงดงาม แต่งแต้มรายละเอียดมองเห็นถึงขนนกทุกเส้น เช่นเดียวกับกรงเล็บที่คมกริบน่าหวาดกลัว
เพียงมองดูก็รู้ว่าเป็นงานแกะสลักจากศิลปินชั้นเลิศ
“ของสิ่งนี้มีประโยชน์อันใด?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
หานเซียวยิ้มตอบว่า “อีกครึ่งปีหลังจากนี้ นายน้อยสามารถนำมันไปเข้าร่วมงานชุมนุมมังกรเหินฟ้าได้ขอรับ”
“งานชุมนุมมังกรเหินฟ้าคืออะไร?”
หลินเป่ยเฉินถามต่อไป
สุยฮันเหยียนรีบชิงอธิบายโดยเร็วว่า “เป็นการแข่งขันเพื่อหาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งอาณาจักรซือเว่ยเจ้าค่ะ และผู้ที่จะเข้าร่วมการแข่งขันได้ ก็ต้องมีแผ่นหยกชนิดนี้อยู่ในการครอบครองเท่านั้น ซึ่งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็จะได้รับการแต่งตั้งให้กลายเป็นองค์จักรพรรดิองค์ใหม่แห่งอาณาจักรซือเว่ย… และคนผู้นั้นก็จะได้แต่งงานกับธิดาคนสุดท้องขององค์จักรพรรดิองค์เก่า นางได้รับการยกย่องให้เป็นยอดหญิงงามอันดับหนึ่งคนปัจจุบันของอาณาจักรซือเว่ย และจะได้รับการส่งมอบทรัพย์สินที่เหลืออยู่ในท้องพระคลังของราชวงศ์ต่อไป”
“ยอดหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรซือเว่ย?”
หลินเป่ยเฉินจับใจความสำคัญได้อย่างรวดเร็ว
“จักรพรรดิองค์ใหม่?”
นักพรตหญิงชินก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เช่นกัน
สุยฮันเหยียนรีบรับหน้าที่อธิบายต่อไป “องค์จักรพรรดิองค์เก่าเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ไม่มีเวลาได้แต่งตั้งผู้สืบทอดอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้ราชวงศ์เทียนหลางเซินล่มสลาย บรรดาคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ในราชวังต่างก็แก่งแย่งแข่งขันเพื่อแย่งชิงบัลลังก์มาครอบครองเป็นของตนเอง”
“พวกขุนนางในสภาบ้านเมืองก็เข้ามาแทรกแซงด้วยเช่นกัน บางคนอยากยึดราชบัลลังก์ บางคนต้องการปั่นป่วนสถานการณ์ บางคนต้องการฉวยโอกาสกอบโกยผลประโยชน์ และในเวลาเดียวกันนี้ เผ่าพันธุ์ปีศาจและเผ่าพันธุ์อสูรก็เริ่มบุกโจมตี…”
“สถานการณ์ในอาณาจักรซือเว่ยบัดนี้มีแต่ความปั่นป่วนโกลาหล สถานที่ทุกแห่งหนตกอยู่ในอันตราย ไม่มีความสงบสุขหลงเหลืออยู่อีกแล้ว”
เมื่อได้รับฟังคำอธิบายทั้งหมด นักพรตหญิงชินก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้าสลด
หากเป็นเช่นนี้…
ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีเหตุผล
ก่อนหน้านี้ นางนึกสงสัยอยู่ไม่หายว่าเพราะเหตุใดสำนักอัสนีมืดจึงกล้าบุกโจมตีอาณาจักรหลิวเยวียน โดยที่ทางสภาขุนนางของอาณาจักรซือเว่ย ซึ่งเป็นพันธมิตรโดยตรงของอาณาจักรหลิวเยวียนกลับไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเลยแม้แต่น้อย
นั่นเป็นเพราะว่าสถานการณ์ในอาณาจักรซือเว่ยก็ไม่ปกติสุขเช่นกัน การล่มสลายของอาณาจักรหลิวเยวียนจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเงียบงันเช่นนั้นเอง
บัดนี้ นักพรตหญิงชินเข้าใจทุกอย่างแล้ว
อาณาจักรซือเว่ยตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายไม่ได้แตกต่างไปจากอาณาจักรหลิวเยวียน
บรรดาคนใหญ่คนโตต่างก็แก่งแย่งแข่งขันเพื่อแย่งชิงอำนาจ ไม่มีเวลามาสนใจดินแดนเล็ก ๆ อย่างอาณาจักรหลิวเยวียนอีกแล้ว
ดังนั้น คำถามสำคัญจึงตามมา?
