เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1688 ผู้ทรยศ
ตอนที่ 1,688 ผู้ทรยศ
ยิ่งบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้มากเท่าไหร่ น้ำเสียงของเย่เทียนหลิงก็ยิ่งแสดงออกถึงความโศกเศร้ามากเท่านั้น “ผู้คนล้มตาย บ้านแตกสาแหรกขาด เด็กน้อยต้องกลายเป็นกำพร้าไร้ที่ซุกหัวนอน ทุกคนใช้ชีวิตอยู่ในความหมดหวัง”
กลุ่มนายทหารที่นั่งทานอาหารอยู่รอบกองไฟในขณะนี้ต่างก็แสดงสีหน้าเศร้าสลดออกมาเช่นกัน
แม้แต่เซี่ยถิงอวี่ก็ยังต้องกัดฟันด้วยความเคียดแค้นใจ ดวงตาร้อนผ่าวด้วยความเกลียดชัง
คนที่ไม่เคยสูญเสียบิดามารดา สูญเสียครอบครัว สูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยในระยะเวลาอันสั้น คนเหล่านั้นไม่เข้าใจหรอกว่าความเจ็บปวดที่แท้จริงของการต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปนั้นเป็นเช่นไร…
หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบขึ้นมาทันที
ความวุ่นวายโกลาหลในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของชาวบ้านเกินจินตนาการ
โดยที่ทั้งหมดนี้มีต้นเหตุมาจาก ‘ป้ายหยกนกเพลิง’ เนี่ยนะ?
ไม่น่าใช่
ต้องมีอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่แน่ ๆ
บรรยากาศปกคลุมด้วยความเงียบงัน
แม้แต่นักพรตหญิงชินก็กำลังซึมซับข้อมูลและใช้เวลาขบคิดอะไรบางอย่าง
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจทำลายความเงียบขึ้นว่า “หากเป็นเช่นนั้นพวกท่านจะปกป้องกำแพงเมืองไปเพื่ออะไรอีก? กำแพงเมืองของพวกท่านมีปัญญาป้องกันผู้บุกรุกได้อย่างนั้นหรือ?”
เย่เทียนหลิงหันขวับกลับมามองหน้าเด็กหนุ่มเหมือนไม่พอใจ แต่ก็กัดฟันอธิบายต่อไปว่า “พวกเราป้องกันไม่ให้พวกอสูรในตัวเมืองข้ามกำแพงเมืองออกมาไล่ล่าชาวบ้านที่อยู่บริเวณท่าเทียบเรือต่างหาก ส่วนถ้ามีผู้บุกรุกต้องการจะก่อความวุ่นวายจากทางฝั่งท่าเทียบเรือ พวกเราก็มีท่านผู้กล้าแซ่โจวคอยจัดการอยู่แล้ว”
“ท่านผู้กล้าแซ่โจว?”
หลินเป่ยเฉินทวนคำด้วยความสงสัย “เขาเป็นใครหรือ?”
ความเคารพเลื่อมใสปรากฏขึ้นบนสีหน้าของเย่เทียนหลิงทันที
เขามองไปยังความสูงของท่าเทียบเรือและกล่าวอย่างแช่มช้าว่า “เมืองของเรานั้นบัดนี้แบ่งแยกเขตการปกครองออกเป็นหลายส่วน อย่างเช่น บริเวณพื้นที่ชานเมืองก็จะอยู่ในการดูแลของอดีตแม่ทัพใหญ่หลงเซวียนแห่งกองทัพเจี๋ยซิง ส่วนพื้นที่ในเขตท่าเทียบเรือก็อยู่ในการดูแลของท่านผู้กล้าแซ่โจว เขาจะแตกต่างจากท่านแม่ทัพใหญ่หลงเซวียนราวน้ำกับไฟ ในขณะที่ท่านแม่ทัพใหญ่มีนิสัยชั่วร้ายอำมหิต ท่านผู้กล้าแซ่โจวก็เป็นคนที่จิตใจดีงาม ชอบช่วยเหลือคนแก่ คนป่วย และคนพิการ หากไม่มีเขาสักคน… บรรดาผู้คนที่อ่อนแอก็คงเสียชีวิตไปนานแล้วขอรับ”
ดวงตาของนักพรตหญิงชินเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาทันที
หลินเป่ยเฉินเองก็ประหลาดใจเช่นกัน
ในดินแดนอันวุ่นวายปั่นป่วนแห่งนี้ ยังคงมีวีรบุรุษผู้กล้าเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?
