เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1791 แผนการของมารดา
ตอนที่ 1,791 แผนการของมารดา
เจ้าอ้วนถึงกับหยุดชะงัก
บิดาของเขายังไม่ตายอย่างนั้นหรือ?
ว่ากันตามตรง เขาไม่ค่อยมีความรู้สึกผูกพันกับบิดาสักเท่าไหร่ เรียกว่าแทบจะจำหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำ
เนื่องจากเจ้าอ้วนเติบโตขึ้นมาในดินแดนทวยเทพ
หากไม่ใช่เพราะหลินเป่ยเฉิน เจ้าอ้วนก็คงไม่ได้กลับมาที่อาณาจักรซือเว่ย
และเมื่อกลับมาเยือนที่แห่งนี้ เจ้าอ้วนก็รู้สึกว่าบิดาไม่ได้ชอบตนเองนัก เพียงแต่ยอมรับหลังจากได้รับการตรวจสอบสายเลือด และยืนยันตัวตนอย่างเป็นทางการแล้วต่างหาก
หลังจากนั้นไม่นาน บิดาของเขาก็เสียชีวิต
เจ้าอ้วนไม่เคยได้รับความรักจากบิดาผู้เป็นกษัตริย์
เพราะฉะนั้น บิดาจะตายแล้วจริงหรือไม่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญสำหรับเจ้าอ้วนเลย
เพราะพวกเขาไม่ได้ผูกพันกัน
มิหนำซ้ำ ความตายของบิดายังทิ้งเรื่องราวยุ่งยากมากมายให้เจ้าอ้วนกับมารดาต้องคอยตามล้างตามเช็ดอยู่ตลอด
และที่เขากับมารดาสามารถลืมตาอ้าปากได้ก็ยังเป็นเพราะการช่วยเหลือจากหลินเป่ยเฉินเช่นเคย
หากไม่ใช่เพราะหลินเป่ยเฉิน ป่านนี้เจ้าอ้วนก็คงยังเป็นองค์จักรพรรดิหุ่นเชิดของสภาขุนนางอยู่เรื่อยไป
ดังนั้นสำหรับเจ้าอ้วนแล้ว หลินเป่ยเฉินมีค่ามากกว่าบิดาของเขาหลายเท่า
ในชีวิตนี้ เจ้าอ้วนได้รับมิตรภาพ ได้รับความเคารพ ได้พบเจอเรื่องราวสนุกสนานมากมาย ทั้งหมดนั้นล้วนมาจากหลินเป่ยเฉินทั้งสิ้น
แม้แต่คำว่าบัลลังก์กษัตริย์ก็ไม่มีความหมายใดต่อเจ้าอ้วน
หากหลินเป่ยเฉินต้องการ เจ้าอ้วนก็พร้อมส่งมอบบัลลังก์ให้ได้ทุกเมื่อ
เมื่อหญิงชราเห็นบุตรชายของตนเองนิ่งเงียบ นางก็รู้ดีว่าบุตรชายกำลังคิดอะไรอยู่ จึงกล่าวว่า “ไม่มีบิดาคนไหนในโลกนี้ที่จะไม่รักลูกหรอกนะ บิดาของเจ้าเป็นกษัตริย์… วิธีการแสดงความรักย่อมแตกต่างจากผู้คนธรรมดาเล็กน้อย ในอดีต เป็นแม่เองที่พาเจ้าหลบหนีไป เจ้าอย่าได้เกลียดชังบิดาเลย”
เจ้าอ้วนยิ้มและส่ายหน้า “ลูกไม่ได้เกลียดชังท่านพ่อ”
มารดาพยักหน้า
นางทราบว่าบุตรชายไม่ได้โกหก
ในเมื่อไม่ได้รู้สึกผูกพัน ความเกลียดชังย่อมไม่บังเกิด
“พวกเรากลับมาเข้าเรื่องกันเถอะ”
“มีอีกหลายเรื่องที่เจ้าสมควรรู้ไว้”
“เหตุผลที่บิดาเจ้าต้องแกล้งตายก็เพราะอาณาจักรซือเว่ยกำลังจะเผชิญกับหายนะใหญ่หลวง มีกองทัพปีศาจจากต่างแดนกำลังจะยกพลมาบุกโจมตีที่นี่ และพวกมันอยากจะทำให้ราชวงศ์ของเราอยู่ในการบังคับบัญชาของพวกมัน…”
“บิดาของเจ้าไม่มีทางเลือกนอกจากแกล้งตาย”
“เมื่อไม่มีองค์จักรพรรดิ อำนาจทั้งหมดก็ตกไปอยู่ในมือกลุ่มขุนนางใหญ่อย่างพวกของฮวาไป๋และรองผู้คุมสภาทั้งห้า พวกเขาต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันเอง ทำให้ราชวงศ์ตกต่ำถึงขีดสุด”
“ด้วยเหตุนี้ อาณาจักรของเราจึงมีแต่ความแตกแยก สุดท้ายบ้านเมืองก็ล่มสลาย ผู้คนติดโรคระบาดร้ายแรง กองทัพปีศาจเหล่านั้นจึงไม่สนใจที่จะเข้ามาครอบครองอาณาจักรซือเว่ยอีก หรือหากพวกมันอยากจะใช้ราชวงศ์เทียนหลางเซินเป็นหุ่นเชิด นั่นก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและทรัพยากรอีกมาก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะไม่กลับมารุกรานเราอีก…”
