เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1681 ชื่อเสียงและความคาดหวัง
ตอนที่ 1,681 ชื่อเสียงและความคาดหวัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว สุยฮันเหยียนได้สังหารสมาชิกครอบครัวของตนเองเพื่อลดทอนผู้แข่งขันในการขึ้นสู่ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพลูกศรโลหิต สุยหลิวกวงจึงจำเป็นต้องลดบทบาทของตนเองลงมา
ทว่า ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าสุยหลิวกวงเป็นผู้ที่มีความสามารถอย่างแท้จริง
นอกจากสุยหลิวกวงจะมีพื้นฐานพลังแข็งแกร่งแล้ว นางก็ยังมีพรสวรรค์ในการฝึกฝนทางการทหารอีกด้วย
ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา แม้สถานการณ์ภายนอกกองทัพลูกศรโลหิตจะวุ่นวายโกลาหล แต่กองทัพของพวกเขาก็ยังมีความมั่นคงเสมอมา
หลินเป่ยเฉินรับฟังมาถึงตรงนี้ ดวงตาของเขาก็ต้องแอบมองไปที่ใบหน้าของสุยหลิวกวง
มองดูเพียงผิวเผิน แม้สุยหลิวกวงจะมีอายุอานามมากแล้ว แต่นางก็มีลักษณะคล้ายกับสตรีอายุยี่สิบปีเศษ หน้าตาไม่สะสวย แต่มีรัศมีความเย็นชาบางอย่างที่หาได้ยากยิ่งในสตรีทั่วไป
ตระกูลสุยมีจุดเด่นอยู่ที่สภาพร่างกายของสมาชิกในตระกูลจะแข็งแกร่งมากกว่าผู้คนทั่วไป
ตามข้อมูลที่หวังจงไปสืบเสาะได้มา สุยหลิวกวงมีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิระดับ 4 ร่างกายสูงใหญ่มากกว่าสตรีทั่วไป แขนขาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อกำยำ นางสวมใส่ชุดเกราะเล่นแร่แปรธาตุปกปิดส่วนสำคัญของร่างกาย ส่วนนอกจากนั้นก็ปล่อยเปลือยเปล่า เอวคอดกิ่ว ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้ม ดูมีความแข็งแรงบึกบึน
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลที่ยืนยันเพิ่มเติมว่าสุยหลิวกวงสามารถขยายขนาดร่างกายของตนเองให้ใหญ่โตมากกว่าเดิมได้ถึงสามเท่ายามอยู่ในสนามรบ ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันหรือการโจมตี สตรีผู้นี้ก็เปรียบได้ดั่งเครื่องจักรสังหารผู้หนึ่ง
ดูเหมือนว่าการขยายร่างจะเป็นความสามารถพิเศษของตระกูลสุยโดยเฉพาะอีกเช่นกัน
สุยหลิวกวงเป็นคนจิตใจอำมหิต เมื่อได้รับคำสั่งแล้ว นางก็จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งให้ลุล่วง
ดวงตาของทุกคนหันกลับไปจ้องมองที่เฉาตงเซินอีกครั้ง
อดีตผู้บังคับการของกองทัพเซวียนเหยียนมีอายุสี่สิบปีเศษ
เขามีหน้าตาหล่อเหลา ดวงตาพยัคฆ์ ใบหน้าหยกขาว สมควรถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในบุรุษรูปงามแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ ร่างกายสูงใหญ่กำยำ แต่ก็เป็นความกำยำที่กำลังพอดีไม่มากไม่น้อยเกินไป
เฉาตงเซินฝึกวิชาตามสายเลือดผู้แปลงกาย
และจากข้อมูลที่หวังจงสืบได้มา เฉาตงเซินมีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิระดับ 4 เช่นกัน เขามีโลหิตอสูรและโลหิตปีศาจโบราณอยู่ในการครอบครองถึงสามหยด จึงสามารถแปลงร่างเป็นได้ทั้งเผ่าพันธุ์ปีศาจและเผ่าพันธุ์อสูรเพื่อระเบิดพลังออกมาสำหรับใช้ในการต่อสู้
