เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1708 การล่ากวาง
ตอนที่ 1,708 การล่ากวาง
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น
เขาอาจจะไม่เข้าใจบุรุษ
แต่เขาเข้าใจสตรี!
สัญชาตญาณบอกหลินเป่ยเฉินว่านักพรตหญิงชินรู้เบาะแสอะไรบางอย่าง แต่นางไม่ยอมบอก
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถามอะไรอีก
เพราะผู้ที่กวนใจคนรักของตนเอง ไม่สมควรถูกเรียกว่าเป็นมนุษย์อีกแล้ว
“เจ้ามานี่ก็ดีแล้ว ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกเจ้าพอดี” นักพรตหญิงชินเกี่ยวปอยผมสีเงินไปทัดไว้หลังใบหู ก่อนจะจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยสีหน้าจริงจัง
หัวใจของเด็กหนุ่มกระตุกวูบ ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นมา
แล้วเขาก็ได้ยินนักพรตหญิงชินกล่าวต่อไปว่า “บัดนี้ กองทัพเซียนกระบี่สามารถยึดครองอาณาจักรซือเว่ยได้ถึงหนึ่งในสามแล้ว พวกเรามีกำลังพลระดับสูงหลายพันชีวิต ทุกคนต่างก็เป็นแม่ทัพฝีมือฉกาจ นอกจากนี้ เรายังมีหวังจงและโจวเทียนอวิ๋นคอยควบคุมความสงบเรียบร้อย ไม่มีผู้ใดจะสามารถสร้างอันตรายให้กับเจ้าได้อีก... เจ้าไม่ต้องการความช่วยเหลือของข้าอีกแล้ว ได้เวลาที่ข้าจะออกเดินทางเสียที”
“ว่าไงนะ? ไม่มีทาง”
หลินเป่ยเฉินสะดุ้งสุดตัว “ไม่ได้นะขอรับ ไม่ได้เด็ดขาด…”
“เจ้าฟังข้าให้ดี”
นักพรตหญิงชินขึ้นเสียงขัดจังหวะหลินเป่ยเฉินและจ้องมองใบหน้าเด็กหนุ่มด้วยแววตาหนักแน่น “ทุกคนต่างก็มีหนทางเป็นของตนเอง ข้าจะอยู่ข้างกายเจ้าตลอดไปไม่ได้ อย่าว่าแต่ข้าเองก็มีสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ ดังนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าจึงเตรียมพร้อมให้เจ้าสามารถพึ่งพาตนเองได้โดยสมบูรณ์ การที่ข้าออกเดินทางในครั้งนี้ ข้าจะออกเดินทางตามวิถีผู้ฝึกฝนวิชาแห่งสายเลือดผู้เยียวยา… นี่ไม่ใช่การลาจากตลอดกาลสักหน่อย สักวันหนึ่งพวกเราก็ได้กลับมาพบกันใหม่ เหตุไฉนเจ้าจึงต้องยึดติดเรื่องราวเพียงคืนเดียวระหว่างเราด้วย?”
ประเด็นก็คือเรื่องระหว่างเรามันเคยมีอะไรด้วยหรือไง?
หลินเป่ยเฉินเกือบจะพูดสวนกลับไป
แต่ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็จำได้ถึงประสบการณ์แสนสุขสม ณ โรงเตี๊ยมต้าเฟิง เพราะฉะนั้น เขาจึงรีบปิดปากเงียบโดยเร็ว
จะว่าไปแล้ว นั่นก็ถือเป็นความสัมพันธ์ลึกซึ้งประเภทหนึ่งเหมือนกันนะ?
“เฮ้อ…”
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้าสลด
เขารู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะถูกบอกเลิกอย่างไรชอบกล
“คนรักยามพลัดพราก ไม่ทราบเลยว่านานหรือไม่กว่าจะได้กลับมาพบเจอกันอีก?”
ทันใดนั้น ดวงตาของนักพรตหญิงชินเป็นประกายระยิบระยับ
เห็นได้ชัดว่านางชื่นชอบบทกวีของหลินเป่ยเฉินเสมอ
“เจ้าจำหอกกระดูกขาวที่ข้าเคยมอบให้กับเจ้าได้หรือไม่?”
นักพรตหญิงชินกล่าว “นั่นเป็นของที่ระลึกจากไป๋ชินอวิ๋น”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า นึกสงสัยใจว่านักพรตหญิงชินพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยเหตุใด
“เจ้าควรเอามันออกมาดูหน่อยนะ”
นักพรตหญิงชินย้ำเตือน
หลินเป่ยเฉินถึงกับชะงักไปเล็กน้อย
นักพรตหญิงชินกล่าวต่อไปอีกครั้ง “ในวันนั้นที่ข้ารอดชีวิตกลับมาได้ก็เพราะการเสียสละของไป๋ชินอวิ๋น หากไม่มีนาง เจ้าก็ตายไปนานแล้ว และทุกสิ่งทุกอย่างในแผ่นดินตงเต้าก็คงจะตกเป็นของเว่ยหมิงเฉินกับโอรสสวรรค์โดยสมบูรณ์”
หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบ
นักพรตหญิงชินยังคงกล่าวต่อไป “วันนั้นข้าสาบานกับไป๋ชินอวิ๋นเอาไว้ว่าจะหาทางชุบชีวิตนางกลับมาให้ได้ เพราะเหตุนี้ ข้าถึงเลือกฝึกวิชาตามสายเลือกผู้เยียวยา… เจ้าก็ไม่สมควรลืมเลือนนางเช่นกัน”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอย่างหนักแน่น
…
นักพรตหญิงชินจากไปแล้ว
นางออกเดินทางเพียงลำพัง
หลินเป่ยเฉินไม่มีโอกาสแม้แต่จะออกไปส่งด้วยซ้ำ
ช่างน่าสงสารเหลือเกิน
แม้นักพรตหญิงชินจะมีความสามารถสูงล้ำเพียงใด นางก็มักจะโดดเดี่ยวอยู่เสมอ
ไม่ว่าจะเป็นตอนที่อยู่ในแผ่นดินตงเต้า หรือตอนที่ออกมาผจญภัยในเส้นทางดาราจักร นางก็ไม่เคยยึดติดกับหลินเป่ยเฉินและมักจะมีความคิดเป็นของตนเองเสมอ
นักพรตหญิงชินจากไปแล้ว
ภายใต้แสงตะวันแห่งวันใหม่ หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือเหาะเซียนกระบี่ ในมือถือหอกกระดูกขาว ซึ่งเขากำลังลูบไล้มันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นี่คือของที่ระลึกจากไป๋ชินอวิ๋น
เพราะเหตุใด นักพรตหญิงชินถึงอยากให้เขานำมันออกมาดู?
