เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1689 เคยได้ยินและเคยพบเจอมาแล้ว
ตอนที่ 1,689 เคยได้ยินและเคยพบเจอมาแล้ว
ดูเหมือนยิ่งพูดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ บรรดานายทหารก็ยิ่งรู้สึกโกรธแค้นมากเท่านั้น
ในความมืดมิด สีหน้าของนักพรตหญิงชินมีความเคร่งเครียดมากขึ้น
นางกวาดตามองนายทหารหนุ่มที่อยู่โดยรอบ ก่อนจะกล่าวย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ทุกท่านได้โปรดวางใจ สักวันหนึ่ง ผู้ทรยศจะต้องได้รับการชดใช้อย่างสาสม”
บัดนี้ เย่เทียนหลิงยังคงไม่ทราบว่าคำพูดของนักพรตหญิงชินจะกลายเป็นความจริงในภายหลัง
เซี่ยถิงอวี่ก้มหน้าร่ำไห้
เย่เทียนหลิงถอนหายใจและยิ้มออกมาด้วยความฝืดฝืน “ข้าก็หวังเช่นนั้น… แต่ไม่ทราบว่าพวกท่านทั้งสองมาจากเมืองอื่น เคยได้ยินชื่อเสียงของกองทัพเซียนกระบี่บ้างหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินหูผึ่งขึ้นมาทันที
หากคุยกันเรื่องนี้ตั้งแต่แรก เขาก็คงไม่ต้องนั่งสัปหงกแล้ว
“ข้าเคยได้ยินและเคยพบเจอพวกเขามาแล้วด้วย”
หลินเป่ยเฉินตอบ
ภายใต้แสงสว่างจากกองไฟ ดวงตาของเย่เทียนหลิงเป็นประกายระยิบระยับอย่างมีความหวังขึ้นมาทันที
เขาถามออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “ข้าได้ยินว่ากองทัพเซียนกระบี่แตกต่างไปจากกลุ่มอำนาจอื่น ๆ พวกเขาต่อสู้กับเหล่าร้าย ช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอ กำจัดปีศาจ สังหารอสูร นับเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมที่แท้จริง และพวกเขาก็ทำให้ชาวเมืองจำนวนมากในอาณาจักรซือเว่ยสามารถกลับมามีชีวิตอย่างสงบสุขได้อีกครั้งจริงหรือไม่?”
เย่เทียนหลิงมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาคาดหวัง เปลวไฟแห่งความมีชีวิตชีวากลับมาลุกโชนอีกครั้ง
เซี่ยถิงอวี่และคนอื่น ๆ ก็หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความกระตือรือร้นเช่นกัน
สีหน้าของพวกเขาไม่ต่างจากคนที่กำลังจะจมน้ำ และได้เห็นขอนไม้ซึ่งเป็นความหวังสุดท้ายลอยมาอยู่เบื้องหน้า คนที่กำลังจะจมน้ำผู้นั้นจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะว่ายไปให้ถึงขอนไม้ขอนนั้นให้ได้
ตอนแรก หลินเป่ยเฉินต้องการจะถ่อมตัวว่ากองทัพเซียนกระบี่ไม่ได้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรถึงเพียงนั้นหรอก และเซียนกระบี่หลินเป่ยเฉินก็เป็นเพียงบุคคลธรรมดาทั่วไป…
แต่เมื่อรับรู้ได้ถึงแววตาคาดหวังของบรรดานายทหารหนุ่มเหล่านี้ หลินเป่ยเฉินก็เปลี่ยนใจ
เขาพยักหน้าด้วยความหนักแน่น ก่อนให้คำตอบเป็นการยืนยันว่า “ถูกต้องแล้ว กองทัพเซียนกระบี่คือผู้ผดุงความยุติธรรมที่แท้จริง สัญลักษณ์ของพวกเขาคือกระบี่เงินสองเล่มที่ไขว้กันซึ่งเป็นตัวแทนแห่งความกล้าหาญ นายทหารทุกคนในกองทัพเซียนกระบี่ล้วนแต่เป็นนายทหารผู้กล้าที่ไม่ว่ายกขบวนทัพไปยังแห่งหนใด เหล่าปีศาจและอสูรร้ายก็ต้องพ่ายแพ้หลบหนีกระเจิดกระเจิง”
กลุ่มนายทหารหนุ่มส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ
พวกเขาพากันยิ้มกว้างด้วยความตื่นเต้น เสมือนได้ค้นพบความหมายในการมีชีวิตอยู่อีกครั้ง
“ไม่ทราบว่า ท่านแม่ทัพใหญ่หลินเป่ยเฉินแห่งกองทัพเซียนกระบี่ผู้นั้น มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักราจริงหรือไม่?”