กองทัพเซวียนเหยียนเป็นหนึ่งในสิบเอ็ดทัพหลวงของอาณาจักรซือเว่ย เฉาตงเซินเองก็เคยเป็นแม่ทัพใหญ่มาก่อน เขาชำเลืองมองหน้าสุยหลิวกวงเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “ความปั่นป่วนโกลาหลทั้งหมดนี้มีท่านผู้คุมสภาเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง สิบเอ็ดทัพหลวงที่ถูกส่งออกไปรบ พบเจอแต่กับความพ่ายแพ้และแทบไม่มีทัพใดได้รับชัยชนะ เมื่อผ่านไปนานวันเข้า ก็หลงเหลือเพียงกองทัพเซวียนเหยียนกับกองทัพลูกศรโลหิตเท่านั้นที่ยังสามารถปกครองตนเองได้โดยไม่ต้องขึ้นตรงต่อผู้ใด”
ณ ปัจจุบันนี้ พวกเขาไม่ใช่กองทัพเล็ก ๆ อีกต่อไป
หลินเป่ยเฉินอดคิดอยู่ในใจไม่ได้ว่า ‘ที่แท้คนกลุ่มนี้ก็ถูกตามล่าตัวอยู่เหมือนกันสินะ มิน่าล่ะ ถึงยอมรวมกลุ่มกลายเป็นกองทัพเซียนกระบี่ง่ายดายขนาดนี้’
ไม่รู้เหมือนกันว่าหวังจงแอบไปให้คำสัญญาอะไรไว้บ้างหรือไม่
“บัดนี้ กองทัพเซียนกระบี่ได้ถูกก่อตั้งขึ้นแล้ว ศัตรูตัวฉกาจของพวกเราก็คือท่านผู้คุมสภาแห่งอาณาจักรซือเว่ย บัดนี้ ท่านผู้คุมสภามีกองทัพอีกาดำอยู่ภายใต้การบังคับบัญชา ก่อนหน้านี้ พวกเขาตั้งใจจะไล่ล่ากวาดล้างกองทัพลูกศรโลหิตและกองทัพเซวียนเหยียน แต่บัดนี้ เราจะทำให้พวกเขาได้รับทราบถึงความน่ากลัวของกองทัพเซียนกระบี่”
สุยหลิวกวงกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
เฉาตงเซินก็กล่าวออกมาเช่นกันว่า “หากกองทัพเซียนกระบี่ของพวกเราสามารถเก็บชัยชนะในการรบได้อย่างต่อเนื่อง อาณาจักรซือเว่ยก็อยู่ในกำมือของพวกเราแล้ว… มิเช่นนั้น หากเราทิ้งสถานที่แห่งนี้ไป อาณาจักรซือเว่ยก็จะต้องตกอยู่ในไฟสงครามไม่รู้จักจบสิ้น”
เมื่ออดีตแม่ทัพใหญ่ทั้งสองท่านกล่าวจบ นายทหารคนอื่น ๆ ที่อยู่ในห้องประชุมก็หันมามองที่หลินเป่ยเฉินด้วยสายตาอันร้อนผ่าว
เป็นสายตาแห่งความคาดหวัง
ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขาออกมาแล้ว
บัดนี้ ทุกคนจึงหวังว่าเด็กหนุ่มรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาผู้นี้จะเป็นผู้รับผิดชอบในการนำทัพบุกเข้าโจมตีอาณาจักรซือเว่ย เพื่อกำจัดเหล่าขุนนางผู้ชั่วร้ายออกไปให้หมดสิ้น
“รองผู้บังคับการหวัง เจ้าจัดการเรื่องนี้ไปก็แล้วกัน”
หลินเป่ยเฉินโยนหน้าที่นี้ให้แก่หวังจงโดยไม่ลังเล
หวังจงตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
พ่อบ้านชรากระโดดลุกขึ้นตบหน้าอกตนเองและกล่าวว่า “นายน้อยวางใจได้เลยขอรับ คำว่าจงในนามของหวังจงมาจากคำว่าจงรักภักดี ภายในหนึ่งเดือน บ่าวจะทำให้ชื่อเสียงของกองทัพเซียนกระบี่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรไปทั่วอาณาจักรซือเว่ย ไม่ว่าพวกเรายกทัพไปสถานที่แห่งใด ก็จะไม่มีผู้คนกล้าขัดขวางแน่นอน”
“ขนาดนั้นเชียวหรือ?”
หลินเป่ยเฉินไม่อยากเห็นภาพตนเองต้องกลายเป็นแม่ทัพใหญ่นำกำลังพลออกรบสักเท่าไหร่
เพราะนั่นไม่ใช่ความเชี่ยวชาญของเขา
แล้วสำหรับพวกของสุยหลิวกวง เฉาตงเซินและคนอื่น ๆ ล่ะ?
