เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1756 ผู้บุกรุกตำหนักหมาป่า
ตอนที่ 1,756 ผู้บุกรุกตำหนักหมาป่า
“ถวายบังคมฝ่าบาท…”
องครักษ์ผู้หนึ่งลอยตัวเข้ามาคุกเข่าข้างเดียวและรายงานเสียงดังว่า “ปี๋อวิ่นเถาเจ้าหน้าที่สืบสวนระดับสามของหน่วยสืบสวนพิเศษได้พยายามบุกเข้ามาที่ตำหนักหมาป่าพ่ะย่ะค่ะ บัดนี้ เขาสังหารราชองครักษ์ไปเป็นจำนวนมาก ไม่มีผู้ใดสามารถรับมือกับเขาได้อีกแล้ว”
กลุ่มขุนนางและแม่ทัพใหญ่ที่อยู่ในท้องพระโรงเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
บางคนเคยได้ยินชื่อของปี๋อวิ่นเถามาก่อน
บางคนไม่เคยได้ยิน
หน่วยสืบสวนพิเศษเป็นเพียงหน่วยงานขนาดเล็กในเมืองเทียนหลางซิง
แม้แต่หลี่เถียนซิงผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนี้ก็เป็นเพียงขุนนางเล็ก ๆ ผู้หนึ่งเท่านั้น ทั้งยังมีฐานะต่ำต้อย จึงทำได้เพียงเข้ามานั่งรับฟัง ทว่าไม่มีคุณสมบัติดีพอที่จะเอ่ยปากกล่าววาจาด้วยซ้ำ
แล้วเจ้าหน้าที่สืบสวนระดับสามกล้าดีอย่างไรถึงกระทำเรื่องราวเช่นนี้?
แต่ขนาดองครักษ์วังหลวงก็ยังไม่สามารถรับมือกับเขาได้เชียวหรือ?
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความไม่อยากเชื่อและตั้งหน้าตั้งตารอดูเหตุการณ์ต่อไป
ประเสริฐ
ในที่สุด ปี๋อวิ่นเถาก็แสดงฝีมือออกมาแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้หลินเป่ยเฉินอยากรู้ก็คือ เพราะเหตุใดกันนะ คนที่ยึดมั่นในหลักการอย่างปี๋อวิ่นเถาถึงยอมทำผิดกฎหมายร้ายแรงบุกรุกเข้ามาถึงตำหนักหมาป่าเช่นนี้
“มันกล้าดีอย่างไร ถึงกับกล้าเข้ามากระตุกหนวดเสือถึงที่นี่”
สีหน้าของฮวาไป๋แสดงออกถึงจิตสังหารที่น่ากลัว
งานเลี้ยงล่ากวางจัดขึ้นเพื่อเปิดตัวองค์จักรพรรดิที่จะเป็นหุ่นเชิดของเขา และจุดประสงค์ที่แท้จริงในการจัดงานครั้งนี้ ก็เพื่อแบ่งปันดินแดนให้บรรดาขุนนางได้ครอบครองกันตามผลประโยชน์ที่ลงตัว
แต่บัดนี้ หลินเป่ยเฉินเพิ่งก่อเหตุอาละวาดไม่ไว้หน้าฮวาไป๋ ยังไม่ทันได้จัดการสิ่งใด เขาก็มีเรื่องราวใหม่ให้ได้ปวดหัวอีกแล้ว…
หากไม่เชือดไก่ให้ลิงดู แล้วในอนาคต ยังจะมีผู้คนเชื่อฟังเขาอีกได้อย่างไร?