“การเปิดสุสานกษัตริย์ในครั้งนี้ บิดาของเจ้าตั้งใจจะให้พวกเราเข้าไปขอร้องท่านเซี่ยเต๋อจีให้ออกมาช่วยเหลือ เพราะราชวงศ์เทียนหลางเซินถือเป็นสหายเก่ากับนางมาช้านาน และท่านเซี่ยเต๋อจีก็ถือเป็นผู้มีพระคุณต่อพวกเราอย่างใหญ่หลวง น่าเสียดายที่ข้ายังไม่ทันได้พบเจอกับนาง สุสานกษัตริย์กลับปิดลงเสียแล้ว โอกาสที่พวกเราจะฟื้นฟูอาณาจักรและป้องกันการรุกรานจากกองทัพปีศาจในอนาคตจึงสลายหายไปกับตา…”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ มารดาของเจ้าอ้วนก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
ในเส้นทางดาราจักร ผู้อ่อนแอคือผู้ที่โชคร้าย
เผ่าพันธุ์มนุษย์เคยเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในดินแดนนับไม่ถ้วน
แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ความยิ่งใหญ่ของพวกเขาก็เริ่มเสื่อมถอย
จากนั้นก็เกิดการแย่งชิงดินแดนด้วยความรวดเร็วที่น่าหวาดกลัว
แทบไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งกองทัพปิศาจได้เลย
พวกมันไม่ได้หวาดกลัวชื่อเสียงขององค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว
และในดินแดนห่างไกลอย่างอาณาจักรซือเว่ยซึ่งอยู่ชายขอบของเขตอำนาจสภาศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาจึงกลายเป็นตัวเลือกแรก ๆ ในการโจมตีของกองทัพปีศาจ
ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายเริ่มสงครามก่อน แต่ก็สามารถสรุปสถานการณ์สั้น ๆ ได้ว่า… นี่คือสถานการณ์ที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง!
ผู้คนจำนวนมากยังไม่รู้ถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน พวกเขาจึงยังไม่ได้ตื่นขึ้นจากความฝันว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ยังคงยิ่งใหญ่อยู่เสมอ
อย่างเช่น พวกขุนนางใหญ่ทั้งหลายที่ยังคงต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ส่วนตัว
สีหน้าของเจ้าอ้วนแปรเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง
“ท่านแม่ ทำไมท่านถึงพูดว่าท่านเซี่ยเต๋อจีเคยมีบุญคุณต่อพวกเราอย่างใหญ่หลวงล่ะขอรับ?”
เขาถามด้วยความอยากรู้
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการขึ้นครองบัลลังก์ของบิดาเจ้า…”
ตอนนั้น นางและเต้าอู่หมิงได้พลัดหลงเข้าไปในสุสานกษัตริย์โดยบังเอิญ สุดท้ายก็ได้พบเจอกับขุมสมบัติและทรัพยากรจำนวนมาก เมื่อกลับออกมาจากสุสานกษัตริย์ เต้าอู่หมิงก็ได้ขึ้นครองบัลลังก์เพราะมีพลังฝีมือแข็งแกร่งเกินผู้ใด เมื่อเล่าเรื่องราวนี้จบลง มารดาของเจ้าอ้วนก็กล่าวว่า “รากโสมหักครึ่งที่แม่มอบให้กับเจ้าไปนั้น เป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเซี่ยเต๋อจีเคยมอบให้แก่พวกเรา เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นผู้สืบทอดอำนาจและขุมสมบัติ”
“หากเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ไม่ควรเป็นกังวลแล้วไม่ใช่หรือ?”