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักด้วยความปวดหัว หากทุกคนตาสว่างขึ้นมาจากคำหวานของหวังจง ไม่แน่ว่านายทหารจากกองทัพลูกศรโลหิตและกองทัพเซวียนเหยียนอาจจะพร้อมใจกันหยิบจับอาวุธมาตลบหลังพวกเขาอีกครั้งก็เป็นได้
เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ
เพราะการแสดงความแข็งแกร่งก่อนหน้านี้ ผู้คนจึงตั้งความหวังกับหลินเป่ยเฉินเอาไว้สูงส่ง
แต่ในความเป็นจริงนั้น เด็กหนุ่มยังคงมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ด้วยตนเอง
เพราะฉะนั้น ในขณะที่หลินเป่ยเฉินมีภาพลักษณ์สูงส่งในสายตาของผู้คนทั่วไป…
บรรดานายทหารใหญ่ที่อยู่ภายในห้องประชุมจึงฝากความหวังเอาไว้ที่เขาเป็นหนึ่งเดียวเช่นกัน!
แต่สังเกตจากลักษณะท่าทีของหลินเป่ยเฉินแล้ว ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะไม่อยากยกกำลังพลบุกไปโจมตีอาณาจักรซือเว่ยสักเท่าไหร่
หลินเป่ยเฉินย่อมมีเหตุผลเป็นของตนเอง
เขาอยากใช้ชีวิตเป็นคนหล่อเรียบง่ายธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้อยากมีภาพลักษณ์เป็นแม่ทัพใหญ่กระหายเลือดสักหน่อย
แต่นั่นสวนทางกับความคิดของเฉาตงเซินและสุยหลิวกวง
ผู้ที่อยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิระดับ 4 ทั้งสองท่านต่างก็คิดเป็นหนึ่งเดียวกันว่า นายน้อยหลินเป่ยเฉินผู้นี้ย่อมสามารถต่อกรกับท่านผู้คุมสภาที่มีกองทัพอีกาดำอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาได้อย่างแน่นอน และไม่ว่าต้องทำอย่างไร พวกเขาก็ต้องเกาะติดนายน้อยท่านนี้เอาไว้ให้จงได้
อดีตแม่ทัพใหญ่ทั้งสองต่างก็มองไปที่อนาคตอย่างมีความหวัง
…
กาลเวลาผ่านไป
เพียงพริบตาเดียวครึ่งเดือนก็ผ่านพ้น
หลินเป่ยเฉินยังคงเก็บตัวฝึกวิชาอยู่ในห้องพักแข่งกับเวลา พยายามเลื่อนขั้นพลังของตนเองให้ได้โดยเร็วที่สุด
หลายวันที่ผ่านมา เขากลับไปที่แผ่นดินตงเต้าอีกหลายครั้ง
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินสามารถฟื้นฟูบางส่วนของแผ่นดินตงเต้าได้สำเร็จแล้ว
นี่หมายความว่าหลินเป่ยเฉินสามารถนำพลังจากภพภูมิอื่นถ่ายทอดลงไปสู่แผ่นดินตงเต้า และกำลังจะช่วยชุบชีวิตดินแดนบ้านเกิดกลับคืนมาอีกครั้ง
ถือเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
แต่เวลาของเขามีจำกัด
บัดนี้ นอกจากจะสามารถถอดจิตไปที่แผ่นดินตงเต้าได้แล้ว หลินเป่ยเฉินยังสามารถนำพาร่างกายของตนเองไปที่แผ่นดินตงเต้าได้อีกด้วย
แต่เขาสามารถอยู่ที่นั่นได้เพียงระยะชงน้ำชาหนึ่งถ้วยเท่านั้น
ในการฟื้นฟูแผ่นดินตงเต้า เด็กหนุ่มเลือกกลับไปฟื้นฟูคฤหาสน์สกุลหลินในเมืองหยุนเมิ่งก่อนเป็นลำดับแรก บัดนี้ในรัศมีหนึ่งลี้รอบคฤหาสน์ ที่นั่นก็กลายเป็นอาณาเขตส่วนตัวของหลินเป่ยเฉินไปเรียบร้อยแล้ว…
กระบวนการทั้งหมดนี้ มีนักพรตหญิงชินคอยให้คำปรึกษาอยู่ตลอดเวลา
ด้วยความที่ฝึกวิชาตามสายเลือดผู้เยียวยา นักพรตหญิงชินจึงศึกษาทฤษฎีในเรื่องราวต่าง ๆ มามากมาย ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงมีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว
จึงไม่ต้องแปลกใจที่หลินเป่ยเฉินจะสามารถเลื่อนขั้นพลังได้สำเร็จอีกครั้ง
เขาอยู่ในขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ระดับ 2 แล้ว!