เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1778 เข้าสู่สุสานกษัตริย์
ตอนที่ 1,778 เข้าสู่สุสานกษัตริย์
“ข้าไม่สนหรอกว่าหลินเป่ยเฉินจะเป็นผู้ใดมาจากไหน... ว่าไงนะ?” ศิษย์น้องหนุ่มหยุดชะงัก ก่อนสอบถามด้วยความตกตะลึง “หมายถึงเซียนกระบี่นักล่าหัวหลินเป่ยเฉินอย่างนั้นหรือ?”
หลังจากนั้น เขากับศิษย์พี่ก็รีบถอยกรูดไปซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคน และไม่กล้าออกมาเสนอหน้าต่อต้านหลินเป่ยเฉินอีก
อีกฝ่ายเป็นถึงท่านราชครูประจำตัวองค์จักรพรรดิองค์ใหม่ นับว่ามีพื้นเพไม่ธรรมดาจริง ๆ
ไม่ว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น ทุกคนก็ต้องอดทนเอาไว้ก่อน
ให้ตายเถอะ!
คนที่มีตำแหน่งสูงสูงเช่นนี้ ปกติเวลาเดินทางไปยังสถานที่แห่งใด ก็มักจะนำองครักษ์ติดตามไปด้วยเป็นโขยงไม่ใช่หรือ?
แล้วทำไมหลินเป่ยเฉินถึงได้เดินทางมาแต่เพียงผู้เดียวเล่า?
เล่นมาตัวคนเดียวเช่นนี้ ผู้อื่นก็เข้าใจผิดหมดน่ะสิ
บุรุษหนุ่มผู้เป็นศิษย์น้องหวนนึกถึงคำสั่งสอนของอาจารย์
แม่น้ำกว้างใหญ่ ในอนาคตข้างหน้า เขายังคงต้องระวังตัวอีกมาก
เมื่อเห็นศิษย์จากสำนักซิงอวิ๋นหวาดกลัวจนต้องถอยหนีไปเช่นนั้น หลินเป่ยเฉินก็ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
นี่แหละข้อดีของการมีชื่อเสียง!
ดูสิ เพียงได้ยินชื่อของเขาเท่านั้น ก็ต้องหลีกหนีกันไปแล้ว
ก่อนหน้านี้ กลุ่มผู้มีพลังขั้นจอมเทพจักรพรรดิส่วนหนึ่งที่เคยจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความไม่พอใจ ทว่าบัดนี้ไม่มีใครกล้าพูดคำใดออกมาอีก ทุกคนได้แต่ก้มหน้านิ่ง ไม่ทราบเลยว่าตนเองสมควรทำอย่างไรดี
นี่แสดงให้เห็นถึงความโด่งดังของหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มเชื่อว่าที่ตนเองมีชื่อเสียงโด่งดังเช่นนี้ก็เนื่องจากการต่อสู้กับหวงเฉิงอี้
แม้ในวันนั้นจะไม่มีผู้ใดได้รับชมการต่อสู้ด้วยสองตาของตนเอง แต่ขอให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ได้เห็นเงาร่างของการต่อสู้บนท้องฟ้าในวันนั้น พวกเขาก็พอจะสรุปผลการต่อสู้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
แล้วความน่าเกรงขามของหลินเป่ยเฉินก็เริ่มแพร่กระจายออกไป
มิเช่นนั้น กลุ่มยอดฝีมือเหล่านี้คงไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวเขาถึงขนาดนี้แน่ ๆ
นี่คือผลลัพธ์แห่งความสำเร็จของแผนการที่วางเอาไว้เป็นอย่างดี
หลินเป่ยเฉินได้รับชัยชนะในแผนการของเขาอย่างสวยงาม
ทันใดนั้น คณะเดินทางของเต้าเจี๋ยนเซียวก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกลุ่มราชองครักษ์
แม้เจ้าอ้วนจะไม่เข้าใจความคิดของหลินเป่ยเฉิน แต่เขาก็ให้ความร่วมมือกับผู้เป็นพี่ชายร่วมสาบานเป็นอย่างดี