หอกกระดูกขาวเล่มนี้มีความลับซ่อนอยู่ใช่หรือไม่?
หลินเป่ยเฉินยืนถือหอกกระดูกขาวด้วยความพิศวง ที่เขาคอยเอามือลูบไล้มันซ้ำไปซ้ำมาก็เพราะหวังว่าอาจจะมีวิญญาณของเด็กสาวตัวเล็กหน้าอกโตปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าตนเองก็เป็นได้
“หลินเป่ยเฉินจะตายหรือไม่ มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับข้าด้วยหรือ?”
ครั้งหนึ่งนางเคยพูดเอาไว้เช่นนั้น
แต่แทบไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าไป๋ชินอวิ๋นต้องทนทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือของเว่ยหมิงเฉินมากเพียงใด
เพื่อช่วยเหลือหลินเป่ยเฉิน ผู้คนในเผ่าพันธุ์ของนางถึงกับยอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของตนเอง
เพราะว่าไป๋ชินอวิ๋นมองเห็นอนาคต
นางยินดีหักหลังเว่ยหมิงเฉินเพื่อช่วยเหลือหลินเป่ยเฉิน
นางรู้ดีว่าตนเองจะต้องตาย
ตายเพื่อให้หลินเป่ยเฉินอยู่รอด
“หลินเป่ยเฉินจะตายหรือไม่ มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับข้าด้วยหรือ?”
ครั้งหนึ่งนางเคยพูดเอาไว้เช่นนั้น
ไม่ใช่เพราะว่านางไม่ห่วงใยเขา
แต่เป็นเพราะว่านางห่วงใยเขามากเกินไปต่างหาก
ไป๋ชินอวิ๋นรู้ดีว่าตนเองกำลังจะต้องตาย
คนตายก็เหมือนแสงตะเกียงที่ดับวูบ
เมื่อคนเราตายลงไปแล้ว ชีวิตของคนเป็นก็ไม่เกี่ยวข้องกับคนตายอีกต่อไป
หลินเป่ยเฉินจะไปครองรักกับสตรีอื่น
เมื่อเวลาล่วงเลยไป เขาอาจจะลืมเลือนนาง
แต่แล้วไงล่ะ?
ไป๋ชินอวิ๋นก็ยังยินดีตายเพื่อเขาอยู่ดี
ภาพอดีตไม่ต่างจากกลุ่มหมอกควันที่ตลบฟุ้งขึ้นมาในจิตใจของหลินเป่ยเฉิน
เขานิ่งเงียบ
ภาพอดีตยังไม่จางหายไปง่าย ๆ
เขายืนถือหอกกระดูกขาวแนบแน่น หลินเป่ยเฉินส่งเสียงกระซิบกระซาบอยู่นานสองนานและเฝ้าดูด้วยความพินิจพิเคราะห์ แต่เขาก็ไม่พบเจอความลับใด ๆ ที่ซ่อนอยู่ในหอกกระดูกเล่มนี้เลย
ทันใดนั้น ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นทางด้านหลัง
“นายน้อยขอรับ นายน้อย…”
หวังจงวิ่งเข้ามาราวกับถูกสุนัขไล่กัดพลางร้องตะโกนเสียงดังว่า “นายน้อย นายน้อยคงคิดไม่ถึงแล้วจริงๆ ฮ่า ๆๆ ในที่สุด หลินซิงเฉิงมันก็ยอมแพ้แล้วขอรับ แทนที่เขาจะแก้แค้นพวกเรา หลินซิงเฉิงกลับส่งเทียบเชิญมาให้นายน้อยเข้าร่วมงานเลี้ยงล่ากวางแล้ว”
“งานเลี้ยงล่ากวางหรือ?”
หลินเป่ยเฉินเข้าใจความหมายนี้ขึ้นมาโดยทันที
ในบันทึกทางประวัติศาสตร์จีนโบราณ เคยมีสำนวนที่กล่าวเอาไว้ว่า ‘เมื่อราชวงศ์ฉินปล่อยกวาง โลกทั้งใบก็ออกไล่ล่า’
นี่หมายความว่าราชวงศ์ฉินสูญเสียการปกครอง บรรดาขุนพลผู้กล้าจำนวนมากจึงพยายามดิ้นรนไขว่คว้าอำนาจที่ตนเองปรารถนา
การปล่อยกวางคือคำเปรียบเปรยหมายถึงแผ่นดินที่ไร้ผู้ปกครอง
การล่ากวางก็คือการแย่งชิงแผ่นดินเหล่านั้นมาครอบครองนั่นเอง
หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงเลยว่าในเส้นทางดาราจักรจะมีสำนวนเช่นนี้อยู่ด้วย!!