เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1796 ลงนามสัญญาทาส
ตอนที่ 1,796 ลงนามสัญญาทาส
เส้นด้ายแห่งโชคชะตาทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส
สำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิ ตราบใดที่ถอนเส้นด้ายออกไปจากร่างกาย อาการบาดเจ็บก็จะฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็สมควรกลับมาเป็นปกติแล้ว
“สัตว์อสูรตัวนี้กำลังจำศีลอยู่ แต่อีกไม่นานมันก็จะตื่นขึ้นมาเป็นปกติแล้วขอรับ หนูอสูรตัวนี้มีสายเลือดผู้กลืนกินขั้นราชา นับเป็นสายเลือดที่หาได้ยากยิ่ง…” ไฉจูต้าซือรีบอธิบายโดยเร็วด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม “ข้าน้อยไม่ทราบมาก่อนว่าสัตว์อสูรตัวนี้เป็นสัตว์เลี้ยงของท่านราชครู เมื่อสักครู่นี้ ข้าน้อยจึงใช้เส้นด้ายแห่งโชคชะตาทะลวงเข้าไปในร่างกายของมัน ต้องขออภัยท่านราชครูเป็นอย่างสูง”
อากวงมีสายเลือดผู้กลืนกินขั้นราชา?
หมายความว่าอะไร?
อากวงไม่ใช่หนูอสูรหางกุดธรรมดาอย่างนั้นหรือ?
แต่มันมาจากหุบเขาชายแดนเหนือในเมืองหยุนเมิ่งนี่นา
หากไม่ใช่เพราะว่าติดตามร่วมผจญภัยกับหลินเป่ยเฉินมาโดยตลอด ป่านนี้อากวงก็น่าจะกลายเป็นราชาหนูอสูรหางกุดที่เสวยสุขอยู่กับบรรดาหนูตัวเมียนับร้อยตัวไปชั่วชีวิต
หลินเป่ยเฉินอยากจะถามให้สิ้นข้อสงสัย แต่เมื่อคิดทบทวนดูอีกที เขาก็รู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่สมควรถามในสถานการณ์ขณะนี้
“เรื่องสายเลือดของสัตว์เลี้ยงข้านั้น ข้าย่อมรู้ดีอยู่แล้ว แต่การที่เจ้าเที่ยวมาทำร้ายสัตว์เลี้ยงของข้า มันก็ทำให้แผนการของข้าต้องพังทลายลงเสียแล้ว”
หลินเป่ยเฉินว่า
“ข้าน้อยสมควรตาย แต่ท่านราชครูได้โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วย ข้าน้อยยินดีชดใช้ให้กับท่านทุกอย่าง”
ในเวลานี้ ไฉจูต้าซือเพียงอยากมีชีวิตรอดเท่านั้น
ศักดิ์ศรีคือสิ่งใด?
จงโยนทิ้งไปให้หมด
“เอ่อ…”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นและกล่าวว่า “เจ้าหมายถึงทุกอย่างเลยใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น ข้าขอสั่งให้เจ้าคุกเข่าและเห่าเป็นสุนัขให้ข้าฟังหน่อยสิ… ฮ่า ๆๆ ข้าว่ามันต้องตลกมากแน่”
“ขอบคุณท่านราชครูที่ไว้ชีวิตขอรับ”
ไฉจูต้าซือยิ้มร่าอย่างมีความหวัง ก่อนจะก้มศีรษะลง “ท่านราชครูฟังให้ดี… โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต
จอมเทพจักราก็ไร้ยางอายเหมือนกันนะเนี่ย?
เมื่อสักครู่ เขาแค่เปรียบเปรยเฉย ๆ เท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ลงนามซะ”
หลิงเฉินโยนแผ่นป้ายทองคำที่ลงอักขระโบราณเอาไว้ชิ้นหนึ่งไปที่เบื้องหน้าของไฉจูต้าซือและถามว่า “เจ้ารู้วิธีใช้งานใช่หรือไม่?”