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนจับจ้องมาที่พวกเขา
ในไม่ช้า คณะเดินทางของห้าสำนักใหญ่ผู้ชนะการประมูลก็ปรากฏตัวขึ้นตาม ๆ กัน โดยที่มีกลุ่มขุนนางใหญ่ประจำสภาขุนนางชุดใหม่เป็นผู้นำทาง
แต่ถึงกระนั้น ขุนนางใหญ่ในสภาชุดเก่าก็ยังคงพอหลงเหลืออยู่บ้าง อย่างเช่นรองผู้คุมสภาเยว่อี้ ซึ่งปรากฏตัวพร้อมกับผู้ติดตามสามชีวิต ทุกคนสวมใส่เสื้อคลุมสีแดงและมีหน้ากากเหล็กสีแดงปิดบังหน้าตา ไม่มีผู้ใดทราบว่ากลุ่มของเยว่อี้มีระดับพลังอยู่ที่ขั้นใด เนื่องจากส่วนใหญ่พวกเขามักจะอยู่ในความเงียบเสมอ
นอกจากนี้ก็ยังมีกลุ่มของรองสภาขุนนางม่อหลี่ ซึ่งมาพร้อมกับอาจารย์อาวุโสจากสำนักเจิ้งฉีอีกสามท่าน ทุกคนสวมใส่เครื่องแบบบัณฑิตคงแก่เรียนสีเขียวเข้ม พลังที่แผ่ออกมาจากร่างกายนั้นบ่งบอกให้รู้ว่าอยู่ในขั้นจอมเทพจักรา ส่วนจะอยู่ในระดับชั้นใดนั้น ไม่มีผู้ใดทราบได้
สำนักเจิ้งฉีเป็นสำนักยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับหนึ่งจากอาณาจักรหงเหมย มีอำนาจในการปกครองอาณาจักรไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าราชวงศ์เทียนหลางเซินแห่งอาณาจักรซือเว่ย
แน่นอนว่าอาจารย์อาวุโสจากสำนักเจิ้งฉีทั้งสามท่านนี้ ย่อมไม่ใช่สมาชิกระดับสูงในสำนัก แต่ถึงกระนั้น สถานะก็คงไม่ต่ำต้อย จึงไม่อาจประเมินฝีมือต่ำเกินไปเด็ดขาด
แล้วก็ยังมีกลุ่มของรองผู้คุมสภาม่อเฟิง ที่มาพร้อมกับองครักษ์อีกสามคนเช่นกัน
สองในสามเป็นบุรุษยักษ์ที่มีร่างกายใหญ่โตมากกว่ามนุษย์ทั่วไปสามเท่า ทั้งสองคนสวมใส่เสื้อคลุมปิดบังหน้าตา ร่างกายปลดปล่อยรังสีเย็นเฉียบคุกคามผู้คน พร้อมกันนั้น ก็ยังมีการบริกรรมคาถาแผ่วเบาอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
ส่วนผู้ที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างบุรุษร่างยักษ์ทั้งสองคนนั้นเป็นชายร่างสันทัดสวมใส่ชุดเกราะเงินแวววาว หน้าตาท่าทางเจ้าเล่ห์แสนกล หากมองเพียงผิวเผิน ก็อาจเข้าใจว่าเป็นนักแสดงละครเร่ข้างถนนเอาได้
แต่ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงหัวเราะออกมา
เพราะชายร่างสันทัดผู้นี้มีฉายานามว่าไฉจูต้าซือ หรือปรมาจารย์ละครเร่ เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเรื่องความดุร้ายเกรี้ยวกราดเป็นอย่างยิ่ง
ไม่มีผู้ใดสามารถจดจำชื่อแซ่ที่แท้จริงของเขาได้อีกแล้ว ชายร่างสันทัดผู้นี้เรียกตนเองว่าไฉจูต้าซือมาโดยตลอด เขาเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่อยู่ในขอบเขตจอมเทพจักรา จิตใจอำมหิต พฤติกรรมชั่วร้าย ชอบคิดค้นวิชาการต่อสู้แปลกประหลาดพิสดารเอาไว้ใช้สังหารเป้าหมายโดยเฉพาะ ผลงานสร้างชื่อก็คือการฆ่าล้างสำนักเทียนเหอแห่งอาณาจักรไป๋ซือ ซึ่งเป็นสำนักที่ก่อกรรมทำเข็ญสร้างความเดือดร้อนไปทั่วอาณาจักรไป๋ซือ