แล้วเหตุไฉนสภาสูงสุดจึงไม่เคลื่อนไหวเลย?
เหตุไฉนสภาสูงสุดจึงปล่อยให้สถานการณ์เลวร้ายถึงเพียงนี้?
นักพรตหญิงชินได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
ในขณะที่หลินเป่ยเฉินเริ่มต้นเวลาแห่งความสุขของตนเอง
ในไม่ช้า ทรัพย์สินของมีค่าทั้งหมดจากเรือเหาะหลี่เซวี่ยก็ถูกส่งมอบมาถึงมือหวังจงหมดสิ้น
หลินเป่ยเฉินจ้องมองสุยฮันเหยียนกับหานเซียวพร้อมกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยแววตาดุร้ายอำมหิต
คนพวกนี้คิดจะฆ่าเขาก่อนไม่ใช่หรือ?
“นายน้อยได้โปรดให้อภัยผู้ต่ำต้อยด้วย”
หานเซียวรับรู้ได้ว่ามีสิ่งไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้นจึงรีบร้องขอความเมตตาโดยเร็วไว “ผู้ต่ำต้อยเคยนำทัพต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ ผู้ต่ำต้อยเคยนำทัพต่อสู้กับเผ่าพันธุ์อสูร ผู้ต่ำต้อยเคยหลั่งเหงื่อเสียเลือดเพื่อมวลมนุษย์ ผู้ต่ำต้อย…”
สุยฮันเหยียนก็รู้แล้วว่าช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายของชีวิตได้มาถึงแล้ว จึงรีบส่งเสียงพูดดังกังวานว่า “กราบเรียนนายน้อย ข้าขอสาบานว่าจะไม่มีทางรังแกผู้อ่อนแออีกเป็นอันขาด นายน้อยได้โปรดให้อภัยข้าด้วยเถอะ ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์เหมือนกัน และทรัพย์สินของมีค่าที่ข้าได้มา ข้าก็ยกให้แก่นายน้อยทั้งหมดแล้ว”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น
เขาหันมองไปที่นักพรตหญิงชิน
หญิงสาวผมสีเงินจ้องตอบกลับมาด้วยแววตาเย็นชา
จริงด้วยสินะ
นักพรตหญิงชินไม่ใช่คนใจอ่อนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“นายน้อย ปล่อยพวกเขาไปเถอะ”
ทันใดนั้น หวังจงก็ส่งเสียงพูดขึ้นมา “กองทัพลูกศรโลหิตและกองทัพเซวียนเหยียนมีผู้คนมากมายเกินไป พวกเราคงฆ่าได้ไม่หมด อีกอย่าง ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนพวกเรา นายน้อยเพิ่งมาถึงที่นี่ ประเดี๋ยวภาพลักษณ์จะเสื่อมเสียนะขอรับ”
“มีเหตุผล”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นอีกครั้งก่อนจะหันไปมองหน้าหวังจงด้วยความประหลาดใจ “แต่เดี๋ยวก่อนนะ สุนัขรับใช้ที่เคยรู้จักแต่ขโมยเงินทองของข้าอย่างเจ้า อยู่ดี ๆ ไฉนจึงได้ฉลาดขึ้นมาถึงเพียงนี้?”
