เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1717 เรียกตัวหัวหน้าผู้คุม
ตอนที่ 1,717 เรียกตัวหัวหน้าผู้คุม
บรรดาเจ้าหน้าที่ทรมานนักโทษทั้งหกคนที่นอนกองอยู่บนพื้นหินยังไม่ทันได้ตั้งตัว ศีรษะของพวกเขาก็ขาดกระเด็น
ตกตายโดยไม่มีโอกาสได้ร้องขอความเมตตา
“ท่าน...”
ปี๋อวิ่นเถาชักสีหน้าด้วยความเดือดดาล
หลินเป่ยเฉินจ้องมองกลับมาด้วยแววตาว่างเปล่า “ตอบคำถามของข้ามาเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้น ภายในคุกใต้ดินแห่งนี้จะไม่มีผู้ใดรอดชีวิตอีกต่อไป…”
ปี๋อวิ่นเถารู้สึกหนาวเย็นไปถึงขั้วหัวใจ
เขาทราบดีว่าหลินเป่ยเฉินสามารถกระทำเรื่องราวเช่นนั้นได้จริง ๆ
“ท่านผู้คุมสภาเฟิงถูกจำคุกเพราะอาณาจักรหลิวเยวียนถูกยึดครองไปในระหว่างที่อยู่ในการดูแลของเขา และมีหลักฐานยืนยันว่าผู้คุมสภาเฟิงพยายามปกปิดหลักฐานในคดีฆาตกรรมเหยียนอวี้หลงเพื่อช่วยเหลือท่าน แม่ทัพหลิน มีคนผู้หนึ่งรับทราบเรื่องนี้จึงนำตัวผู้คุมสภาเฟิงมาทรมาน...”
ปี๋อวิ่นเถาให้คำอธิบาย
หลินเป่ยเฉินเข้าใจทุกอย่างโดยทันที
เขาเข้าใจความหมายของคำพูดที่เฟิงเสี่ยวไป๋กล่าวออกมาก่อนจะหมดสติไป
เฟิงเสี่ยวไป๋พยายามแก้ต่างให้เขา
ทันใดนั้น ความโกรธแค้นก็ปะทุตัวไม่ต่างจากภูเขาไฟระเบิด
หลินเป่ยเฉินถามเน้นย้ำทีละคำว่า “คนผู้หนึ่งที่ท่านหมายถึงเป็นผู้ใด?”
ปี๋อวิ่นเถาส่ายศีรษะ “ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่น่าจะเป็นขุนนางระดับสูงผู้หนึ่ง”
“ขุนนางระดับสูง?”
หลินเป่ยเฉินหันขวับกลับมามองหน้าผู้คุมเหลียว “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องรู้ บอกข้ามาว่ามันเป็นใคร”
ผู้คุมเหลียวสั่นเทาไปทั้งตัว หมดเรี่ยวแรงที่จะคิดต่อสู้
“ขะ… ข้าไม่รู้ ข้าเป็นเพียงผู้คุมธรรมดาเท่านั้น ข้า…”
“เป็นเพียงผู้คุมธรรมดา?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าและกล่าวต่อ “ขอบคุณที่ตอบตามความจริง”
“ไม่เป็นไร… ด้วยความยินดีขอรับ…”
ผู้คุมเหลียวยิ้มกว้าง
แต่ทันใดนั้น ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือด
เพราะหลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปยังแผงควบคุมกลไกในห้องทรมานนักโทษ แล้วสายโซ่แปดเส้นจากกำแพงทั้งสี่ทิศก็พุ่งเข้ามาพันธนาการร่างกายของผู้คุมเหลียวและลากตัวเขาขึ้นไปห้อยอยู่กลางอากาศ…
“อ๊ากกก...”
