เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1754 นายท่านไม่อยู่
ตอนที่ 1,754 นายท่านไม่อยู่
และเด็กชายก็ไม่ทราบเลยว่าเจ้าหนูอสูรที่ชื่ออากวงมาปรากฏตัวอยู่ที่ลานหน้าบ้านตั้งแต่เมื่อใด
“หืม? ท่านพี่อากวง ท่านมาทำอะไรที่นี่หรือ?”
เด็กชายยกชามใส่โอสถขึ้นและกล่าวว่า “ข้ากำลังอยากพบท่านอยู่พอดี บัดนี้ ข้าหลอมโอสถคืนวิญญาณเสร็จแล้วห้าเม็ด ได้โปรดช่วยนำกลับไปมอบให้แก่พี่หลินด้วย”
อากวงหยิบกระดานชนวนออกมาเขียนข้อความว่า ‘นายท่านไม่อยู่’
“เขาไปที่ใด?”
เด็กสาวถามออกมาโดยไม่รู้ตัว “ครั้งนี้เขาจะไปนานหรือไม่?”
เด็กชายหันไปมองหน้าพี่สาว
ไหนบอกว่าไม่ได้ตกหลุมรักพี่หลินไงล่ะ เพียงเท่านี้ก็ทำตัวเป็นภรรยาหลวงไปได้
อากวงเขียนข้อความตอบว่า ‘ไปร่วมงานเลี้ยงล่ากวาง’
“เขาเนี่ยนะ?”
เด็กสาวเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับงานเลี้ยงล่ากวางมาแล้ว จึงอดหัวเราะเยาะไม่ได้ “คงเสียเงินไปไม่น้อยเลยสินะกว่าจะได้เข้าไปอยู่ในงานนั้น?”
การได้เข้าร่วมงานเลี้ยงอันใหญ่โตเช่นนี้สำหรับแม่ทัพชั้นปลายแถว ย่อมเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นดีใจมากที่สุดในชีวิต
หากไม่ได้ใช้เงินทองติดสินบน แล้วมดปลวกอย่างหลินเป่ยเฉินจะได้เข้าไปอยู่ในงานนั้นได้อย่างไร?
‘ท่านผู้คุมสภาฮวาไป๋เป็นคนส่งเทียบเชิญให้นายท่านมาเข้าร่วมงาน ที่ปรึกษาของเขานามว่าเจียงสือเป็นผู้มอบเทียบเชิญให้แก่นายท่านด้วยตนเอง’ อากวงเขียนตัวอักษรด้วยสีหน้าไม่พอใจ ‘นายท่านของข้าเป็นแขกระดับสูงในงานเลี้ยงนั้น’
“โฮะ ๆๆ”
เด็กสาวยกมือปิดปากหัวเราะขบขัน “ประเสริฐ ข้าจะเชื่อเจ้าก็ได้ เอาที่เจ้าสบายใจเถอะ เจ้าหนู”
อากวงเบิกตาโต
‘หากเจ้าไม่เชื่อ ข้าก็มีหลักฐานมาพิสูจน์’
เจ้าหนูทนเห็นผู้อื่นสงสัยในตัวนายท่านของตนเองไม่ได้ มันจึงเอาแต่เขียนข้อความไม่หยุด
หัวใจของเด็กสาวกระตุกวูบด้วยความตกตะลึง
…
วังหลวง
ตำหนักหมาป่า
งานเลี้ยงล่ากวางกำลังดำเนินไป
บรรดาแม่ทัพและขุนนางระดับสูงต่างก็มารวมตัวกันที่นี่เพื่อแย่งชิงดินแดนในการปกครองของอาณาจักรซือเว่ย
และในเวลาเดียวกันนี้ พวกเขาก็ยังแย่งชิงตำแหน่งในสภาขุนนางกันอีกด้วย
จักรพรรดิองค์ใหม่นั่งอยู่บนบัลลังก์ทองคำที่ยกสูงมากกว่าทุกคน จึงสามารถมองเห็นได้ทั่วท้องพระโรง
องค์จักรพรรดิสวมใส่หน้ากากหมาป่าทองคำ มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่เปิดเผยให้ผู้อื่นได้เห็น ตลอดร่างกายสวมใส่ชุดเกราะทองคำอีกเช่นกัน องค์จักรพรรดินั่งนิ่งเงียบ ไม่พูดไม่จา แต่สายตากำลังจ้องมองไปยังแขกเหรื่อด้วยความสนใจ
ในท้องพระโรง ย่อมต้องมีการปรากฏตัวของท่านผู้คุมสภาฮวาไป๋และรองผู้คุมสภาอย่างม่อเฟิง ม่อหลี่ สวีฉานหลี่และเยว่อี้ในที่นั่งแถวหน้าสุด
