เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1693 รังแกอย่างซึ่งหน้า
ตอนที่ 1,693 รังแกอย่างซึ่งหน้า
“นายท่าน ข้าน้อยไม่ได้กินข้าวมาสองวันแล้ว…” ชายชราผมขาวที่ริมฝีปากแตกระแหงไม่ต่างไปจากก้นแม่น้ำพยายามยกตะกร้าไม้ไผ่ในมือขึ้นขออาหารจากกลุ่มคนที่กำลังต่อแถวเพื่อเข้าสู่ตัวเมือง
“ขออาหารให้ข้าด้วยเถอะ มารดาของข้ากำลังจะตายแล้ว ขออาหารให้ข้าด้วย” เด็กชายผู้มีร่างกายซูบผอมคนหนึ่งคุกเข่าลงบนพื้นดิน และชูชามข้าวที่แตกร้าวด้วยสองมือขึ้นสูง
“เสี่ยวเหา เจ้าเป็นอะไรไป? เสี่ยวเหา? ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้ เจ้าอย่าทำให้มารดาตกใจ วันนี้ มารดาจะทำให้เจ้าได้ทานอาหารแล้ว…” สตรีผู้หนึ่งโอบอุ้มบุตรน้อยอยู่ในอ้อมแขน แต่น่าเสียดายที่เด็กน้อยผู้นั้นนอนหลับไปตลอดกาลเพราะความหิวโหยเสียแล้ว
โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง
“เด็กหนุ่มอายุสิบหกปี มีขั้นพลังอยู่ในขั้นจอมเทพระดับ 2 ขอแลกกับน้ำหนึ่งถังขอรับ…”
“กราบเรียนท่านผู้สูงส่ง ได้โปรดรับตัวเสี่ยวเนี่ยของข้าไปด้วย นางเป็นคนว่องไวกระฉับกระเฉง สามารถทำงานได้ทุกชนิด ข้าขอเพียงหมั่นโถวสามลูกเท่านั้น ไม่สิ สองลูกก็พอ… หรือจะแค่ลูกเดียวก็ได้”
“ข้าน้อยมีลูกสองคน ขอแลกกับน้ำดื่มและหมั่นโถวเท่าไหร่ก็ได้เจ้าค่ะ…”
หลินเป่ยเฉินได้ยินเสียงพูดคุยที่ฟังดูประหลาดหู
เขาหันหน้าไปมอง
ณ อีกฝั่งหนึ่งใต้ร่มไม้หน้าด่านตรวจคนเข้าเมืองยังคงมีกลุ่มคนหลายสิบชีวิตนั่งต่อแถวยาวเหยียด กลุ่มคนเหล่านั้นมีทั้งบุรุษและสตรี ส่วนใหญ่ยังเยาว์วัย สีหน้าของพวกเขาเหม่อลอย ผมเผ้ายุ่งเหยิง ถูกบิดามารดาของตนเองนำตัวมาเจรจาค้าขายเพื่อแลกกับอาหาร
นี่มันขบวนการค้ามนุษย์ใช่หรือไม่?
ขายแต่เด็กและสตรีซะด้วย
ภาพที่สมควรมีอยู่แต่ในหนังสือนิยายที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าในขณะนี้ ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาชอบกล
นี่มันชักจะเลวร้ายเกินไปแล้ว
นายทหารพวกนี้กดขี่ข่มเหงคนอ่อนแอมากเกินไป
ทันใดนั้น
พวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น
กลุ่มนายทหารในชุดเกราะเหล็กขี่ม้าออกมาจากประตูด้านในด่านตรวจคนเข้าเมือง
กลุ่มคนที่กำลังยืนต่อแถวรีบแยกย้ายหลีกทางให้ มิหนำซ้ำ ยังคุกเข่าลงบนพื้นดินแสดงความเคารพด้วยความนอบน้อมยิ่งนัก…
“ท่านนายกองฉีเจียง”
นายทหารชุดเกราะแดงที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูรีบหมุนตัวไปแสดงความเคารพ
นายกองฉีเจียงมาพร้อมกับลูกสมุนยี่สิบคน ทุกคนต่างก็สวมใส่ชุดเกราะสีแดงแกะสลักเป็นลวดลายมังกรไฟ และสัตว์ที่พวกเขากำลังขี่อยู่นั้นไม่ใช่ม้า แต่เป็นอสูรบางสายพันธุ์ที่มีลักษณะเหมือนกับอูฐผสมมังกร ทำให้ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง
หลินเป่ยเฉินเฝ้ามองด้วยดวงตาลุกวาว
อูฐมังกรพวกนี้น่าจับมาขี่เล่นดูเหมือนกันแฮะ
“นายกองฉีเจียงเป็นลูกน้องคนสนิทของท่านแม่ทัพใหญ่หลงเซวียนแห่งกองทัพเจี๋ยซิง เขาเป็นคนใจร้อนและอำมหิต หากเป็นไปได้ หลีกเลี่ยงการมีเรื่องกับเขาก็จะดีที่สุดขอรับ”
เย่เทียนหลิงกระซิบเตือนข้างหูหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มอดสงสัยไม่ได้ว่านี่เย่เทียนหลิงกำลังบอกเขาหรือบอกตนเองกันแน่?