“ข้าน้อยเคยได้ยินมาว่ารองผู้บังคับการหน้าหยกหวังจงเป็นบุรุษที่หล่อเหลาอย่างหาได้ยากยิ่งในรอบพันปี… และเขาก็ยังเป็นบิดาของท่านแม่ทัพใหญ่หลินเป่ยเฉินอีกด้วย ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่?”
“นายทหารจาง เจ้านี่มันโง่เขลาเกินไปแล้ว รองผู้บังคับการหน้าหยกหวังจงจะเป็นบิดาของท่านแม่ทัพใหญ่หลินเป่ยเฉินได้อย่างไร? พวกเขาใช้คนละแซ่ ต้องเรียกว่าเป็นบิดาบุญธรรมจึงจะถูกต้อง”
“แล้วท่านแม่ทัพใหญ่หลินเป่ยเฉินกับกองทัพเซียนกระบี่ของเขาจะมาช่วยเหลือพวกเราบ้างหรือไม่?”
บรรยากาศคึกคักขึ้นมาโดยทันที
เริ่มมีนายทหารบางส่วนเล่นมุขตลกเฮฮา
หลินเป่ยเฉินอดสบถอยู่ในใจไม่ได้เมื่อได้ยินถ้อยคำสนทนาเหล่านั้น
ผู้ใดเป็นคนปล่อยข่าวลือเหลวไหลพรรค์นี้กันนะ?
ตาเฒ่าหวังจงคงตั้งใจปล่อยข่าวนี้แน่ ๆ ดูเหมือนว่าตาเฒ่านั่นอยากจะเป็นบิดาของเขาให้ได้เสียเหลือเกิน
“บางทีเขาอาจจะมาก็ได้”
หลินเป่ยเฉินให้คำตอบอย่างให้ความหวัง
แต่ที่ผ่านมา กองทัพเซียนกระบี่ของหลินเป่ยเฉินสามารถยึดครองเมืองระดับกลางได้เท่านั้น หากจะให้ยกกำลังพลมาบุกตีเมืองหลวงอย่างเทียนหลางซิง หลินเป่ยเฉินก็คิดว่าขุมกำลังของตนเองยังไม่แข็งแกร่งมากพอ
เนื่องจากชัยชนะที่ผ่านมา เขาอาศัยความช่วยเหลือจากยอดฝีมือในแอปพลิเคชัน UU อยู่บ่อยครั้ง
ซึ่งการว่าจ้างแต่ละครั้งก็ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมหาศาล การว่าจ้างยอดฝีมือระดับจอมเทพจักรามาช่วยเหลือนั้นเป็นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้น และเป็นเรื่องยากที่จะทำให้พวกเขาสามารถบุกยึดเมืองเทียนหลางซิงได้สำเร็จ
อีกอย่าง ‘ค่าบริการ’ ก็แพงมากเกินไป
เมื่อได้ยินคำตอบของหลินเป่ยเฉิน พวกของเย่เทียนหลิงก็แสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมาทันที
นี่ไม่ต่างจากได้ยินถ้อยคำแห่งปาฏิหาริย์
ต่อให้คำตอบของเด็กหนุ่มจะเป็นคำลวง แต่ตราบใดที่ยังพอมีความเป็นไปได้ในทางทฤษฎี ขวัญกำลังใจของพวกเขาก็กล้าแข็งขึ้นมามากกว่าเดิมแล้ว
นักพรตหญิงชินไม่ได้ถามคำถามอะไรอีก
นางนั่งรวบรวมข้อมูลที่เพิ่งสอบถามได้มาและวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ อยู่ในใจ
หลินเป่ยเฉินไม่เคยประมาทความฉลาดเฉลียวของนักพรตหญิงชิน
เพราะในอดีต ยอดหญิงงามผมเงินผู้นี้เคยสังหารเทพเจ้ามาแล้ว นางมีทั้งหน้าตาที่งดงามและมันสมองอันฉลาดปราดเปรื่อง จึงสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้โดยที่หลายคนคิดไม่ถึง
นับตั้งแต่ที่เดินทางข้ามเขตแดนมาหลายครั้ง นักพรตหญิงชินก็เก็บตัวสงบเสงี่ยม แต่หลินเป่ยเฉินสามารถสัมผัสได้ว่านางกำลังทำความเข้าใจต่อโลกใบใหม่อย่างรวดเร็ว นางกำลังเตรียมการเพื่อทำอะไรบางอย่าง ไม่แน่ว่าสิ่งที่นักพรตหญิงชินวางแผนเอาไว้ อาจยิ่งใหญ่เกินกว่าที่หลินเป่ยเฉินคาดคิดด้วยซ้ำ
เงียบงันในเวลาส่วนใหญ่ แต่เฉิดฉายในเวลาที่สำคัญ
นี่แหละคุณลักษณะของนักพรตหญิงชิน
ทันใดนั้น…
แก๊ง! แก๊ง! แก๊ง!
