เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1682 กองทัพเซียนกระบี่แสดงฝีมือ
ตอนที่ 1,682 กองทัพเซียนกระบี่แสดงฝีมือ
นอกจากได้รับคำชี้แนะจากนักพรตหญิงชินแล้ว ระดับพลังของหลินเป่ยเฉินยังเลื่อนขั้นได้อย่างรวดเร็วเพราะเขากินผลไม้วิเศษและสมุนไพรวิเศษจากเกม Happy Farm ความแข็งแกร่งของหลินเป่ยเฉินในขณะนี้จึงเทียบเท่ากับผู้ที่อยู่ในขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ระดับ 5
ส่วนอากวงกับเจ้าเสืออสูรผู้เป็นลูกบุญธรรมของมันเป็นอย่างไรบ้าง?
บัดนี้ พวกมันกลายเป็นผู้ช่วยของหวังจง คอยดูแลความสงบเรียบร้อยในกองทัพเซียนกระบี่ และมีหน้าที่คอยจัดการยึดทรัพย์สินมีค่าจากกองทัพฝ่ายตรงข้าม
ครึ่งเดือนที่ผ่านมา อากวงกับเสี่ยวหูยุ่งวุ่นวายกับหน้าที่การงานจนแทบไม่มีเวลามาดูแลหลินเป่ยเฉิน แต่ถึงกระนั้น ความแข็งแกร่งของพวกมันก็เพิ่มขึ้นไม่มีหยุด
ในช่วงเวลาระหว่างนี้ อาณาจักรซือเว่ยก็ตกอยู่ภายใต้ความปั่นป่วนโกลาหลโดยสมบูรณ์
กองทัพเซียนกระบี่ถือกำเนิดขึ้นมา
เพียงห้าวันหลังการควบรวมกองทัพเซวียนเหยียนและกองทัพลูกศรโลหิตเข้าด้วยกัน พวกเขาก็ได้ยกทัพออกรบเป็นครั้งแรก
และใช้เวลาไม่ถึงสามวันดีด้วยซ้ำ กองทัพเซียนกระบี่ก็สามารถเอาชนะกองทัพอีกาดำในพื้นที่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอาณาจักรซือเว่ยได้เป็นผลสำเร็จ ก่อนจะสามารถยึดครองเมืองหมีซื่อกลับคืนมาได้ในที่สุด
เมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป อาณาจักรซือเว่ยก็ถึงกับสั่นสะเทือน
นี่คือครั้งแรกที่บรรดาคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ได้ยินชื่อเสียงของกองทัพเซียนกระบี่
พวกเขาต่างก็สงสัยว่ากองทัพนี้มาจากที่ใด?
ในบรรดาสิบเอ็ดทัพหลวงของอาณาจักรซือเว่ย ไม่เคยมีชื่อกองทัพเซียนกระบี่ไม่ใช่หรือ?
เพราะฉะนั้น จึงเริ่มมีผู้คนสืบสาวข้อมูล
ข้อมูลจำนวนมากหลั่งไหลออกมา
แม่ทัพใหญ่มีนามว่าเซียนกระบี่หลินเป่ยเฉิน?
รองผู้บังคับการหน้าหยกหวังจง?
ล้วนแต่เป็นชื่อที่แปลกประหลาดทั้งสิ้น
คนเหล่านี้มาจากที่ใด?
สถานการณ์แปรเปลี่ยนไป
กองทัพอีกาดำไม่สามารถยอมรับความอับอายจากความพ่ายแพ้เด็ดขาด แม่ทัพใหญ่ของพวกเขาประกาศสงครามต่อกองทัพเซียนกระบี่ ดังนั้น การต่อสู้จึงเกิดขึ้นอีกหลายครั้งตามมา… กองทัพอีกาดำพยายามกวาดล้างกองทัพเซียนกระบี่ให้หมดสิ้นในครั้งเดียว
แต่ปรากฏว่ากองทัพเซียนกระบี่มีความแข็งแกร่งเกินจินตนาการ
เพียงหนึ่งวันต่อมา รองผู้บังคับการหน้าหยกหวังจงก็สามารถนำกำลังพลเอาชนะกองทัพอีกาดำได้อีกครั้ง และยังสามารถบุกยึดดินแดนใหม่กลับมามอบให้แก่หลินเป่ยเฉินได้อีกด้วย
หลังจากนั้นอีกหนึ่งวัน กองทัพเซียนกระบี่ก็สามารถเอาชนะการสู้รบได้อีกครั้ง โดยคู่ต่อสู้ของพวกเขาก็คือกองทัพลำดับที่เก้าจากสิบเอ็ดทัพหลวง
และอีกสามวันให้หลัง รองผู้บังคับการหน้าหยกหวังจงก็สร้างชื่อเสียงอีกครั้ง ครั้งนี้เขาใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็สามารถเอาชนะกองทัพลำดับที่แปดได้สำเร็จ…
หลังจากการสู้รบในครั้งนี้ ก็ไม่มีผู้ใดกล้ายกทัพมาต่อกรกับกองทัพเซียนกระบี่อีกแล้ว
เพียงสิบห้าวันเท่านั้น กองทัพเซียนกระบี่ก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตนเอง พวกเขาสามารถเอาชนะกองทัพอีกาดำ กองทัพกังซาน และกองทัพเค่อเฟิง ซึ่งล้วนแต่เป็นกองทหารชั้นสูงภายใต้การควบคุมของสภาขุนนางยุคปัจจุบัน
พิจารณาจากข้อมูลที่หลายฝ่ายรวบรวมมาได้ ภายในกองทัพเซียนกระบี่ต้องมีผู้ที่อยู่ในขั้นจอมเทพจักรามากกว่าหนึ่งคน
จอมเทพจักรา!