กุบกับ! กุบกับ! กุบกับ!
นายทหารฉีเจียงขี่อูฐมังกรไปหยุดอยู่ด้านหน้ากลุ่มเด็กเล็กและเด็กสาวที่ถูกนำตัวมาขาย
“ท่านแม่ทัพใหญ่ต้องการสาวใช้คนใหม่สิบคน”
ฉีเจียงกวาดสายตามองผ่านกลุ่มคนด้วยแววตาเรียบเฉย “สาวรับใช้หนึ่งคนแลกกับน้ำหนึ่งถังและหมั่นโถวสิบลูก... ผู้ใดยินดีค้าขาย จงออกมายืนข้างหน้า”
ความวุ่นวายเกิดขึ้นในทันที
นี่คือข้อเสนอที่ยากต่อการปฏิเสธ
เด็กสาวกลุ่มหนึ่งถูกบิดามารดาฉุดดึงให้ลุกขึ้นยืน พวกนางมีสีหน้าหวาดกลัว เอาแต่ส่ายศีรษะร้องบอกว่า “ข้าไม่ไป ข้าไม่ไป…”
ท่านแม่ทัพใหญ่หลงเซวียนเป็นผู้ที่ลุ่มหลงในตัณหาราคะ
แต่เพียงเท่านั้นคงไม่เป็นไรหรอก หากไม่ใช่มีสิ่งอื่นเพิ่มเติมมากไปกว่านั้น
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สาวรับใช้ที่ถูกรับตัวเข้าไปจะถูกทุบตีจนตายในเวลาไม่เกินสามวัน หากผู้ใดโชคดีรอดชีวิต พวกนางก็จะถูกส่งตัวให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านแม่ทัพใหญ่หลงเซวียนเล่นสนุกต่อไป ชีวิตของพวกนางจึงไม่สู้ตายดีกว่าอยู่
หากเป็นผู้อื่นมาซื้อหาสาวรับใช้ ชีวิตของพวกนางก็ยังคงปลอดภัยดี แต่หากผู้ซื้อหาเป็นแม่ทัพใหญ่หลงเซวียน นี่ก็ไม่ต่างจากการถูกส่งตัวเข้าสู่ลานประหารแล้ว
“พวกเจ้าเป็นอะไรกันไปหมด?”