หวังจงยิ้มกว้าง ก่อนตอบว่า “นั่นเป็นเพราะบ่าวได้ติดตามนายน้อยไงขอรับ ทุกวันที่บ่าวได้อยู่ข้างกายนายน้อย สติปัญญาของบ่าวก็จะยิ่งฉลาดมากขึ้น แม้แต่หมูโง่ก็ยังมีวิวัฒนาการ นับประสาอะไรกับมนุษย์? บ่าวมั่นใจว่าต้องเป็นเพราะเหตุผลนี้แน่นอนขอรับ”
“จริงหรือ?”
หลินเป่ยเฉินคิดว่ามีบางสิ่งบางอย่างไม่ถูกต้อง
“จริงแท้แน่นอนขอรับ”
หวังจงยกมือตบหน้าอกและกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “นายน้อย คำว่าจงในนามของหวังจงมาจากคำว่าจงรักภักดี บ่าวคิดถึงภาพลักษณ์ของนายน้อย จึงอยากให้นายน้อยอย่าเพิ่งทำอะไรวู่วามเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น ในอนาคตข้างหน้า นายน้อยจะได้ขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิคนใหม่ของอาณาจักรซือเว่ยแล้วนะขอรับ”
จักรพรรดิองค์ใหม่แห่งอาณาจักรซือเว่ยเนี่ยนะ?
“พูดจาดีมีเหตุผล”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
เขาตัดสินใจยอมรับคำแนะนำของพ่อบ้านชรา
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มก็ยังกล่าวเสริมอีกประโยคว่า “นำเจ้าแดง 1 กับพรรคพวกออกไปตรวจหาทรัพย์สินของมีค่าตามเรือเหาะเหล่านั้นให้หมด เมื่อครบถ้วนดีแล้ว ก็ปล่อยพวกเขาไปได้”
“นายน้อยไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ นี่คืองานถนัดที่สุดของบ่าวแล้ว”
หวังจงยิ้มแย้มด้วยความตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อย ชายชราก็มองไปที่ชุดเกราะซึ่งตนเองคัดเลือกมา ดูเหมือนหวังจงจะเกิดความเขินอายบางประการ จึงเอ่ยถามทั้งที่ยืนตัวบิดไปมาว่า “นายน้อย บ่าวอยากได้รับคำสั่งที่แน่ชัด นอกจากให้ค้นหาทรัพย์สินของมีค่าแล้ว นายน้อยคงไม่ได้อยากปล้นสวาทบ่าวหรอกกระมัง?”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
ตาเฒ่านี่เห็นเขาเป็นคนอย่างไรกันนะ?
“ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ ข้าสามารถหักขาเจ้าทิ้งได้เดี๋ยวนี้”
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าหนักแน่นจริงจัง พูดอย่างเป็นงานเป็นการ “ความสัมพันธ์ของพวกเราเรียกว่ามิตรภาพลูกผู้ชาย ไม่ใช่ความสัมพันธ์ฉันบุรุษสตรี เจ้าอย่าได้เพ้อฝันให้มาก หากกล้าพูดวาจาเหลวไหลเช่นนี้ออกมาอีก...ข้าจะตัดของรักของหวงของเจ้าทิ้งไปซะ”
หวังจงรีบยืนหนีบขาโดยพลัน
“ไปทำตามคำสั่งได้แล้ว”
หลินเป่ยเฉินชำเลืองมองไปที่อากวง ก่อนออกคำสั่งว่า “พาบุตรบุญธรรมของเจ้าไปจับตาดูสุนัขเฒ่าตัวนี้เอาไว้ให้ดี หากเขากล้าก่อปัญหา สามารถฆ่าทิ้งได้โดยทันทีไม่ต้องรอคำสั่งจากข้า”
“จี๊ด”
อากวงรีบยกขาหน้ารับคำสั่งด้วยความตื่นเต้น
หวังจงเห็นดังนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เพราะอะไรเจ้าหนูอสูรขนเงินจึงได้ดูเหมือนจะมีสีหน้าท่าทางกระตือรือร้นอยากฆ่าเขาเสียเหลือเกิน?