ขั้นพลังระดับนี้สามารถทำให้อาณาจักรซือเว่ยสั่นสะเทือนได้ไม่ยาก
องค์จักรพรรดิองค์ก่อนของอาณาจักรซือเว่ยมีนามว่าเจี๋ยนเหลียนเฉิน พระองค์ไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่ ปริศนาความเป็นมาเป็นไปค่อนข้างลึกลับ แต่ในที่สุด พระองค์ก็สามารถยึดครองอาณาจักรซือเว่ยได้สำเร็จโดยที่อาศัยกระบี่ในมือเพียงเล่มเดียวเท่านั้น แล้วพระองค์ทรงทำเช่นนั้นได้อย่างไร?
แน่นอนว่าต้องใช้ความแข็งแกร่ง!!
เหตุผลที่ทำให้เจี๋ยนเหลียนเฉินสามารถขึ้นครองบัลลังก์องค์จักรพรรดิได้ก็คือความสามารถในการต่อสู้ที่ไม่มีผู้ใดต่อกรได้
เขามีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักรา
ดังนั้น คำว่าจอมเทพจักราสำหรับผู้คนในอาณาจักรซือเว่ย จึงมีความหมายเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ…
ความแข็งแกร่ง!!
ใช่แล้ว สำหรับอาณาจักรซือเว่ย ผู้ที่อยู่ในขอบเขตจอมเทพจักราคือผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทาน
เมื่อเกิดข่าวลือว่ากองทัพเซียนกระบี่มีจอมเทพจักราคอยให้ความช่วยเหลือ ชื่อเสียงของพวกเขาก็แพร่กระจายไปยาวไกลในระยะเวลาอันสั้น
บัดนี้ ไม่มีผู้ใดไม่รู้จักกองทัพเซียนกระบี่
หลายคนถึงกับมั่นใจว่ายุคสมัยใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ปรากฏว่ากองทัพเซียนกระบี่ได้รับความนิยมจากผู้คนเป็นจำนวนมาก จนแม้แต่กองทัพมังกรวายุ ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทัพส่วนตัวของขุนนางระดับสูงก็ยังติดต่อขอเป็นพันธมิตรกับพวกเขา
ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ทำให้กองทัพอีกาดำตั้งตัวไม่ทัน หลังการประกาศสงคราม พวกเขาก็ไม่เคยยกกำลังพลบุกมาโจมตีกองทัพเซียนกระบี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว
…
ผ่านไปอีกสิบวัน
สถานการณ์ในอาณาจักรซือเว่ยยังคงเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากบรรดากองทัพใหญ่จะยอมเป็นพันธมิตรกับกองทัพเซียนกระบี่แล้ว พวกเขาถึงกับยอมทำตามข้อเสนอของกองทัพเซียนกระบี่โดยไม่มีข้อแม้
เพียงครึ่งเดือน อาณาจักรซือเว่ยก็แบ่งแยกการปกครองออกเป็นสามก๊ก
กลุ่มอำนาจแรกคือกลุ่มกองทัพอีกาดำ ซึ่งควบคุมโดยท่านผู้คุมสภาขุนนาง
กลุ่มอำนาจที่สองคือกองทัพมังกรวายุ ซึ่งควบคุมโดยรองผู้คุมสภาขุนนาง
ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดา
และกลุ่มอำนาจกลุ่มที่สาม กองทัพเซียนกระบี่ผู้มีจอมเทพจักราคอยให้ความช่วยเหลือ
ภายในระยะเวลาไม่นาน เผ่าพันธุ์มนุษย์ในอาณาจักรซือเว่ยก็คุ้นเคยกับสถานการณ์ที่แบ่งแยกออกเป็นสามก๊กเช่นนี้แล้ว
เหตุการณ์ดำเนินไปด้วยความราบรื่น
เพียงแต่ว่าอาณาจักรซือเว่ยไม่ได้มีแต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ดำรงอยู่เท่านั้น
แต่ยังมีเผ่าพันธุ์อสูรดำรงอยู่อีกด้วย
