เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1733 ร่างสำรอง
ตอนที่ 1,733 ร่างสำรอง
“ที่แท้ก็มีห้องลับซ่อนอยู่ตรงนี้นี่เอง”
หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกไปเปิดประตู
เขาไม่จำเป็นต้องระมัดระวังตัวอีกแล้ว
เพราะต่อให้เป็นจอมเทพจักรพรรดิตอนปลายก็ทำอะไรเขาไม่ได้
ประตูมีความสูงสี่เมตร
หลินเป่ยเฉินจึงต้องก้มศีรษะเดินเข้าไป
โชคดีที่พื้นที่ภายในห้องลับมีความกว้างขวาง ไม่ได้เล็กไปกว่าห้องทำงานด้านนอก เมื่อเข้าไปแล้ว หลินเป่ยเฉินจึงสามารถยืนขึ้นเต็มความสูงได้อย่างสบาย ๆ
นี่คือห้องลับปิดตายที่มีแสงสว่างเพียงสลัว
กำแพงทุกด้านเป็นสีน้ำตาลเข้ม น่าจะถูกลงสีด้วยวัตถุดิบชนิดพิเศษ
ตะเกียงโบราณดวงหนึ่งให้แสงสว่างริบหรี่อยู่บนผนัง ช่วยทำให้บรรยากาศน่าขนลุกมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า
ร่างไร้ชีวิตสิบร่างที่มีส่วนสูงและใบหน้าแตกต่างกันไปตั้งตระหง่านอยู่ภายใต้ตะเกียงโบราณดวงนั้น
ไม่ต่างจากผีดิบที่กำลังหลับใหล
ร่างไร้ชีวิตทั้งสิบหลับตาสนิทแน่น ร่างกายแผ่รัศมีความเย็นเยียบของโลหะออกมา เห็นได้อย่างชัดเจนว่าตามข้อต่อของร่างกายล้วนแต่เป็นโลหะหมดทั้งสิ้น
ไม่มีสิ่งใดน่าประหลาดใจ นี่คือร่างสำรองของผู้ที่ใช้สายเลือดผู้แปลงกาย
พวกเขาจะมีวิถีการฝึกวิชายุทธ์แตกต่างจากสายเลือดแขนงอื่น
สำหรับผู้ฝึกวิชาตามสายเลือดผู้แปลงกาย หากพวกเขาอยากจะมีพลังแข็งแกร่งขึ้นเพียงใด ร่างกายก็จำเป็นต้องดัดแปลงอุปกรณ์เสริมเข้ามาให้มีคุณภาพสูงส่งมากเท่านั้น
ไม่ต่างจากการสร้างรูปปั้นขึ้นมาสักตัวหนึ่ง วัตถุดิบที่นำมาใช้สำหรับทำรูปปั้นต้องเป็นวัตถุดิบที่ดีที่สุด
ร่างสำรองที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าหลินเป่ยเฉินในขณะนี้ก็ถูกจัดอยู่ในลักษณะนั้น
วิญญาณของหลินซิงเฉิงคงซ่อนอยู่ในหนึ่งในร่างสำรองเหล่านี้นี่แหละ
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นหมายตบลงไปที่ร่างสำรองเหล่านั้น
เมื่อร่างกายกำลังจะแหลกเหลว หลินซิงเฉิงก็ไม่มีทางแกล้งตายได้อีกต่อไป ไม่ว่าอย่างไร หลินซิงเฉิงก็ต้องฟื้นขึ้นมาเพื่อป้องกันตนเองอยู่แล้ว
วูบ!
ฝ่ามือของเขากำลังจะบดขยี้ร่างสำรอง
“เหตุไฉนเจ้าถึงมาได้เร็วจริง?”
ร่างสำรองที่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายมือของหลินเป่ยเฉินส่งเสียงถามออกมาด้วยความตกตะลึง
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะและสะบัดมือหันไปทางนั้น
ฟาดตบลงไปอย่างแรง
พลั่ก!