ฮวาไป๋คิดได้ดังนี้ก็หันไปมองหน้าเจียงสือผู้เป็นที่ปรึกษาของตนเอง และออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ที่ปรึกษาเจียง ดูเหมือนข้าคงต้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าเสียแล้ว… ออกไปจัดการกับผู้บุกรุกซะและเอาหัวของมันกลับมาให้ได้…”
เจียงสือพยักหน้า “รับทราบขอรับ”
เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของปี๋อวิ่นเถามาก่อน
นับเป็นมือกระบี่ที่มีพรสวรรค์ในเมืองเทียนหลางซิง
ก่อนหน้านี้ เขาเคยขออนุญาตจากท่านผู้คุมสภาฮวาไป๋เพื่อไปท้าดวลกระบี่กับปี๋อวิ่นเถามาแล้วหลายครั้ง
แต่ทุกครั้งคำขอของเจียงสือจะถูกปฏิเสธ
ในเมื่อครั้งนี้ได้รับอนุญาต ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องรีรออีก
เจียงสือปรารถนาที่จะได้ฆ่ามือกระบี่อัจฉริยะผู้นี้ด้วยสองมือของตนเองมานานแล้ว
ทันใดนั้น…
“กราบเรียนท่านผู้คุมสภา เป็ดไก่เพียงตัวเดียว ไยต้องเหนื่อยแรงพวกท่านถึงเพียงนั้น”
ในท้องพระโรง ชายฉกรรจ์ผู้สวมใส่ชุดเกราะสีดำเข้มประสานมือคำนับให้แก่ฮวาไป๋และกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเหยียนซือเฉิน แม่ทัพใหญ่จากกองทัพเทียนหยวน ข้ารอโอกาสที่จะได้รับใช้ท่านผู้คุมสภามานานแล้ว ข้าจึงปรารถนาจะใช้โอกาสในการสังหารผู้บุกรุกครั้งนี้ สร้างความดีความชอบให้แก่ตนเองในการรับใช้ท่านผู้คุมสภาขอรับ”
ฮวาไป๋หยุดชะงักเล็กน้อยก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า
มีผู้คนอาสาออกไปจัดการปี๋อวิ่นเถาให้แก่เขาแล้ว
“ที่แท้ก็เป็นแม่ทัพเหยียนแห่งกองทัพเทียนหยวนนี่เอง”
ฮวาไป๋ส่งเสียงกล่าวออกมาและพยักหน้าตอบรับ “ประเสริฐ… งั้นข้าก็คงต้องรบกวนแม่ทัพเหยียนแล้ว”
“ขอบคุณท่านผู้คุมสภามากขอรับ”
เหยียนซือเฉินยิ้มกว้างด้วยความดีใจ กำลังจะหมุนตัวเดินออกไปจากท้องพระโรง
“ช้าก่อน”
จังหวะนั้น หลินเป่ยเฉินพลันส่งเสียงแทรกขึ้นมา “ข้าเคยได้ยินมาว่าปี๋อวิ่นเถาเป็นคนโปรดขององค์จักรพรรดิองค์เก่า เขาเป็นมือปราบที่ทำงานอย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์เป็นอย่างยิ่ง กล่าวได้ว่าเป็นอนาคตของเมืองเทียนหลางซิง เหตุไฉนเขาจึงได้บุกเข้ามาถึงตำหนักหมาป่าเช่นนี้? เราเรียกตัวเขาเข้ามาสอบถามไม่ดีกว่าหรือ?”
ทุกคนตกตะลึงไม่น้อยเมื่อได้ยินคำพูดของหลินเป่ยเฉิน
โดยเฉพาะบรรดาขุนนางชั้นในที่แสดงสีหน้าแปลกประหลาดออกมาโดยไม่รู้ตัว
นี่เซียนกระบี่หลินเป่ยเฉินกำลังแก้ตัวแทนปี๋อวิ่นเถาอย่างนั้นหรือ?
เกิดข่าวลือว่าหลินเป่ยเฉินเป็นผู้สั่งลดตำแหน่งปี๋อวิ่นเถาเองแท้ ๆ แล้วจะมาออกหน้าแก้ตัวแทนกันได้อย่างไร?
เหยียนซือเฉินหันไปมองหน้าฮวาไป๋และเมื่อเห็นท่านผู้คุมสภาหัวเราะเยาะในลำคอไม่พูดคำใด เหยียนซือเฉินก็เข้าใจความหมายโดยทันที
ทันใดนั้น เหยียนซือเฉินก็เสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของหลินเป่ยเฉิน โคจรพลังลมปราณและหมุนตัวเพื่อเดินออกไปจากท้องพระโรง
เขาปรารถนาที่จะถวายตัวรับใช้ฮวาไป๋มานานแล้ว และในเมื่อวันนี้โอกาสอันดีงามได้ลอยมาอยู่ตรงหน้า เช่นนั้นเขาจะเอาคำพูดของหลินเป่ยเฉินมาใส่ใจได้อย่างไร?