นั่นจึงหมายความว่าหากผู้ใดตกอยู่ในสายตาของไฉจูต้าซือ ชะตาชีวิตของคนผู้นั้นก็ต้องพบกับความยากลำบากมากแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีอีกสี่คนที่ไม่มีผู้ใดทราบที่มาที่แน่ชัด
พวกเขาทราบเพียงแต่ว่าหนึ่งในนั้นเป็นคหบดีผู้ร่ำรวย อีกหนึ่งคนเป็นมือกระบี่องครักษ์ คนที่สามเป็นหญิงวัยกลางคนหน้าตาธรรมดา ซึ่งมาพร้อมกับบ่าวรับใช้อีกสองคน บ่าวรับใช้เองก็มีลักษณะธรรมดา แต่เมื่อมาอยู่ในสถานที่นี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่อาจตัดสินกันได้ด้วยหน้าตาอีกแล้ว
และยังเหลือผู้สำรวจสุสานกษัตริย์คนสุดท้าย
เขาเป็นบุคคลลึกลับ ร่างสูงสวมใส่เสื้อคลุมสีดำ และปิดบังหน้าตา
ขณะนี้ กลุ่มคนที่จะเข้าไปสำรวจสุสานแบ่งแยกออกเป็นกลุ่มห้าสำนักใหญ่ที่ชนะการประมูล กลุ่มคณะเดินทางของราชสำนัก และกลุ่มยอดฝีมือที่ผ่านเกณฑ์สำหรับการสำรวจสุสานกษัตริย์
ขณะที่นอกเขตสุสานกษัตริย์ ยังมีผู้คนรวมตัวกันอยู่อีกนับพันคนเพื่อเฝ้าดูสถานการณ์ และเตรียมตัวฉกฉวยโอกาส
เต้าเจี๋ยนเซียวไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาเดินเข้าสู่หมอกขาวที่กางกั้นอยู่หน้ากลุ่มคฤหาสน์ และนำป้ายประจำตัวจักรพรรดิแห่งอาณาจักรซือเว่ยขึ้นมาแสดง
เมื่อป้ายประจำตัวถูกยกขึ้นสูง มันก็ส่องแสงสว่างสีทองคำพุ่งออกไปข้างหน้า ม่านหมอกขาวแหวกออกเป็นทาง หลังจากนั้น ผู้ที่เข้าร่วมการสำรวจสุสานในฐานะผู้ชนะการประมูลและเป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจากราชสำนัก รวมไปถึงผู้ที่ผ่านเกณฑ์การตรวจสอบก็จะมีดวงไฟดวงหนึ่งลอยขึ้นอยู่เหนือศีรษะของแต่ละคน
“ทุกท่านโปรดรับฟังให้ดี เมื่อผ่านม่านหมอกขาวนี้เข้าไป ก็จะไม่มีสิ่งใดสามารถคุ้มครองชีวิตของท่านได้อีก หากยังรักชีวิตและกลัวตาย กลับหลังหันตอนนี้พอยังมีเวลา นี่คือคำเตือนครั้งสุดท้าย เมื่อท่านผ่านม่านหมอกขาวเหล่านี้เข้าไป ท่านจะพบกับอันตรายใหญ่หลวง…”
เต้าเจี๋ยนเซียวระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชั่วร้ายเป็นอย่างยิ่ง
แต่แทบไม่มีผู้ใดรอฟังคำพูดของเขาเลย เงาร่างของผู้คนแยกย้ายกระจายตัวพุ่งเข้าสู่อาณาเขตของสุสานกษัตริย์ด้วยความรีบร้อน
จากนั้นก็เกิดความชุลมุนขึ้นเล็กน้อย
เงาร่างของผู้คนเคลื่อนไหวเป็นลำแสง
เงาร่างเหล่านั้นพุ่งเข้าไปยังช่องว่างที่แหวกเป็นทางในม่านหมอกขาวเหล่านั้น
เมื่อพบว่าตนเองสามารถเดินทางเข้าสู่พื้นที่สุสานกษัตริย์ได้อย่างปลอดภัย พวกเขาก็อดหันกลับไปมองที่เต้าเจี๋ยนเซียวด้วยความพิศวงไม่ได้…
หืม?!