เสียงเคาะระฆังดังขึ้นในราตรีอันเงียบสงบ
นี่เป็นสัญญาณเตือนภัยจากกำแพงเมืองชั้นใน
“พวกอสูรยกพลมาโจมตีเราอีกแล้ว…”
“คราวนี้เป็นพวกอสูรกิ้งก่าดำ ให้ตายเถอะ พวกมันมีเยอะมากเกินไป น่าจะหลายพันตัว… แจ้งเตือนมือธนูให้ประจำตำแหน่งเดี๋ยวนี้”
“ท่านนายกองเย่ มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล”
เหล่าทหารยามที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองร้องอุทาน ในขณะที่เสียงลั่นระฆังดังมาจากทุกทิศทุกทางภายในตัวเมือง
สีหน้าของเย่เทียนหลิงแปรเปลี่ยนไปทันที เขากระโดดลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า “ทุกคนเตรียมอาวุธให้พร้อมสำหรับการต่อสู้… เร็วเข้า!!”
กลุ่มนายทหารรีบสวมใส่ชุดเกราะและหยิบจับอาวุธชุดใหม่ที่หลินเป่ยเฉินมอบให้ ก่อนจะกระโดดขึ้นไปอยู่บนกำแพงเมืองด้วยความรวดเร็ว…
และภายในกำแพงเมืองชั้นในนั้น
เงาดำที่มีรูปร่างเป็นกิ้งก่าจำนวนมากก็กำลังวิ่งกรูเข้ามาด้วยความเร็วสูง ปากของพวกมันอ้ากว้างจนเห็นฟันอันแหลมคมที่สะท้อนประกายอยู่ในความมืดมิดยามราตรี
กองทัพอสูรกิ้งก่าดำกำลังวิ่งตรงมาที่กำแพงเมือง…
เป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวจนทำให้ผู้คนหมดสติได้ไม่ยาก
สีหน้าของเย่เทียนหลิงแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเมื่อเห็นการยกพลบุกของกองทัพกิ้งก่าดำ
อสูรกิ้งก่าดำคือหนึ่งในอสูรที่จัดการได้ยากที่สุด พวกมันมีผิวหนังหนา ยากต่อการโจมตี ซ้ำพวกมันยังมีจำนวนประชากรหนาแน่น...
กำแพงเมืองแห่งนี้ไม่น่าจะต้านทานได้
เมื่อความคิดนั้นปรากฏขึ้นในหัวของเย่เทียนหลิง ร่างกายของเขาก็สั่นเทา
หากกองทัพอสูรกิ้งก่าดำสามารถปีนข้ามกำแพงเมืองเข้าสู่บริเวณพื้นที่ท่าเทียบเรือได้สำเร็จ บรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ เด็ก สตรีและคนพิการผู้ดำรงชีวิตอยู่ในบริเวณนั้น ก็คงจะต้องกลายเป็นอาหารของพวกมันเป็นแน่
เย่เทียนหลิงกระชับกระบี่ในมือแน่น กัดฟันระเบิดเสียงคำรามว่า “พี่น้องทุกท่าน พวกเราไม่มีทางเลือกนอกจากสู้จนตัวตาย ครั้งนี้คงต้องหวังพึ่งความแข็งแกร่งของท่านผู้กล้าหาญแซ่โจวแล้ว พวกเรายังมีญาติพี่น้องและมิตรสหายอีกจำนวนหนึ่งให้ดูแล พวกเขาไม่สามารถป้องกันตนเองได้ พี่น้องทุกท่านจงมากับข้าเถอะ… เราจะปกป้องกำแพงเมืองแห่งนี้ด้วยชีวิต อย่าให้อสูรกิ้งก่าดำเหล่านี้หลุดรอดเข้าไปในพื้นที่ท่าเทียบเรือได้เด็ดขาด…”
กลุ่มนายทหารหนุ่มที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองต่างก็ระเบิดเสียงคำรามปลุกใจตนเอง ในขณะที่กองทัพอสูรกิ้งก่าดำก็เคลื่อนใกล้เข้ามาที่ด้านล่างกำแพงเมืองชั้นในมากขึ้นเรื่อย ๆ
“พวกนี้น่ะหรืออสูรกิ้งก่าดำ?”
เสียงหนึ่งถามขึ้นด้วยความสงสัยบนกำแพงเมือง
เย่เทียนหลิงหันหน้ากลับไปมองเจ้าของคำถาม
ไม่ทราบเลยว่าเด็กหนุ่มหน้าขาวกระโดดขึ้นมายืนอยู่บนกำแพงเมืองด้านหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่สายตาของเด็กหนุ่มกำลังจ้องมองไปที่กองทัพอสูรกิ้งก่าดำด้วยความพินิจพิเคราะห์ยิ่ง