เจ้าอ้วนยิ้มและกล่าวว่า “วันนี้ ลูกได้ยินข่าวลือมาว่าผู้ที่เป็นเจ้าของสุสานกษัตริย์คนใหม่ก็คือพี่ใหญ่หลิน พวกเราไปหาพี่ใหญ่หลินกันเถอะขอรับ เขาน่าจะรู้ว่าท่านเซี่ยเต๋อจีอยู่ที่ใด”
ผู้เป็นมารดาหันไปมองบุตรชาย
สิ่งที่บุตรชายของนางพูดออกมานั้นคือสิ่งที่น่ากังวลที่สุด
ณ ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินและกองทัพเซียนกระบี่ของเขาสร้างความยิ่งใหญ่เกรียงไกรไปทั่วอาณาจักรซือเว่ยได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้น หลินเป่ยเฉินยังกลายเป็นผู้ครอบครองสุสานกษัตริย์คนใหม่ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกเพียงไม่นาน ผู้คนทั้งแผ่นดินก็จะพากันเคารพบูชาราชครูหลิน… แล้วยังจะมีผู้ใดเห็นกษัตริย์เต้าเจี๋ยนเซียวอยู่ในสายตาอีก?
แต่โชคดีที่หลินเป่ยเฉินไม่ได้มีท่าทีกระหายอำนาจ
หลังจากเคยผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ มามากมายด้วยกันในดินแดนทวยเทพ มารดาของเจ้าอ้วนก็มั่นใจว่าหลินเป่ยเฉินเป็นคนที่สามารถเชื่อใจได้
แต่หวังจง รองผู้บังคับการหน้าหยกแห่งกองทัพเซียนกระบี่นั้นเล่า ภายนอกชายชราอาจจะไม่ได้ดูน่าเกรงขาม แต่เขาผู้นี้คือบุคคลที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของกองทัพเซียนกระบี่ ผู้ใดจะสามารถรู้ได้บ้างว่าวันหนึ่งวันใดข้างหน้า หวังจงจะไม่ทะเยอทะยานจนหักหลังหลินเป่ยเฉินเพื่อครอบครองอำนาจทั้งหมดเอาไว้เสียเอง?
อำนาจ การหักหลังและความตายคือสิ่งที่อยู่เคียงคู่กันมาเสมอ
บัดนี้ หญิงชรานึกเป็นห่วงก็แต่เพียงบุตรชายของตนเองเท่านั้น
เต้าเจี๋ยนเซียวสมควรได้รับทุกสิ่งทุกอย่างตามที่กษัตริย์องค์หนึ่งควรจะได้รับ
“แผนการของเราตอนนี้ก็คือรีบติดต่อราชครูหลินและบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขารับทราบ”
มารดาของเจ้าอ้วนกล่าวอีกครั้ง “นอกจากนี้ เจ้าต้องรีบไปที่ชุมชนแออัดทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเทียนหลางซิง จงไปตามหาตัวอาจารย์เฉินปี้หยาง และช่วยเขาปลดผนึกบิดาของเจ้าออกมาซะ รอจนกระทั่งบิดาของเจ้ากลับมา ค่อยไปปรึกษาเรื่องการรับมือกับกองทัพปีศาจกับราชครูหลินอีกที…”
“ชุมชนแออัด?”
เต้าเจี๋ยนเซียวเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ “ปลดผนึกบิดา?”
มารดาของเจ้าอ้วนนำเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ออกมาอีกชิ้นหนึ่งพร้อมกับอธิบายว่า “ในวันนั้นที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ภายในชุมชนแออัด ปี๋อวิ่นเถาเป็นผู้รับผิดชอบเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บทั้งหมด เจ้าพาตัวปี๋อวิ่นเถาไปด้วยก็ดี รับเครื่องรางชิ้นนี้ไปซะ มันจะช่วยให้เจ้าสามารถตามหาตัวอาจารย์เฉินได้สะดวกมากขึ้น ส่วนเรื่องอื่น ๆ รอบิดาของเจ้าฟื้นคืนกลับมาค่อยว่ากันเถอะ”
“รับทราบแล้วขอรับ”
เต้าเจี๋ยนเซียวยิ้มกว้างขณะรับเครื่องรางมาถือในมือ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากตำหนักหมาป่า
แต่หลังจากก้าวเท้าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดชะงักและหันกลับมากล่าวว่า “ท่านแม่ขอรับ ไฉจูต้าซือและผู้คนจากสำนักเจิ้งฉีต่างก็กำลังตามหาตัวพี่ใหญ่หลิน ท่านแม่น่าจะส่งคนไปแจ้งเตือนเขาสักหน่อยนะขอรับ พี่ใหญ่หลินจะได้เตรียมตัวรับมือได้ทันเวลา… คนเหล่านั้นยิ่งร้ายกาจไม่ใช่เล่น”
“แม่จะจัดการให้”
มารดาพยักหน้าตอบตกลง
เมื่อเห็นเจ้าอ้วนเดินจากไป หญิงชราก็ส่งองครักษ์ให้ถือสาส์นฉบับหนึ่งไปส่งมอบแก่หลินเป่ยเฉิน
แต่หลังจากนั้น นางก็ยังรู้สึกไม่สบายใจจึงต้องสั่งให้องครักษ์เตรียมรถม้าและเดินทางไปที่คฤหาสน์ลู่หลิวด้วยตนเอง