เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1755 อาละวาดในงานเลี้ยง
ตอนที่ 1,755 อาละวาดในงานเลี้ยง
“ดูพวกท่านแต่ละคนสิ…”
หลินเป่ยเฉินยังคงกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงขึงขัง “ไหนกันแม่ทัพใหญ่ผู้องอาจ? ไหนกันท่านขุนนางผู้สูงส่ง? ไหนกันกิริยามารยาทอันงดงามและน่าเคารพเลื่อมใส? เหตุไฉนพวกท่านถึงได้ส่งเสียงโวยวายไม่ต่างไปจากแม่ค้าในตลาดสด? ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน… ไม่ทราบว่าพวกท่านมีคุณสมบัติอันใดมาตัดสินว่าผู้ใดจะได้ปกครองดินแดนต่าง ๆ ในอาณาจักรซือเว่ยกันเองตามใจชอบ?”
นี่ไม่ต่างจากทุกคนถูกเด็กหนุ่มตบหน้าฉาดใหญ่
และนี่ก็เป็นถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามอย่างซึ่งหน้า
ทุกคนล้วนรู้สึกเดือดดาลอยู่ในใจ
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนหน้าหนาไร้ยางอาย แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็มีศักดิ์ศรีในตนเอง
แม้แต่ท่านผู้คุมสภาฮวาไป๋ก็ยังต้องส่งเสียงคำรามในลำคอออกมาแผ่วเบา
นี่เองก็เป็นสัญญาณเตือนถึงหลินเป่ยเฉินเช่นกัน
“ฮ่า ๆๆ…”
เสียงหัวเราะที่เย็นชาดังขึ้น
ทันใดนั้น สตรีผู้หนึ่งที่มีร่างกายสูงใหญ่มากกว่าสตรีทั่วไปสองเท่าก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนและจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินก่อนหัวเราะเยาะหยัน “ไม่ทราบว่าเจ้าเป็นผู้ใด? เคยสร้างความดีความชอบอันใดให้แก่แผ่นดินนี้บ้าง? เจ้ามีคุณสมบัติอันใดมาเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้? การที่เจ้าได้นั่งอยู่บนเก้าอี้ของรองผู้คุมสภาคนเก่า ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถพูดจาอวดดีได้เช่นนี้”
เกือบทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรงแสดงสีหน้าออกมาเป็นหนึ่งเดียวกันว่า ‘พูดได้ดี’
หลินเป่ยเฉินถามกลับไปเสียงเรียบ “แล้วท่านล่ะเป็นผู้ใด?”
“เหอหนิงช่วง แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพน้ำตาโลหิต”
สตรีผู้นั้นเชิดหน้าขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ สีหน้าบอกชัดถึงความดูถูกดูแคลนที่มีต่อหลินเป่ยเฉิน
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นแม่ทัพเหอหนิงช่วงนี่เอง ได้ยินว่าเมื่อท่านหมายตาจะปกครองดินแดนใด ท่านก็จะฆ่าล้างผู้คนในแผ่นดินเหล่านั้นจนแทบไม่เหลือสิ้น อย่างเช่นสิ่งมีชีวิตในเมืองอาเหลียวต้องตายไปด้วยฝีมือของท่านถึงครึ่งหนึ่ง นับว่าเป็นผู้ที่มีความชั่วช้าอำมหิตยิ่งนัก”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินเป่ยเฉินเย็นชามากพอ ๆ กับคำพูดของเขา
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
เหอหนิงช่วงระเบิดเสียงหัวเราะและจ้องมองดวงตาของหลินเป่ยเฉินเขม็ง
การขึ้นสู่อำนาจของนางย่อมได้รับการหนุนหลังจากกลุ่มคนใหญ่คนโตในกองทัพ และบัดนี้ ทุกคนก็ทราบดีว่าเหอหนิงช่วงคือผู้ติดตามคนสนิทของท่านผู้คุมสภาฮวาไป๋… แล้วนางยังจะต้องหวาดเกรงเด็กหนุ่มหน้าใหม่ไปเพื่อเหตุใด?
“ว่าอย่างไรล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินผงกศีรษะ “นับเป็นคำถามที่ดี”
ฟิ้ว!
เสียงแปลกประหลาดดังขึ้น
แล้วศีรษะของเหอหนิงช่วงก็ระเบิดหายไป
ร่างกายอันใหญ่ยักษ์ของนางเอนไปทางด้านหลังก่อนจะค่อย ๆ ล้มลงกระแทกกับพื้นหินเสียงดังตุบ
หลินเป่ยเฉินยกมือเป่านิ้วมือของตนเอง “ทุกท่านเข้าใจแล้วหรือไม่ว่านี่คือเรื่องราวใด?”
ทุกคนล้วนตกตะลึง
ทุกสายตาจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยความไม่อยากเชื่อ
นี่เขากล้าอาละวาดจริง ๆ หรือ?
นี่เขากล้าฆ่าคนกลางงานเลี้ยงล่ากวางจริง ๆ หรือ?
กลุ่มคนที่นั่งอยู่ติดกับที่นั่งของเหอหนิงช่วงพลันมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป พวกเขารีบหันหน้าหนีไปทางอื่น เมื่อเห็นโลหิตพุ่งกระฉูดออกมาจากลำคอของศพบนพื้น พวกเขาก็อดรู้สึกหนาวสั่นไปถึงขั้วหัวใจไม่ได้
ผู้ใดจะไปคิดเลยว่าในงานเลี้ยงสำคัญเช่นนี้ ยังจะมีผู้คนกล้าฆ่าคนตายอีก!