ร่างสำรองแหลกสลายกลายเป็นผงเหล็ก
“หยุดได้แล้ว”
คราวนี้ ร่างสำรองทางขวามือลืมตาขึ้นและถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าซ่อนตัวอยู่ที่ใด”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นตบฝ่ามือลงไปอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ร่างสำรองของหลินซิงเฉิงเสียหายไปอีกร่าง
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้หลินซิงเฉิงอยากจะร้องไห้ออกมาโดยไม่มีน้ำตา
ร่างดัดแปลงทั้งสิบร่างนี้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบาก บางร่างช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเขาได้มากถึงเจ็ดส่วน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าร่างดัดแปลงเหล่านี้กลับถูกหลินเป่ยเฉินทำลายลงไปเกือบทั้งหมดในพริบตาเดียว
และหลินเป่ยเฉินก็คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะค้นพบห้องลับของเขารวดเร็วถึงเพียงนี้
“เหอ ๆๆ…”
หลินเป่ยเฉินยิงฟันยิ้มจ้องมองไปที่หลินซิงเฉิงพลางระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้าย “ซ่อนตัวได้ก็ซ่อนต่อไปเถอะ”
หลินซิงเฉิงในร่างจำแลงร่างสุดท้ายรีบปรับเปลี่ยนสีหน้าของตนเองให้สงบเยือกเย็นลง
“เจ้าฆ่าข้าไม่ได้”
เขายืนนิ่งกัดฟันกรอด “ร่างที่แท้จริงของข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ หากเจ้าไม่ทำลายร่างจริงของข้า ข้าก็ไม่มีวันตาย”
“เจ้ากล่าวเรื่องเหลวไหลอันใด?”
หลินเป่ยเฉินคำรามตอบกลับไป “ต่อให้ผู้ใช้สายเลือดผู้แปลงกายจะมีแนวทางการฝึกวิชาแปลกประหลาดที่สุด แต่ก็ไม่มีความแปลกประหลาดพิสดารถึงเพียงนี้”
“ผู้ใดบอกว่าข้าใช้สายเลือดผู้แปลงกาย?”
หลินซิงเฉิงหัวเราะเยาะและยืดอกขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ “นี่คือวิชาย้ายร่างของเผ่าพันธุ์ปีศาจต่างหาก ฮ่า ๆๆ เลือดเนื้อของมนุษย์น่ะอ่อนแอมากเกินไป มีแต่เพียงโลหะเท่านั้นถึงจะคงอยู่ตลอดกาล นี่คือการปฏิวัติแห่งชีวิตที่แท้จริง…. พวกมนุษย์มีถึงยี่สิบสี่สายเลือดให้เลือกฝึกฝน แต่สุดท้ายก็เป็นได้แค่มดปลวกไร้ค่า สู้เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ไม่ได้ แม้จะมีเพียงเจ็ดสายเลือดให้เลือกฝึกฝน แต่ก็เป็นรูปแบบแนวทางที่มีความแข็งแกร่งทั้งสิ้น”
“พวกเผ่าพันธุ์ปีศาจจะกล้าอวดดีได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะและกล่าวต่อไป “หากข้าจำไม่ผิด หลังยุคแห่งการล่มสลายผ่านพ้น เผ่าพันธุ์ปีศาจก็เป็นเสมือนสุนัขจรจัดที่อยู่ภายใต้การปกครองของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ใช่หรือ?”
“เฮอะ”
ดวงตาของหลินซิงเฉิงกลายเป็นสีแดงก่ำขึ้นมาทันที “เจ้าจะไปรู้อะไรในยุคแห่งการล่มสลาย? ผู้ใดเป็นคนบอกเจ้า?”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะและลงมือโจมตีอีกครั้ง “เจ้าไม่ต้องรู้หรอก”
เด็กหนุ่มกระแทกฝ่ามือออกไปข้างหน้า
มวลอากาศภายในห้องลับปิดตายเกิดความปั่นป่วน
“เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าในอาณาจักรซือเว่ย ณ บัดนี้ เกิดอะไรขึ้นกับสหายของเจ้าบ้าง?”
หลินซิงเฉิงถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ฝ่ามือของหลินเป่ยเฉินหยุดชะงักลงขณะที่กำลังจะตบลงไปที่ศีรษะของหลินซิงเฉิง
“เจ้าก็บอกข้ามาสิ?”