เมื่อฉีเจียงเห็นว่าไม่มีผู้ใดกล้าเดินออกมาสักคน เขาก็ชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ ชูสายแส้ในมือขึ้นสูง ก่อนจะชี้ไปที่กลุ่มคนอีกหลายครั้ง “เจ้า เจ้า เจ้า และเจ้า… พวกเจ้าเดินออกมาข้างหน้าให้หมด”
ทุกคนล้วนเป็นเด็กสาวหน้าตางดงามอายุไม่เกินสิบสี่ปี
ไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธ ในที่สุด พวกนางก็ต้องเดินออกมาด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา
ครอบครัวของพวกนางได้รับน้ำหนึ่งถังและหมั่นโถวอีกสิบลูก
“ไม่นะ ข้าไม่ไป ข้าไม่ไป…”
หนึ่งในเด็กสาวที่มีหน้าตางดงามที่สุดพยายามดิ้นรนขัดขืนด้วยความตื่นตระหนก พร้อมกันนั้นนางก็ร้องตะโกนว่า “ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อค้าขาย… ข้าไม่ไป”
เสื้อผ้าของนางสกปรกมอมแมม สวนทางกับผิวที่ขาวเนียน คิ้วที่โก่งงอน หน้าตาที่งดงาม น่าจะพอคาดเดาได้ว่าก่อนที่เมืองแห่งนี้จะล่มสลาย เด็กสาวผู้นี้คงเคยเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่มาก่อน
แต่บัดนี้ นางกลายเป็นคุณหนูตกอับไปเสียแล้ว
ฉีเจียงหัวเราะเยาะใส่เด็กสาวและกล่าวว่า “ช่วยไม่ได้ จงลากตัวนางมาเดี๋ยวนี้”
กลุ่มนายทหารผู้ดูแลความปลอดภัยหน้าประตูทางเข้าด่านตรวจคนเข้าเมืองกรูออกมาราวกับฝูงหมาป่า พยายามจะฉุดลากตัวเด็กสาวไปให้แก่นายกองฉีเจียง
“ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย”
เด็กสาวร้องตะโกนด้วยความตื่นตระหนก พยายามดิ้นรนขัดขืน
ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านข้างทนฟังไม่ไหว รีบระเบิดพลังออกมาโดยทันที ปรากฏว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ระดับ 1 แต่เพียงไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น ชายชราก็ต้องล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้นดินด้วยใบหน้าอาบเลือด
ตัวคนหมดสติ กระบี่ถูกชักออกมาพาดที่ลำคอ
“ไม่นะ อย่าทำอะไรท่านพ่อ ข้ายินดีไปแล้ว ข้ายินดีไป…”
เด็กสาวร่ำไห้และขอร้องอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร “โปรดไว้ชีวิตท่านพ่อของข้าด้วยเถอะ อย่าทำอะไรเขาเลย… ข้ายินดีไปกับพวกท่านแล้ว”
“เฮอะ ส่งมอบอาหารและน้ำดื่มซะ”
นายกองฉีเจียงหัวเราะเยาะ
แล้วน้ำหนึ่งถังกับหมั่นโถวสิบลูกก็ถูกโยนใส่ร่างของชายชราที่นอนหมดสติอยู่บนพื้นดิน
หลินเป่ยเฉินกำลังจะก้าวเดินออกไป
แต่เย่เทียนหลิงเตรียมตัวอยู่นานแล้ว จึงคว้าแขนเขาเอาไว้และกระซิบเสียงเครียดว่า “อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วามขอรับ…”
หลินเป่ยเฉินมองไปที่เย่เทียนหลิง
นายทหารร่างใหญ่กระซิบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “อดทนไว้ก่อนขอรับ”
สีหน้าของหลินเป่ยเฉินแสดงออกถึงความร้อนใจ
ยังจะต้องอดทนอะไรอีก
นี่เขาเป็นถึงเซียนกระบี่หลินเป่ยเฉินเชียวนะ
จะให้ยืนดูสาวงามถูกรังแกอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไร?
แต่ทันใดนั้น นักพรตหญิงชินก็หันมาส่ายหน้าให้แก่หลินเป่ยเฉิน
ความร้อนใจบนสีหน้าของเด็กหนุ่มสลายหายวับไปทันที เขาหัวเราะในลำคอ ก่อนจะหันกลับไปพยักหน้าบอกเย่เทียนหลิงว่า “ประเสริฐ ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว”
เย่เทียนหลิงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เขาก็บอกไม่ได้ว่าบางอย่างนั้นคือสิ่งใด
เพียงไม่นาน ฉีเจียงก็สั่งให้ลูกสมุนของตนเองจับตัวเด็กสาวนับสิบคนเข้าไปใส่ไว้ในกรงขังไม้บนรถม้า
“พวกเราไป”
นายทหารฉีเจียงส่งเสียงหัวเราะเยาะทิ้งท้ายก่อนจะยกขบวนหันหลังกลับ