ผู้คุมเหลียวส่งเสียงร้องโหยหวน
เครื่องมือทรมานทุกชิ้นมีไว้เพื่อสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้ที่อยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิขึ้นไป ผู้คุมเหลียวส่งเสียงร้องโหยหวนราวกับหมูถูกเชือด โลหิตผสมปัสสาวะไหลเนืองนองลงมาบนพื้นหิน…
“ช้าก่อน”
ปี๋อวิ่นเถาร้องตะโกนด้วยความร้อนรน “หากท่านทำเช่นนี้ ท่านจะช่วยเฟิงเสี่ยวไป๋ไม่ได้…”
“หุบปาก”
หลินเป่ยเฉินคำรามกลับมาทันที
เขาหันหน้ามาจ้องมองปี๋อวิ่นเถาด้วยแววตาเย็นชาและกล่าวว่า “อย่าได้เห็นว่าข้าทำดีกับท่านมากกว่าผู้อื่น แล้วท่านจะพูดอะไรกับข้าก็ได้ โปรดอย่าทดสอบความอดทนของข้าอีกเลย… มิเช่นนั้น ข้าอาจจะเสียสติได้ง่าย ๆ …ท่านไปเชิญตัวหัวหน้าผู้คุมมาซะ บอกว่าข้ากำลังรอคอยเขาอยู่ที่ห้องทรมานนักโทษหมายเลข 28 และข้ามีอะไรบางอย่างอยากจะถามเขาสักหน่อย”
ปี๋อวิ่นเถาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความโกรธแค้นในน้ำเสียงของหลินเป่ยเฉิน
นี่คือความโกรธแค้นที่รุนแรงมากพอจะระเบิดคุกใต้ดินให้กลายเป็นเถ้าธุลี
หลังจากกัดฟันชั่งน้ำหนักอยู่ในใจ ปี๋อวิ่นเถาก็ลุกขึ้นเดินออกมาจากห้องทรมานและมุ่งหน้าไปยังสำนักงานของท่านหัวหน้าผู้คุมด้วยความเร็วสายฟ้าฟาด โดยที่มีเสียงร้องโหยหวนของผู้คุมเหลียวหลอกหลอนอยู่ในสองหูตลอดเวลา
ระหว่างที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะไม้ในห้องทรมาน หลินเป่ยเฉินก็นำบรรดาม้วนกระดาษมาคลี่ออกอ่านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
…
สำนักผู้คุมนักโทษ
“ฮ่า ๆๆ ต่อให้มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิตอนปลาย แต่ขอแค่เข้าสู่คุกใต้ดินของพวกเราเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องยอมเปิดปากพูดแน่นอน... ผู้คนอย่างเฟิงเสี่ยวไป๋เมื่อถูกทรมานเข้าหน่อย สุดท้ายก็ต้องยอมร่วมมือกับพวกเราทั้งนั้น”
เฟิงจงหลิงหัวหน้าผู้คุมนั่งกล่าวด้วยความมั่นอกมั่นใจ
หูจงเซียนจากสำนักรองผู้คุมสภาซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงานของเฟิงจงหลิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง “โปรดจำไว้ว่าเรื่องราวในครั้งนี้มีความสำคัญมาก ไม่ว่าท่านจะใช้วิธีการใด ก็ต้องเอาคำสารภาพออกมาจากปากเขาภายในสามวันให้ได้”
“ฮ่า ๆๆ ใต้เท้าหู ท่านวางใจได้เลย งานนี้รับรองว่าไม่มีปัญหา…”
เฟิงจงหลิงกล่าวย้ำด้วยความมั่นใจ
โอกาสที่จะได้ทำงานรับใช้ท่านรองผู้คุมสภาอย่างหลินซิงเฉิงเป็นโอกาสที่มีเพียงครั้งเดียวในชีวิต เพราะฉะนั้น เฟิงจงหลิงจะไม่ปล่อยให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้นเป็นอันขาด
เขามองเห็นอนาคตที่สดใสของตนเองทอดยาวไกลอยู่ตรงหน้าแล้ว
จังหวะนั้น…
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นด้วยความร้อนรน
หลังจากนั้น ประตูก็ถูกเตะพังทลาย
เสียงของเจ้าหน้าที่สาวที่ทำงานอยู่หน้าห้อง พยายามร้องตะโกนว่า “รอก่อนสิเจ้าคะ เจ้าหน้าที่ปี๋ ท่านเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้ ท่านหัวหน้าผู้คุมกำลังต้อนรับแขกคนสำคัญ… โอ๊ย!”