หลินเป่ยเฉินกล่าวเน้นย้ำทีละคำ
“ไม่ต้องบอกหรอก แต่ให้เจ้าดูเองเลยดีกว่า”
หลินซิงเฉิงรู้ดีว่าตนเองกลับมาเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์อีกครั้ง
เขายิ้ม ก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นมา
แล้วลำแสงสายหนึ่งก็พุ่งออกจากฝ่ามือเชื่อมต่อเข้ากับตะเกียงโบราณบนผนัง
ตะเกียงโบราณสั่นสะเทือนเล็กน้อย
แล้วลำแสงก็พุ่งออกมาจากตะเกียงดวงนั้นกลายเป็นหน้าจอขนาดใหญ่ที่กำลังฉายภาพอะไรบางอย่าง
เป็นภาพฐานบัญชาการของกองทัพเซียนกระบี่ประจำเมืองอิ่นเฉิน
นี่คือเมืองลำดับแรก ๆ ที่กองทัพเซียนกระบี่สามารถบุกยึดครองได้สำเร็จ
ภาพบนหน้าจอดำเนินต่อไป
“ในขณะที่เจ้ากำลังมาอาละวาดอยู่ที่นี่ ฐานบัญชาการของกองทัพเซียนกระบี่ประจำเมืองอิ่นเฉินก็ได้ถูกบุกโจมตีอย่างหนัก อีกไม่ช้า ฐานบัญชาการของเจ้าก็จะล่มสลายกลายเป็นผุยผง และนายทหารทุกคนก็จะต้องติดตามเจ้าลงสู่หลุมฝังศพ…”
สีหน้าของหลินซิงเฉิงกลับมาแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจอีกครั้ง “อันที่จริง การรับมือกับคนอย่างเจ้านั้นง่ายดายมาก เจ้าคิดว่าตนเองแข็งแกร่ง เจ้าคิดว่าตนเองเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่า แต่ในความเป็นจริง ในสายตาของผู้ที่มีอำนาจที่แท้จริง เจ้าก็เป็นเพียงเด็กที่ไม่รู้จักโตเท่านั้น”
หลินเป่ยเฉินจ้องมองภาพที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอไม่วางตา
…
เมืองอิ่นเฉิน
กองทัพเซียนกระบี่
ห้องประชุม
การโจมตีเกิดขึ้นโดยที่ทุกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว
ในขณะที่การประชุมดำเนินไป มวลอากาศกลับเกิดความปั่นป่วน แล้วนักฆ่าระดับเหรียญทองคำจากหอสลายวิญญาณก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าทุกคน
เมื่อการบุกโจมตีอุบัติขึ้น นายทหารผู้เข้าร่วมประชุมซึ่งมีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิก็ยกมือขึ้นกุมลำคอ โลหิตไหลทะลักออกมาตามง่ามนิ้ว และในไม่ช้า โลหิตเหล่านั้นก็กลายเป็นสีดำย้อมไปทั้งร่างกาย…
ตัวคนร่วงหล่นจากเก้าอี้
นักฆ่าระดับเหรียญทองคำจากหอสลายวิญญาณลงมือได้ว่องไวและแนบเนียนไม่ต่างจากวิญญาณตนหนึ่ง
พวกเขามีความชำนาญในการลงมือฆ่าและหลบหนี
บรรดาผู้เข้าร่วมประชุมที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างก็รู้สึกอ่อนแรงและแสบลำคอ ซึ่งเป็นสัญญาณของการถูกวางยาพิษ
“พวกเราโดนหักหลัง”
“มีสายลับอยู่ในกลุ่มของพวกเรา”
“หลบหนี รีบพาแม่ทัพเซียวหนีไปจากที่นี่”
ใครบางคนร้องตะโกนออกมา
สถานการณ์ปั่นป่วนวุ่นวายโกลาหล
ในกลุ่มผู้คนที่กำลังแตกตื่น ร่างของเซียวปิงปรากฏขึ้นพร้อมด้วยกลุ่มองครักษ์โดดเด่นสะดุดตา
ขณะนี้ เด็กหนุ่มร่างอ้วนคือผู้บังคับบัญชาสูงสุดแห่งฐานบัญชาการของกองทัพเซียนกระบี่
ไม่นานก่อนหน้านี้ เซียวปิงได้รับภารกิจมาจากหวังจง
หน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในฐานบัญชาการกองทัพเซียนกระบี่ขึ้นตรงต่อเขาเพียงผู้เดียว
“ท่านแม่ทัพรีบหลบหนีไป”
นายทหารผู้หนึ่งอยากจะคุ้มครองเซียวปิงถอนกำลังหลบหนี
ทุกคนในฐานบัญชาการทราบดีว่าที่แม่ทัพเซียวสามารถขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชาสูงสุดได้นั้น ไม่ใช่เพราะมีความสามารถเก่งกาจมากกว่าผู้ใด แต่แม่ทัพเซียวขึ้นมาดำรงตำแหน่งได้ด้วยสถานะน้องชายของเซียนกระบี่หลินเป่ยเฉินต่างหาก... และไม่มีผู้ใดติดใจกับเรื่องราวนี้ เพราะในอาณาจักรซือเว่ย การเล่นพรรคเล่นพวกและผลักดันญาติพี่น้องของตนเองขึ้นสู่อำนาจก็ถือเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง
ดังนั้น เมื่อเกิดสถานการณ์วิกฤตขึ้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะฝากความหวังให้เด็กหนุ่มร่างอ้วนผู้นี้คอยแก้ไขสถานการณ์