“หมายความว่าพื้นที่ในเขตท่าเทียบเรืออยู่ในการดูแลของท่านผู้กล้าแซ่โจว และบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่รวมถึงผู้อ่อนแอที่ไม่สามารถดูแลตนเองได้ ก็จะได้รับการคุ้มครองจากเขาเช่นกันใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินต้องการยืนยันคำตอบด้วยความสงสัย
เย่เทียนหลิงผงกศีรษะ และตอบว่า “ก่อนที่พวกท่านจะเดินออกมาจากท่าเทียบเรือ พวกท่านก็เห็นด้วยตาของตนเองแล้วไม่ใช่หรือ?”
เอ่อ…
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น
เมื่อลองคิดดูให้ดี ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เย่เทียนหลิงบอกจริง ๆ ด้วย
บนสะพานที่ท่าเทียบเรือ กลุ่มคนที่พวกเขาพบเจอส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ เด็กเล็กหรือสตรีผู้อ่อนแอทั้งสิ้น แทบไม่มีบรรดาชายฉกรรจ์หรือผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงอยู่เลยแม้แต่คนเดียว
นั่นหมายความว่าบรรดาชายฉกรรจ์ผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงก็คงถูกเกณฑ์มาเป็นกำลังพลรักษากำแพงเมืองภายใต้การบังคับบัญชาของเย่เทียนหลิง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีขั้นพลังต่ำต้อย ในหน่วยรักษากำแพงเมืองแห่งนี้ เย่เทียนหลิงจึงกลายเป็นผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นสูงสุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ในยุคสมัยที่มีแต่ความวุ่นวายโกลาหล บรรดายอดฝีมือส่วนใหญ่ก็มักจะรับผู้ติดตามเป็นเหล่ายอดฝีมือด้วยกันเท่านั้นเข้ามาดูแล
แต่สำหรับท่านผู้กล้าแซ่โจว เขากลับเลือกที่จะปกป้องดูแลผู้ที่อ่อนแอ ซึ่งถือเป็นบุคคลที่หายากอย่างยิ่ง
หลินเป่ยเฉินกับนักพรตหญิงชินหันมองหน้ากัน
ทั้งสองคนต่างก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
ท่านผู้กล้าแซ่โจวผู้นี้ถึงกับกล้ารับมือกองทัพของศัตรูด้วยตัวคนเดียว เห็นได้ชัดว่าคงมั่นใจในขั้นพลังของตนเองพอสมควร
แต่พวกเขาก็ยังมองไม่ออกอยู่ดีว่าคนผู้นี้มีธาตุแท้เป็นอย่างไรกันแน่
“ในการคุ้มครองดูแลผู้คนบริสุทธิ์เหล่านี้ ท่านผู้กล้าแซ่โจวได้ร้องขอสิ่งใดเป็นการแลกเปลี่ยนบ้างหรือไม่?”
นักพรตหญิงชินถาม
เย่เทียนหลิงตอบว่า “ท่านผู้กล้าแซ่โจวเพียงต้องการให้สตรีที่มีหน้าตาสวยงามไปออกกำลังกับเขาเท่านั้นขอรับ”
ว่าไงนะ?
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ
ไปออกกำลัง?
ออกกำลังรูปแบบใด?
เย่เทียนหลิงมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความไม่พอใจอีกครั้ง “มันเป็นเพียงการออกกำลังทั่วไปขอรับ เช่นการโยนกระสอบ การกระโดดเชือก ไม่ใช่สิ่งที่คุณชายกำลังคิดอยู่แน่นอน”
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปาก
เขายังไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย
แต่อย่างไรก็ตาม สังเกตจากท่าทีของเย่เทียนหลิงแล้ว เมื่อพูดถึงท่านผู้กล้าแซ่โจว ภาพลักษณ์ของหลินเป่ยเฉินในสายตาหัวหน้าทหารยามผู้นี้ก็ดูจะเป็นคนชั่วช้าขึ้นมาทันที
ทว่า เมื่อได้รับฟังข้อมูลเหล่านั้นแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ชักอยากจะรู้จักท่านผู้กล้าแซ่โจวขึ้นมาเสียแล้วสิ
“กลุ่มคนนอกอาณาจักรประพฤติตนชั่วช้าสามานย์ถึงเพียงนี้ แล้วทางสภาขุนนางของอาณาจักรซือเว่ยไม่ลงมือทำสิ่งใดบ้างเลยหรือ?”
นักพรตหญิงชินถามออกมาอีกครั้ง
ในฐานะที่เป็นอาณาจักรเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเส้นทางดาราจักร ตามทฤษฎีแล้ว ทางสภาขุนนางน่าจะต้องลงมือจัดการแก้ไขสถานการณ์เหล่านี้บ้างไม่มากก็น้อย
และท่าเทียบเรือของประตูเมืองฝั่งเหนือก็ถือเป็นท่าเทียบเรือสำคัญของอาณาจักรซือเว่ย เป็นไปได้อย่างไรที่ทางสภาขุนนางจะปล่อยให้สถานการณ์บานปลายจนท่าเทียบเรือชำรุดทรุดโทรมถึงเพียงนี้?
ต่อให้ราชวงศ์เทียนหลางเซินล่มสลาย สถานการณ์ก็ไม่น่าจะเลวร้ายจนถึงระดับนี้ด้วยซ้ำ
“ตอนแรกมีการปิดข่าวขอรับ จนกระทั่งเมืองทั้งเมืองถูกทำลายย่อยยับ ภายหลังถึงทางสภาทราบข่าว พวกเขาก็หาได้สนใจไม่ มิหนำซ้ำ ทางสภาขุนนางยังเปิดท่าเทียบเรือให้กลุ่มคนนอกเหล่านั้นด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้ สถานการณ์จึงเลวร้ายลงเรื่อย ๆ…”
เย่เทียนหลิงให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ผู้ที่ทำข้อตกลงกับกลุ่มคนนอกอาณาจักรเหล่านั้นเป็นผู้ใด?”
นักพรตหญิงชินถามออกมาอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้านางด้วยความประหลาดใจ
สำหรับผู้ที่รู้จักนักพรตหญิงชินเป็นอย่างดี ย่อมทราบดีว่าการถามคำถามของนางในแต่ละครั้ง ย่อมมีจุดหมายในการลงมือทำบางสิ่งบางอย่าง
“บอกไปก็ไร้ประโยชน์”
เย่เทียนหลิงส่ายศีรษะด้วยความเหนื่อยล้า
ฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งเกินไป จนแม้แต่ตระกูลคนใหญ่คนโตก็ยังถูกฆ่าตายยกครัว และในเมื่อเมืองทั้งเมืองก็ถูกทำลายลงไปหมดสิ้นแล้ว ยังจะมีประโยชน์อันใดให้เอ่ยถึงคนผู้นั้นอีก?
“เป็นท่านรองผู้คุมสภาหลินซิงเฉิงขอรับ”
เซี่ยถิงอวี่นายทหารหนุ่มขี้อายเงยหน้าขึ้นมากัดฟันกล่าวว่า “พวกเราชาวเมืองที่ยังรอดชีวิตอยู่ในปัจจุบันต่างก็รู้ดีว่าคนผู้นี้เป็นผู้ทรยศ”
บิดามารดาของเซี่ยถิงอวี่เช่นเดียวกับพี่น้องของเขาต้องตายในมหันตภัยครั้งนี้ เพราะฉะนั้น เซี่ยถิงอวี่จึงมีความแค้นฝังลึกต่อหลินซิงเฉิงเป็นอย่างยิ่ง
หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบ
ดูเหมือนเขาจะเคยได้ยินชื่อนี้มาจากที่ไหนสักแห่ง
อ้อ จริงด้วยสินะ
ในกลุ่มสามก๊กผู้ครองอำนาจทั่วอาณาจักรซือเว่ยในขณะนี้ ย่อมต้องมีกองกำลังกองทัพมังกรวายุของรองผู้คุมสภาขุนนางหลินซิงเฉิงอยู่ด้วยนั่นเอง
“เจ้าแน่ใจนะ?”
นักพรตหญิงชินมองไปที่ใบหน้าของเซี่ยถิงอวี่
ครั้งนี้ นายทหารหนุ่มขี้อายไม่ได้หลบสายตาของนักพรตหญิงชินอีกแล้ว ดวงตาของเขามีน้ำตาคลอเต็มเบ้า มือกำเป็นหมัดแน่น กัดฟันกล่าวว่า “เป็นเขาแน่นอน ต้องเป็นเขาผู้เดียวเท่านั้น ทุกคนต่างก็รู้ดี… โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่พวกคนนอกอาณาจักรบุกเข้ามาก่อความวุ่นวายในเมืองของพวกเรา พวกมันก็ไม่เคยปิดบังเลยว่าได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใด…”
“เป็นเขาจริง ๆ ขอรับ”
“ต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน”
“ทุกคนทราบดีว่าท่านรองผู้คุมสภาเป็นผู้ที่มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต เขาเห็นชาวบ้านเป็นเพียงมดปลวกธรรมดาเท่านั้น แล้วเราจะไปใส่ร้ายเขาเพื่ออะไร?”
“กองทัพมังกรวายุคือต้นเหตุที่ทำให้เมืองของพวกเราต้องล่มสลาย แต่พวกเขาก็กำจัดหลักฐานทุกอย่างทิ้งไป เช่นเดียวกับกำจัดบ้านเรือนของพวกเรา!”
บรรดานายทหารคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่รอบกองไฟพลันพากันส่งเสียงพูดขึ้นมาด้วยความโกรธแค้น