ร่างของคนผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาในห้องทำงานของเฟิงจงหลิง
ปี๋อวิ่นเถาปรากฏตัวขึ้นกลางห้องและกล่าวว่า “เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วขอรับ ท่านหัวหน้าผู้คุมเฟิง รีบติดตามข้าไปที่ห้องทรมานหมายเลข 28 ด้วย…”
“ไสหัวไปซะ”
เฟิงจงหลิงระเบิดเสียงคำรามด้วยความเดือดดาลสุดขีด “ปี๋อวิ่นเถา เป็นเจ้าอีกแล้วหรือ? เจ้านี่มันไร้มารยาทเสียจริง เจ้าคิดว่าเรือนจำของพวกเราเป็นที่ใด? เจ้าถึงกับกล้าพังประตูห้องทำงานของข้าและยังขู่บังคับให้ข้าไปที่ห้องทรมานนักโทษอีก เจ้ามันกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว วันนี้เจ้าจะต้องเสียใจ”
ปี๋อวิ่นเถายกมือเช็ดคราบน้ำลายที่กระเด็นมาเปื้อนใบหน้า ก้าวถอยหลังเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวว่า “เซียนกระบี่หลินเป่ยเฉินรอท่านอยู่ในห้องทรมานหมายเลข 28”
เมื่อได้ยินคำว่าเซียนกระบี่หลินเป่ยเฉิน ร่างของเฟิงจงหลิงก็หยุดชะงักด้วยความตกตะลึง
หูจงเซียนถึงกับลุกขึ้นยืน สีหน้าแปรเปลี่ยนไป
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบยิ่งกว่าสุสานยามดึก
เจ้าหน้าที่สาวสวยผู้เฝ้าอยู่หน้าห้องทำงานรีบลนลานเข้ามารายงานว่า “ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าน้อยพยายามหยุดเขาแล้ว…”
แต่พูดมาได้ถึงตรงนี้ นางก็สัมผัสได้ชัดเจนว่าบรรยากาศไม่ชอบมาพากล เจ้าหน้าที่สาวจึงรีบยกมือปิดปากตนเองโดยไม่รู้ตัว
…
ได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาด้วยความเร่งร้อน
กลุ่มคนจำนวนมากมายืนรวมตัวกันอยู่หน้าห้องทรมานนักโทษ
หลินเป่ยเฉินนำเก้าอี้ตัวหนึ่งมาตั้งอยู่หลังโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ เขายังคงอ่านม้วนกระดาษด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แทบไม่เงยหน้าขึ้นมาสนทนากับผู้ใดเลยสักครั้ง
เฟิงเสี่ยวไป๋ยังคงไม่ได้สติ
โอสถรักษาอาการบาดเจ็บยังคงออกฤทธิ์ต่อไป แต่หลินเป่ยเฉินไม่แน่ใจเลยว่าโอสถเหล่านั้นจะสามารถรักษาเฟิงเสี่ยวไป๋ได้หรือไม่
ผู้คุมสิบกว่าชีวิตพลันเดินเข้ามาในห้องทรมานนักโทษ
นำหน้ามาโดยหัวหน้าผู้คุมเฟิงจงหลิง
เขาสวมใส่ชุดเกราะวิหคเหินฟ้าซึ่งเป็นชุดเกราะเล่นแร่แปรธาตุระดับ 19 สามารถคุ้มกันความปลอดภัยได้อย่างมั่นคงแข็งแรง และผู้ที่เดินติดตามมาทางด้านหลังนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากที่ปรึกษาคนสนิทของหลินซิงเฉิง หูจงเซียน
“หลินเป่ยเฉิน?”
เฟิงจงหลิงจ้องมองไปที่เด็กหนุ่มซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ตัวใหญ่และหัวเราะเยาะ “ช่างกล้าหาญเหลือเกิน เจ้ากล้าดีอย่างไรมาก่อความวุ่นวายในเรือนจำของข้า?”
หลินเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นหันมาจ้องมอง
“เจ้าเป็นหัวหน้าผู้คุมหรือ?”
เขาถามเสียงเรียบ
เฟิงจงหลิงยิ้มและตอบกลับไปด้วยความภาคภูมิใจ “ใช่แล้ว ข้าเป็นหัวหน้าผู้คุม เจ้า…”
“งั้นเจ้าก็มานี่ซะ”
หลินเป่ยเฉินกวักมือเรียกหน้าตาเฉย “ข้ามีอะไรอยากจะถามเจ้าหน่อย ทำไมเจ้าถึงต้องสั่งให้ทรมานพวกของเฟิงเสี่ยวไป๋ด้วย?”
ห้องทรมานตกอยู่ในความเงียบ
ก่อนที่จะก้องกังวานไปด้วยเสียงหัวเราะ
“เหตุไฉนข้าจึงต้องอธิบายให้เจ้าฟังด้วยเล่า?”
เฟิงจงหลิงระเบิดเสียงหัวเราะและหันไปมองผู้ติดตามที่อยู่รอบกาย ก่อนจะหันกลับมาจ้องมองที่หลินเป่ยเฉินอีกครั้งและกล่าวว่า “ตัวชั่วร้ายเช่นเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมาตั้งคำถามกับข้า? ฮ่า ๆๆ …ไม่ทราบว่าเจ้าเสียสติไปแล้ว หรือเป็นข้าหูฝาดไปเองกันแน่?”
บรรดาลูกสมุนของเฟิงจงหลิงพร้อมใจกันประสานเสียงหัวเราะด้วยความตลกขบขันออกมาทันที