ท่านผู้คุมสภาฮวาไป๋รีบลุกขึ้นยืน ดวงตาวาวโรจน์จ้องมองตรงไปที่หลินเป่ยเฉิน ร่างกายแผ่รังสีอำมหิต ไม่ต่างจากสัตว์ร้ายที่ถูกรังแก
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาโดยทันที
รองผู้คุมสภาทั้งสี่มีสีหน้าแตกต่างกันไป
พวกเขาจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉินด้วยความประหลาดใจ สงสัยและพิศวง
“แม่ทัพหลิน นี่หมายความว่าอย่างไร?”
ฮวาไป๋ถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ข้าก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างไร”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่สนใจคนที่เพิ่งถูกฆ่าตายไปแม้แต่น้อย
“แม่ทัพเหอเป็นภรรยาน้อยของท่านอู๋ซิงลู่ เสนาบดีประจำกรมพิธีการ”
ฮวาไป๋กล่าวน้ำเสียงเย็นชา พยายามที่จะไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา
แต่ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงความโกรธแค้นของเขาอย่างชัดเจน
หลายคนที่อยู่ในท้องพระโรงขณะนี้เคยเห็นความโกรธแค้นของฮวาไป๋มาแล้ว
นับเป็นความโกรธแค้นที่น่ากลัวยิ่ง
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถทนรับความโกรธแค้นนี้ได้
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงหัวเราะเหยียดหยามและถามกลับไป “แล้วนางเป็นทหารที่ดีหรือไม่? นางสังหารชีวิตผู้คนบริสุทธิ์ตกตายเป็นจำนวนนับล้านคนเพื่อให้ได้ครอบครองดินแดนที่นางหมายปอง ผู้คนบริสุทธิ์จำนวนนับล้านคนต้องหลั่งเลือด แล้วจะสามารถนำมาเทียบกับภรรยาน้อยของท่านเสนาบดีประจำกรมพิธีการเพียงคนเดียวได้อย่างไร?”
ฮวาไป๋ขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ทางสภาขุนนางจะต้องสอบสวนเรื่องนี้…”
“การสอบสวนของพวกท่านเป็นเพียงละครฉากหนึ่ง ข้าไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด”
หลินเป่ยเฉินสวนกลับไปทันควันและกล่าวเน้นย้ำทีละคำว่า “ลมปากตัดสินชีวิตคน กระบี่ตัดสินความเป็นตาย… ข้าเพียงเชื่อมั่นในหัวใจของตนเองและศรัทธาในกระบี่ของข้าเท่านั้น”
“เจ้า…”
ฮวาไป๋ชักสีหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หลินเป่ยเฉิน ข้าเมตตาเจ้ามามากพอแล้ว อย่าได้ทำตัวอวดดีมากเกินไป”
หลินเป่ยเฉินมองหน้าตอบกลับไปอย่างไม่หวาดกลัว “ข้าเองก็ต้องการพูดเช่นนั้นไม่ต่างกัน”
ดวงตาของฮวาไป๋เป็นประกายวาวโรจน์ด้วยจิตสังหาร
หลินเป่ยเฉินจ้องตอบกลับไปด้วยความยโสโอหัง
ที่เขายังไม่สังหารฮวาไป๋ตายคาที่ ก็เพราะเห็นแก่ของขวัญผูกสัมพันธไมตรีที่อีกฝ่ายเคยส่งมาให้ก่อนหน้านี้
หลินเป่ยเฉินก็ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะรู้ซึ้งถึงความเมตตาของเขาบ้าง
ทันใดนั้น…
“ฮ่า ๆๆ หลินเป่ยเฉิน แม้เจ้าจะไม่พอใจผู้อื่นเพียงใด แต่เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ฆ่าคนได้ตามอำเภอใจ อย่าลืมว่าอาณาจักรซือเว่ยอยู่ภายใต้การปกครองของฝ่าบาท มีเพียงองค์จักรพรรดิของพวกเราเท่านั้นถึงมีสิทธิ์สั่งประหารผู้คน หากผู้คนไม่ยอมทำตามกฎหมาย บ้านเมืองก็คงต้องตกอยู่ภายใต้ความวุ่นวายเป็นแน่แท้ หรือว่าเจ้าต้องการให้อาณาจักรซือเว่ยตกอยู่ภายใต้ความวุ่นวาย?”
รองผู้คุมสภาสวีฉานหลี่ส่งเสียงพูดขึ้นมาทันที
นางเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาเสมือนคนอายุประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหก นับเป็นหญิงงามที่มีเสน่ห์ที่สุด เป็นหญิงงามประเภทที่บุรุษหนุ่มทุกผู้คนต้องการไขว่คว้ามาครอบครอง และขณะนี้ ใบหน้าที่งดงามของสวีฉานหลี่ก็กำลังประดับด้วยรอยยิ้มเย็นชา แววตาเป็นประกายด้วยความดุดัน
ในฐานะรองผู้คุมสภา สวีฉานหลี่ย่อมมีอำนาจอยู่ในมือไม่น้อย
ผู้คนจำนวนมากต้องเชื่อฟังนาง
ใช่แล้ว
ผู้ติดตามของสวีฉานหลี่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุรุษหนุ่มยอดฝีมือที่หลงใหลในความงามของนาง
หากยอดฝีมือเหล่านั้นเกิดไม่พอใจหลินเป่ยเฉินขึ้นมา ก็คงได้เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่แล้ว
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะ และกำลังจะเอ่ยวาจาตอบโต้กลับไป…
ทันใดนั้นเอง…
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ด้านนอกตำหนักหมาป่าพลันเกิดการระเบิดของคลื่นพลังอย่างรุนแรง คล้ายกับว่ากำลังมีการต่อสู้บังเกิดขึ้น
ดูเหมือนว่าน่าจะมียอดฝีมือผู้หนึ่งพยายามจะบุกทะลวงเข้ามาในตำหนักหมาป่า