และตำแหน่งที่เคยเป็นที่นั่งของหลินซิงเฉิงผู้เป็นหนึ่งในห้ารองผู้คุมสภาก็ถูกแทนที่ด้วยเด็กหนุ่มผู้สวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีขาวผู้มีผมดกดำ ใบหน้าของเขาหล่อเหลายากเกินอธิบาย และเมื่อรวมเข้ากับรอยยิ้มไม่ยี่หระต่อสิ่งใด เด็กหนุ่มผู้นี้จึงมีบุคลิกห้าวหาญน่าเคารพเลื่อมใส บัดนี้ เขากำลังจ้องมองผู้คนในท้องพระโรงตาไม่กะพริบ
เด็กหนุ่มผู้นี้ย่อมต้องเป็นเซียนกระบี่หลินเป่ยเฉินในตำนาน
ถัดออกไป เป็นที่นั่งของกลุ่มนายทหารและบรรดาขุนนางยศต่าง ๆ ประมาณสี่ร้อยคน ทุกคนล้วนเป็นผู้มีอำนาจในอาณาจักรซือเว่ยอย่างแท้จริง…
แต่ละคนหากไม่มีพลังแข็งแกร่งก็ต้องมีฐานะร่ำรวย
แต่ละคนล้วนมีขุมกำลังและทรัพย์สินเงินทองเกินกว่าที่ผู้คนธรรมดาจะจินตนาการได้
สำหรับเมืองที่พวกเขาปกครอง ขุนนางและนายทหารเหล่านี้ไม่ต่างไปจากจ้าวชีวิตของประชาชน
สามารถกล่าวได้อย่างแท้จริงว่าผู้ที่เข้าร่วมงานเลี้ยงล่ากวางส่วนใหญ่นั้น ต่างก็เป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริงในอาณาจักรซือเว่ย
บัดนี้ สายตาส่วนใหญ่ล้วนจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉิน
ไม่ใช่ว่าองค์จักรพรรดิองค์ใหม่ไม่ควรค่าแก่ความสนใจ แต่เป็นเพราะเด็กหนุ่มผู้นี้มีสง่าราศีโดดเด่นมากเกินไปต่างหาก
และทุกคนก็ทราบดีว่าจักรพรรดิองค์ใหม่เป็นเพียงหุ่นเชิด มีแต่บัลลังก์ทว่าไร้อำนาจ ซึ่งแตกต่างกับหลินเป่ยเฉิน หลังสังหารหลินซิงเฉิงซึ่งเป็นรองผู้คุมสภาแล้ว นอกจากเขาจะไม่ถูกสภาขุนนางกล่าวโทษแล้ว เด็กหนุ่มยังได้รับเทียบเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงล่ากวางในครั้งนี้อีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้หลายฝ่ายตกตะลึงยิ่งนัก
ผู้คนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงล้วนไม่ใช่ตัวโง่งม
เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงทราบดีว่านี่หมายความว่าอย่างไร
ยิ่งหลินเป่ยเฉินได้รับความเคารพยำเกรงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่สมควรไปมีเรื่องขัดแย้งด้วยเท่านั้น
ระหว่างการโต้เถียงเพื่อแย่งชิงดินแดนต่าง ๆ ไปครอบครอง ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถึงเมืองหลานเหนี่ยวหรือเมืองอิ่นเฉินเลยแม้แต่คนเดียว
และนี่ก็ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก
ในฐานะที่เป็นพระเอกของเรื่องนี้ เขาคงไม่สามารถทำหน้าเย้ยหยันและอาละวาดในทุก ๆ ที่ที่ตนเองไป เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตนเองโดยไร้เหตุผลได้ทุกครั้งหรอกกระมัง?