และพวกมันก็เป็นเผ่าพันธุ์อสูรจากกลุ่มอสูรสงคราม ซึ่งเป็นกลุ่มอสูรที่ฝักใฝ่ในการทำสงครามนองเลือดมากที่สุด ตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ผ่านมาในอาณาจักรซือเว่ย พวกมันจำยอมต้องอยู่ภายใต้การปกครองของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่เมื่อเกิดความวุ่นวายโกลาหล เผ่าพันธุ์อสูรเหล่านี้ก็เริ่มออกอาละวาดสร้างความวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นการข่มขู่รีดทรัพย์ ฆาตกรรมผู้คน ไปจนถึงการปล้นสะดมทรัพยากร…
นอกจากนี้ ยังมีอสูรสายพันธุ์หนึ่งที่ถูกเรียกขานว่าเผ่าพันธุ์อสูรกลืนดาว พวกมันมีร่างกายใหญ่โต ก่อนหน้านี้เคยครอบครองเมืองที่มีชื่อว่าเมืองต้าซือ และในภายหลังก็เริ่มขยายอาณาเขตของเผ่าพันธุ์ตนเองมากขึ้นเรื่อย ๆ
อสูรกลืนดาวเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด
พวกมันมีร่างกายเป็นของเหลว สามารถรวมตัวหรือกระจายตัวได้ตามใจปรารถนา เวลาที่พวกมันรวมตัวกัน อสูรกลืนดาวหนึ่งตัวก็จะมีร่างกายใหญ่โตยิ่งกว่าภูเขาหนึ่งลูก แต่เวลาที่พวกมันแยกย้ายสลายตัว พวกมันก็ไม่ต่างไปจากแมลงตัวเล็กตัวน้อยที่ออกหากินตามพื้นที่ต่าง ๆ
แต่ความน่ากลัวของอสูรสายพันธุ์นี้ก็คือพวกมันสามารถรวมร่างกันจนกลายเป็นดาวหางลูกหนึ่งได้อย่างน่าหวาดกลัว และพลังในการทำลายล้างของมันก็เพียงพอที่จะถล่มเมืองทั้งเมืองให้ราบเป็นหน้ากลอง
ไม่ว่าเมืองใดที่ถูกอสูรกลืนดาวยึดครอง เมืองแห่งนั้นก็จะต้องพบกับฝันร้ายไม่รู้จบ
และอสูรกลืนดาวก็ชอบโจมตีเมืองที่มีมนุษย์อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก เพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์คืออาหารสุดโปรดของพวกมันนั่นเอง
โดยเฉพาะหัวหน้าเผ่าพันธุ์อสูรกลืนดาว มันถึงกับกินมนุษย์เป็นอาหารหลัก
ร่างกายที่เป็นก้อนเนื้อขนาดใหญ่ของมันสามารถปลดปล่อยระยางออกมาได้เสมือนหนวดปลาหมึก และในรอบสิบปีที่ผ่านมา อสูรกลืนดาวก็คือภัยคุกคามใหญ่ที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์
โชคดีที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในอาณาจักรซือเว่ย จำนวนประชากรของอสูรกลืนดาวยังมีน้อยเกินไป เพราะฉะนั้น สถานการณ์จึงไม่อันตรายอย่างที่คิด
แต่สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปเมื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ในอาณาจักรซือเว่ยตกอยู่ในความปั่นป่วนโกลาหล สงครามเกิดขึ้นทุกดินแดน เผ่าพันธุ์อสูรกลืนดาวขยายจำนวนประชากรมากขึ้นเรื่อย ๆ
ฝันร้ายที่ไม่รู้จบกำลังจะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง
และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่กองทัพเซียนกระบี่ปรากฏตัวเพื่อแสดงแสนยานุภาพอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้โจมตีกองทัพมนุษย์ด้วยกัน
เพราะเป้าหมายในการกวาดล้างของกองทัพเซียนกระบี่ในครั้งนี้
คือเผ่าพันธุ์อสูร!
เผ่าพันธุ์อสูรที่ออกอาละวาดก่อความไม่สงบในอาณาจักรซือเว่ย!!