เต้าเจี๋ยนเซียวยิ้มกว้างตอบกลับมา
คิดไม่ถึงเลยว่ากษัตริย์หนุ่มผู้นี้จะยังโกหกกันได้อย่างซึ่งหน้าอีกหรือนี่?
พริบตานั้นเอง ผู้คนอีกมากมายก็พุ่งเข้าไปยังช่องว่างระหว่างม่านหมอกขาวนั้น
เจ้าอ้วนพูดคำใดไม่ออกอีกแล้ว
หลายวันที่ผ่านมา เขาฝึกซ้อมพูดประโยคนี้ให้ฟังดูเป็นคำขู่ที่น่ากลัวมากที่สุดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนกระทั่งสามารถพูดได้โดยไม่ตะกุกตะกัก แต่สุดท้าย ก็ยังไม่มีผู้ใดหลงเชื่อเขาอยู่ดี
“คำขู่ใช้ไม่ได้ผลกับคนโลภหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
ไฉจูต้าซือหัวเราะในลำคอ
หลังจากนั้น กลุ่มคณะเดินทางของรองผู้คุมสภาม่อเฟิงก็เดินหายเข้าไปในช่องว่างระหว่างม่านหมอกขาว
ดวงไฟที่ลอยอยู่บนศีรษะเป็นเสมือนแสงเทียนส่องนำทางในทุก ๆ ที่ที่พวกเขาก้าวไป
“พวกเราก็ไปกันเถอะ”
อาจารย์อาวุโสจากสำนักเจิ้งฉีทั้งสามท่านหันมาพยักหน้าบอกต่อม่อหลี่
“เอ่อ คือว่า… ข้าน้อยขอไปกับท่านได้หรือไม่?”
สตรีผู้มีใบหน้างดงามนางหนึ่งรีบก้าวเข้ามาแนะนำตนเองต่อบุคคลปริศนาในชุดเสื้อคลุมสีดำ “ข้าน้อยมีนามว่าหงเฉิน ข้าน้อยยินดีจ่ายค่าตอบแทนในการร่วมทางทุกประการ…”
บุคคลที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีดำเป็นเพียงผู้เดียวที่ไม่ได้นำผู้ติดตามมาด้วย
ดวงไฟที่ลอยอยู่เหนือศีรษะสามารถส่องแสงสว่างได้เพียงพอสำหรับคนถึงสามคน เมื่อเดินเข้าไปอยู่ในที่มืด ผู้ที่ออกสำรวจเพียงตัวคนเดียวจึงสามารถตกเป็นเป้าโจมตีได้อย่างง่ายดาย
แต่บุคคลปริศนาไม่แม้แต่จะชำเลืองมองหญิงสาวผู้มีนามว่าหงเฉินแม้แต่น้อย เพียงกล่าวตอบแผ่วเบาว่า “ไสหัวไปซะ”
หงเฉินคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะถูกปฏิเสธอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้
“ท่านใจร้ายยิ่งนัก”
หงเฉินสีหน้าแปรเปลี่ยนไป น้ำเสียงเริ่มแข็งกระด้าง
และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาพอดี