เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1691 ความน่าสงสัย
ตอนที่ 1,691 ความน่าสงสัย
“เฮ้อ…”
หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกมาช้า ๆ แล้วกระบี่ในมือเขาก็สลายหายวับไปในสายลม หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็พูดด้วยความเศร้าว่า “แค่นี้เองหรือ? เหงื่อยังไม่ทันออกเลย ตายกันหมดเสียแล้ว… ไม่สนุกสักนิด”
เย่เทียนหลิงและพรรคพวกถึงกับพูดคำใดไม่ออก
แม้มันจะเป็นถ้อยคำที่ฟังดูหลงตนเองไปสักหน่อย แต่พวกเขาก็ปฏิเสธความเก่งกาจของเด็กหนุ่มไม่ได้จริง ๆ
เงาร่างคนเคลื่อนไหววูบ
หลินเป่ยเฉินกลับมายืนอยู่บนกำแพงเมืองด้วยความสง่างาม
“เป็นอย่างไร?”
เขาจ้องมองไปที่พวกของเย่เทียนหลิงด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง “การเคลื่อนไหวของข้าสง่างาม และข้าก็ดูหล่อเหลามากเลยใช่ไหมล่ะ?”
เย่เทียนหลิงพร้อมด้วยนายทหารใต้บังคับบัญชาพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
จริงอยู่ที่เด็กหนุ่มมีการเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม และเขาก็ดูหล่อเหลามากทีเดียว แต่นี่เป็นถ้อยคำที่สมควรให้ผู้อื่นชื่นชมไม่ใช่หรือ?
มันไม่ควรเป็นคำถามที่เอาไว้ถามผู้อื่นสักหน่อย
“ฮ่า ๆๆ ถึงกับตะลึงจนพูดไม่ออกกันเลยล่ะสิ…” หลินเป่ยเฉินตบไหล่เย่เทียนหลิงเบาๆ และกล่าวว่า “พี่ชาย ท่านไม่ต้องอิจฉาข้าหรอกนะ อิจฉาไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าข้ามันเกิดมาหล่อเองตามธรรมชาติ… ในชีวิตนี้ต่อให้พยายามอย่างไรท่านก็หล่อเหลาได้ไม่เท่าข้าหรอก”
เย่เทียนหลิงและกลุ่มนายทหารผู้ใต้บังคับบัญชายังคงพูดอะไรไม่ออกต่อไป
พวกเขารู้สึกสำนึกในบุญคุณการช่วยเหลือของเด็กหนุ่มหน้าขาวผู้นี้ แต่ทำไมรู้สึกเหมือนตนเองกำลังโดนดูถูกอยู่ชอบกล?
“เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มขณะหันหน้าไปถามนักพรตหญิงชิน
นักพรตหญิงชินพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการยืนยันคำตอบให้แก่เด็กหนุ่ม
นี่คือการต่อสู้ที่นางออกแบบให้แก่หลินเป่ยเฉินโดยเฉพาะ
เป็นการต่อสู้ของผู้ที่ใช้สายเลือดศักดิ์สิทธิ์
การโจมตีด้วยกระบี่จะอาศัยมวลพลังจากร่างกายเป็นหลัก เมื่อโจมตีออกไป อานุภาพในการโจมตีจึงรุนแรงมากกว่าปกติ
และภายใต้การออกแบบของนักพรตหญิงชิน นางก็นำวิชาปราณกระบี่คงกระพันและวิชากระบี่อีกหลายชนิดของหลินเป่ยเฉินมารวมเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กหนุ่มไม่เคยกระทำมาก่อน
นักพรตหญิงชินทราบว่าการต่อสู้ส่วนใหญ่ที่ผ่านมา หลินเป่ยเฉินมักจะพึ่งพาอาศัยตัวช่วยชนิดพิเศษ ซึ่งก็คือบรรดาปืนกลมืออูซี่ ปืนพกสั้น ปืนไรเฟิล ไปจนถึงเครื่องยิงระเบิด
ดังนั้น นักพรตหญิงชินจึงอยากจะให้หลินเป่ยเฉินสามารถต่อสู้ด้วยพละกำลังของตนเองบ้าง
เพราะมีแต่ใช้พลังของตนเองเท่านั้น จึงจะเป็นความแข็งแกร่งที่แท้จริง
และเพื่อการออกแบบวิธีต่อสู้ให้แก่หลินเป่ยเฉิน นักพรตหญิงชินจึงต้องศึกษาตำราโบราณเป็นจำนวนมาก สุดท้าย นางก็ได้แนวทางฝึกวิชาบู๊ที่เหมาะสมสำหรับหลินเป่ยเฉินมากที่สุด
ต้องยอมรับจริง ๆ ว่านักพรตหญิงชินมีคุณสมบัติของการเป็น ‘อาจารย์’ อย่างครบถ้วน
นางทำให้หลินเป่ยเฉินสามารถฝึกวิชาได้อย่างถูกต้อง
และสิ่งที่โชคดีที่สุดก็คือ นักพรตหญิงชินเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถสั่งให้หลินเป่ยเฉินเลิกใช้งานอาวุธภายนอกเหล่านั้นได้สำเร็จ
ระหว่างทางมาที่เมืองเทียนหลางซิง หลินเป่ยเฉินกับนักพรตหญิงชินใช้เวลาปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ในห้องนอนที่เพียงพอสำหรับคนสิบคนนับครั้งไม่ถ้วน
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินจึงใช้กองทัพอสูรกิ้งก่าดำเป็นเสมือนหินลับมีด เพื่อทดสอบความแข็งแกร่งในการใช้วิชากระบี่โดยไม่มีตัวช่วยของตนเอง
และการแสดงฝีมือของเขาเมื่อสักครู่ ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าตนเองฝึกวิชาตามแนวทางที่ถูกต้องแล้ว
แม้แต่ตัวของหลินเป่ยเฉินก็ยังรับทราบในข้อนี้
เชื่อฟังนักพรตหญิงชินไว้ ไม่มีผิดหวัง…
คนเราจะเจริญในหน้าที่การงานได้ ก็ต้องเชื่อฟังภรรยาสินะ
ใช่ มันต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว!!
“ว่าแต่ว่าสถานการณ์เมื่อสักครู่นี้อันตรายมาก พวกท่านอาจเสียชีวิตในการต่อสู้ก็ได้ เหตุไฉนท่านผู้กล้าหาญแซ่โจวถึงยังไม่ออกมาช่วยเหลืออีก?”
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าเย่เทียนหลิง
ทัศนคติที่หัวหน้านายทหารยามผู้นี้มีต่อหลินเป่ยเฉินแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว
“ตอนกลางวัน ท่านผู้กล้าหาญแซ่โจวออกกำลังกับบรรดาหญิงงามหนักหน่วงมากเกินไป ตกกลางคืนท่านจึงจำเป็นต้องพักผ่อนขอรับ…”
เย่เทียนหลิงอธิบายด้วยความเคารพ
เฮ้ย?
หลินเป่ยเฉินถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว
เขาแอบสงสัยอยู่ว่าท่านผู้กล้าหาญแซ่โจวประพฤติตนเป็นคนดีในตอนกลางวัน แต่ตอนกลางคืนน่าจะแอบกระทำเรื่องที่น่าอับอายอยู่แน่ ๆ
ผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิจะหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
น่าประหลาดเกินไป
“แล้วเขาไม่กลัวหรือว่ายามที่ตนเองหลับใหล อาจมีพวกศัตรูมาทำร้ายชาวเมืองในเขตท่าเทียบเรือ กว่าเขาจะตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ชาวเมืองเหล่านั้นอาจจะเสียชีวิตหมดแล้วก็เป็นได้?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความพิศวง
เย่เทียนหลิงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “เคยมีผู้คนกระทำเช่นนั้นมาแล้วขอรับ พวกมันแอบเข้าไปที่ท่าเทียบเรือในตอนกลางคืนและสังหารคนเป็นจำนวนมาก ตลอดทั้งคืนท่านผู้กล้าหาญแซ่โจวหายตัวไปไม่ปรากฏกายออกมาเลย ปรากฏว่าหลังจากวันนั้น ท่านผู้กล้าหาญแซ่โจวก็ตื่นขึ้นมาจากการหลับลึก และท่านก็ทำการแก้แค้นด้วยความเลือดเย็นอำมหิต”
“กลุ่มผู้ร้ายที่เข้ามาฆ่าคนในเขตท่าเทียบเรือเหล่านั้นถูกฆ่าตายยกครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้องหรือญาติสนิทมิตรสหายของพวกมัน ต่างก็ถูกฆ่าตายไม่เหลือแม้แต่คนเดียว…”
“หลังจากนั้นเป็นต้นมา ตราบใดที่ไม่ใช่พวกสัตว์อสูรไร้สติปัญญา ก็จะไม่มีผู้ใดกล้าโจมตีเขตท่าเทียบเรือในตอนกลางคืนอีก แต่หากบางครั้งมีกองทัพสัตว์อสูรที่โง่เขลาอย่างเจ้าอสูรกิ้งก่าดำเหล่านี้พยายามปีนข้ามกำแพงเมืองออกมา พวกเราก็ทำได้เพียงอาศัยความสามารถของตนเองป้องกันกำแพงเมืองเอาไว้ให้ได้นานมากที่สุด และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้พวกมันข้ามกำแพงเมืองออกมาได้ขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
นักพรตหญิงชินมีท่าทีนิ่งเงียบใช้ความคิด
ทั้งสองต่างก็สงสัยในพฤติกรรมของท่านผู้กล้าหาญแซ่โจว
ณ เขตกำแพงเมืองชั้นใน ท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาล พวกเขาได้ยินเสียงสัตว์อสูรร้องคำรามตามสายลมมาอีกครั้ง
คราวนี้เป็นสัตว์อสูรที่มีหน้าตาคล้ายกับหมาไน พวกมันได้กลิ่นเลือดจากซากศพของฝูงอสูรกิ้งก่าดำ จึงอาศัยความมืดมิดแอบเข้ามาเพื่อกินซากศพของอสูรกิ้งก่าดำเหล่านั้น
อสูรหมาไนใช้ฟันอันแหลมคมกัดแทะซากศพอย่างเอร็ดอร่อย
แต่เพียงไม่นาน พวกมันก็ส่งเสียงร้องครวญครางและล้มลงสิ้นใจตาย
เย่เทียนหลิงมองซากศพของฝูงอสูรกิ้งก่าดำที่อยู่ด้านล่างกำแพงเมืองและกล่าวด้วยความเศร้าว่า “น่าเสียดายที่เนื้อของอสูรกิ้งก่าดำมีกลิ่นเหม็นคาว ทั้งยังแข็งกระด้างและมีพิษรุนแรง มิเช่นนั้น เราก็คงนำมาประกอบอาหารได้มากมายแล้ว…”
อสูรหมาไนเหล่านี้ต้องเสียชีวิตลงเพราะโดนพิษในเนื้ออสูรกิ้งก่าดำนั่นเอง
“การที่ฝูงอสูรกิ้งก่าดำบุกโจมตีกำแพงเมืองด้วยจำนวนมากมายถึงเพียงนี้ เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหรือไม่?”
นักพรตหญิงชินพลันถามขึ้นมา
เย่เทียนหลิงตอบรับว่า “ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยขอรับ พวกมันเป็นสัตว์อสูรขั้นจอมอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับ 1 บางตัวก็อยู่ในระดับ 4 ส่วนใหญ่พวกมันจะอาศัยอยู่ในบึงน้ำพิษใต้ดิน และไม่เคยปรากฏตัวออกมาพร้อมกันเป็นจำนวนมากมายถึงเพียงนี้มาก่อน โดยเฉพาะการที่หัวหน้าฝูงของมันออกมาโจมตีกำแพงเมืองด้วยตนเองเช่นนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
นักพรตหญิงชินขมวดคิ้วใช้ความคิด แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก
หลังจากนั้น ค่ำคืนก็ผ่านไปอย่างเงียบสงบ ไม่มีเหตุร้ายใดเกิดขึ้นแทรกแซงอีก
เมื่อพระอาทิตย์ฉายแสง ณ เส้นขอบฟ้า เย่เทียนหลิงและพรรคพวกก็สามารถถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เป็นอีกหนึ่งคืนที่ชีวิตของพวกเขายังคงอยู่รอดปลอดภัย
บรรดานายทหารยามเริ่มทยอยกลับที่พักของตนเองเพื่อพักผ่อน
กำแพงเมืองยามกลางวันไม่จำเป็นต้องมีการคุ้มกัน
เพราะการคุ้มกันจะเป็นหน้าที่ของท่านผู้กล้าแซ่โจว
เย่เทียนหลิงพาเซี่ยถิงอวี่และคนอื่น ๆ เตรียมตัวเดินทางเข้าเมือง
พวกเขามีรายได้จากการเก็บภาษีท่าเทียบเรือจากบรรดาเรือเหาะต่างถิ่น แม้ว่านี่จะเป็นยุคแห่งความวุ่นวายโกลาหลของเมืองเทียนหลางซิง จำนวนเรือเหาะที่เข้ามาเทียบท่าจึงลดน้อยลง… แต่ก็ยังคงมีรายได้ไหลรินเข้ามาอยู่บ้าง
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ท่าเทียบเรือกลายเป็นสมบัติล้ำค่าของพวกเขา
ทว่า รายได้จากการเก็บภาษีท่าเทียบเรือยังคงไม่พอสำหรับการเลี้ยงดูผู้คนหลายพันชีวิต นี่จึงเป็นเหตุผลที่บรรดาชาวบ้านบริเวณท่าเทียบเรือยังคงมีความหิวโหยไม่ต่างไปจากขอทานข้างถนน
แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็พยายามดูแลชาวบ้านผู้อ่อนแอให้ดีมากที่สุด