“เฮอะ”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจเฮือกใหญ่ “มีชีวิตกันอยู่ดี ๆ ไม่ชอบ ทำไมถึงชอบตายกันนักนะ”
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเล็กน้อย
ฟิ้ว!
แล้วศีรษะของเหยียนซือเฉินก็ระเบิดหายไป
เขาคิดว่าตนเองจะสามารถหลบได้ทัน…
แต่สุดท้ายก็มีจุดจบไม่ได้ต่างไปจากเหอหนิงช่วง!
ผู้คนมากมายก็เป็นเช่นนี้
พวกเขามีความมั่นใจในตนเองว่าสามารถรับมือกับพลังปราณกระบี่คงกระพันในตำนานได้ไม่มีปัญหา
แต่สุดท้าย ผลลัพธ์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาประเมินค่าตนเองสูงส่งมากเกินไป
ท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบ
ผู้คนคิดถึงอีกหนึ่งฉายานามของหลินเป่ยเฉินขึ้นมาทันที…
เซียนกระบี่นักล่าหัว นับว่าล่าแต่หัวจริง ๆ
“สหายทุกท่าน กรุณาเชื่อฟังสิ่งที่ข้าพูด อย่าได้ล้อเล่นกับชีวิตของตนเองอีก”
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินมีแต่ความเย็นชาขณะกวาดสายตามองไปทั่วท้องพระโรง
ดังนั้น จึงไม่มีผู้ใดกล้าสบตามองหลินเป่ยเฉินอีกแล้ว
ท่านผู้คุมสภาฮวาไป๋คำรามด้วยความโกรธแค้น แววตาเต็มไปด้วยความเดือดดาลใจ “เด็กแซ่หลิน เจ้ากล้าดีอย่างไร…”
ฟิ้ว!
หลินเป่ยเฉินเหนี่ยวไกยิงโดยไม่ลังเล
ลูกกระสุนพุ่งออกไป
เป้าหมายของปลายกระบอกปืนอินทรีหิมะเล็งตรงไปที่ฮวาไป๋
ฮวาไป๋ระเบิดเสียงคำรามในลำคอ แล้วสะบัดมือวูบ
วี้ด!
บังเกิดคลื่นเสียงความถี่สูงดังกังวาน
แล้วม่านพลังสีแดงสดก็ปรากฏขึ้นเป็นกำแพงป้องกันฮวาไป๋ ลูกกระสุนที่ถูกยิงรัวออกไปถึงหกนัดจากปืนอินทรีหิมะปะทะเข้ากับกำแพงม่านพลังนั้น ส่งผลให้ม่านพลังเกิดรอยแตกร้าวเป็นใยแมงมุมขนาดใหญ่…
แต่ลูกกระสุนปืนก็ไม่สามารถทะลวงผ่านม่านพลังเข้าไปได้
“หลินเป่ยเฉิน อย่าได้คิดว่าพลังปราณกระบี่คงกระพันของเจ้าจะไร้เทียมทานเสมอไป…”
ฮวาไป๋หัวเราะเยาะ
“เหลวไหล”
หลินเป่ยเฉินเหินร่างเข้ามาประชิดตัวฮวาไป๋ก่อนจะเหวี่ยงแขนกระแทกหมัดเข้าใส่
“ช่างอวดดีนัก”
ดวงตาของฮวาไป๋เป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความอำมหิต “นี่ถือว่าเจ้ารนหาที่ตายเอง!”
หากโจมตีระยะไกลด้วยพลังปราณกระบี่คงกระพัน ฮวาไป๋อาจจะนึกหวาดกลัวอยู่บ้าง
แต่นี่กล้ามาโจมตีเขาในระยะประชิดตัวเชียวหรือ?
เท่ากับหลินเป่ยเฉินรนหาที่ตายแล้วจริง ๆ!