ทำไมถึงไม่มีคนเข้ามาหาเรื่องเขาบ้างเลยนะ?
หรือว่าเขาควรหาข้ออ้างไปหาเรื่องคนอื่นดี?
มิเช่นนั้น วันนี้เขาจะแสดงความแข็งแกร่งให้ทุกคนเห็นได้อย่างไร?
เมื่อนึกถึงแผนการที่หวังจงและบรรดาผู้ติดตามวางเอาไว้ หลินเป่ยเฉินก็อดส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความชั่วร้ายไม่ได้
งานเลี้ยงในวันนี้ หลินเป่ยเฉินจะสวมบทบาทเป็นตัวแทนขุนนางผู้กระหายอำนาจ เด็กหนุ่มจึงทึกทักเอาว่าตนเองกำลังรับบทบาทเป็นโจโฉในเรื่องสามก๊ก….
ว่าแต่เขาจะทำให้ตัวเองดูชั่วร้ายและกระหายในอำนาจได้อย่างไรดีนะ?
หลินเป่ยเฉินหันหน้าไปทางบัลลังก์ขององค์จักรพรรดิผู้สวมใส่หน้ากากหมาป่าทองคำ แล้วก็ให้รู้สึกสงสารเวทนายิ่ง
เฮ้อ นี่น่ะหรือผู้กุมชะตาชีวิตของผู้คนในอาณาจักรซือเว่ย?
ช่างน่าสงสาร
“อะแฮ่ม!”
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงไอ
เสียงแห่งการโต้เถียงยังคงดำเนินต่อไป
บรรดาคนใหญ่คนโตที่กำลังโต้เถียงกันเรื่องเขตแดนในการปกครองไม่เคยได้ยินเสียงของหลินเป่ยเฉินมาก่อน ดังนั้น พวกเขาจึงไม่รู้ว่านี่เป็นเสียงไอของผู้ใด พวกเขาจึงไม่ได้ไว้หน้าหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินยิ้มด้วยความดีใจ
ในที่สุด… โอกาสก็มาถึงแล้ว!!
นี่แหละข้ออ้างของเขา
หลินเป่ยเฉินตบโต๊ะที่ตั้งอยู่ด้านข้างเสียงดังปัง “พอได้แล้ว”
โครม!
โต๊ะไม้ตัวนั้นแตกกระจาย
ท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบสงบ
ทุกคนหันมาจ้องมองที่เขาโดยไม่รู้ตัว
หลินเป่ยเฉินหันไปมองโต๊ะที่พังทลายด้วยความประหลาดใจ
ทำไมโต๊ะตัวนี้ถึงพังง่ายจังเลยเนี่ย?
อ้อ จริงด้วยสิ เป็นเพราะพลังของเราแข็งแกร่งมากขึ้นต่างหาก
“ช่างน่ารำคาญกันเสียจริง”
หลินเป่ยเฉินกวาดตามองบรรดาขุนนางและแม่ทัพใหญ่หลายร้อยชีวิตที่นั่งอยู่ในท้องพระโรง และกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าพวกท่านยังเห็นหัวข้า… แล้วก็เห็นหัวองค์จักรพรรดิอยู่ในสายตาบ้างหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินไม่ลืมเติมองค์จักรพรรดิลงไปในท้ายประโยค
ท้องพระโรงเงียบสงัด
แม้แต่ท่านผู้คุมสภาฮวาไป๋และรองผู้คุมทั้งสี่ก็ยังจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินอย่างใช้ความคิด
น้ำเสียงเช่นนี้…
ไม่ต่างจากพวกขุนนางที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อองค์จักรพรรดิองค์เก่าเลยแม้แต่น้อย