“ผู้ต่ำต้อยรู้วิธีใช้งาน ผู้ต่ำต้อยรู้วิธีใช้งานขอรับ”
ไฉจูต้าซือถอนหายใจด้วยความโล่ง เพียงราคาของแผ่นป้ายทองคำที่ถูกโยนมาอยู่เบื้องหน้าเขาชิ้นนี้ มันก็มีราคาแพงมากกว่าข้าวของทั้งหมดที่ไฉจูต้าซือพกติดตัวอยู่เสียอีก และนี่ก็ยิ่งเป็นการยืนยันถึงสถานะที่แท้จริงของหลิงเฉินอีกด้วย
เขาใช้พลังจิตของตนเองรวบรวมสมาธิ พลันปรากฏคลื่นแสงสีทองคำพุ่งออกมาจากร่างกายของไฉจูต้าซือไหลรินเข้าสู่แผ่นป้ายทองคำในเวลาอันรวดเร็ว…
ชายชราตัวสั่นเทาเล็กน้อย
หลังจากนั้น เขาก็นำป้ายทองคำไปยื่นให้แก่หลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “ขอวิงวอนท่านราชครูได้โปรดรับรองการลงนามของข้าน้อยด้วย”
หลิงเฉินที่ยืนอยู่ด้านข้างส่งเสียงพูดขึ้นมาว่า “พี่หลิน ท่านรับแผ่นป้ายนี้ไปก่อนเถอะ เดี๋ยวหลังจากนี้ข้าจะสอนวิธีใช้งานให้ท่านเอง นี่คือป้ายที่สามารถปิดผนึกเลือดและวิญญาณของผู้รับใช้ได้ถึงสิบคน ตราบใดที่ท่านมีป้ายชิ้นนี้อยู่ในการครอบครอง ชีวิตของพวกเขาก็จะเป็นของท่าน”
นี่มันของดีสุด ๆ เลยแฮะ
หลินเป่ยเฉินลอบยิ้มอยู่ในใจ
แต่เขาต้องแสดงสีหน้าเรียบเฉยให้ได้มากที่สุด
บัดนี้ ไฉจูต้าซือผู้ทะนงตนได้กลายเป็นทาสรับใช้ของหลินเป่ยเฉินโดยสมบูรณ์แล้ว
ไฉจูต้าซือคงยังไม่รู้หรอกว่าการที่ชีวิตตกมาอยู่ในกำมือของเขานั้น มันเลวร้ายยิ่งกว่าความตายเสียอีก
หลินเป่ยเฉินหันไปจ้องมองที่กลุ่มชายฉกรรจ์หน้ากากแดงและคณะอาจารย์จากสำนักเจิ้งฉี ก่อนถามว่า “พวกท่านทั้งหกคนมีคำใดจะพูดหรือไม่?”
“ฮ่า ๆๆ คิดไม่ถึงเลยว่าราชครูหลินจะมีเส้นสายใหญ่โตถึงเพียงนี้ ถึงอย่างไร พวกเราก็เป็นฝ่ายมาหาเรื่องท่านก่อน การล่วงเกินในครั้งนี้ คงต้องขออภัยท่านราชครูแล้ว”
หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์หน้ากากแดงฉีกยิ้มด้วยความจริงใจ
หลินเป่ยเฉินส่ายศีรษะ “ไม่หรอก ข้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขออภัย”
หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์หน้ากากแดงเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจ “ท่านราชครูล้อเล่นแล้วกระมัง…”
“ก็ใช่น่ะสิ ข้ากำลังล้อเล่น”
เด็กหนุ่มระเบิดเสียงคำราม
เขารู้สึกขยะแขยงจอมเทพจักราทั้งหกคนนี้มากยิ่งกว่าไฉจูต้าซือเสียอีก
ไฉจูต้าซือเป็นคนที่ชั่วร้ายโดยกำเนิด จิตใจวิปริต ย่อมทำสิ่งชั่วร้ายได้โดยไม่รู้สึกผิด
แต่สำหรับกลุ่มคนจากสำนักเงาแดงและสำนักเจิ้งฉี พวกเขาล้วนแต่เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก
“สหายน้อย ท่านทำเกินไปแล้ว…”
พลัน อาจารย์หน้าขาวหนวดดำกล่าวขึ้น “พวกเราขออภัยที่บุกรุกคฤหาสน์ของท่าน และท่านก็ได้ลงโทษไฉจูต้าซือไปเรียบร้อยแล้ว เหตุไฉนจึงยังได้โกรธเคืองอยู่อีก?”
พวกเขาไม่ใช่ผู้ฝึกวิชาตามสายเลือดผู้แปรธาตุอย่างไฉจูต้าซือ
เพราะฉะนั้น ค้อนคว่ำนภาแห่งราชวงศ์เกิงจินจึงไม่มีผลใด ๆ ต่อพวกเขาเลย กลุ่มคนทั้งหกจึงไม่คิดที่จะยอมก้มหัวง่าย ๆ
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะ
“ข้าจะให้โอกาสสุดท้ายกับพวกเจ้า ลงนามในแผ่นป้ายสัญญาทาสชิ้นนี้ซะ มิเช่นนั้น พวกเจ้าจะไม่ได้มีชีวิตรอดกลับไปจากที่นี่โดยเด็ดขาด”
เขาขี้เกียจจะอธิบายเหตุผลอีกแล้ว
“ว่าไงนะ?”
อาจารย์หน้าขาวหนวดดำหัวเราะเยาะตอบกลับมา “นี่เรียกว่าสหายน้อยรังแกผู้คนมากเกินไป พวกเราไม่เคย…”
เขาพูดยังไม่ทันจบประโยค
ตู้ม!
คลื่นพลังสีเงินก็พุ่งเข้ามากระแทกใส่เขาโดยตรง
อาจารย์หน้าขาวหนวดดำไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างกายของเขาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ชายวัยกลางคนรู้สึกเหมือนร่างกายของตนเองกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ พลังปราณสูญหาย โลหิตไหลทะลักออกปาก ได้แต่คุกเข่าลงบนพื้นดินอย่างอ่อนแรง…
หลิงเฉินเดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้า ในมือของนางถือค้อนคว่ำนภามาด้วย
นี่คืออานุภาพการโจมตีจากอาวุธเล่นแร่แปรธาตุระดับ 70!
“เจ้ากล้าพูดจาเช่นนี้กับพี่หลินของข้า เจ้าคิดว่าตนเองจะมีชีวิตที่ยืนยาวหรือ?”
เด็กสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
“บังอาจนัก”
“เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้โจมตีใส่อาจารย์เหอ?”
อาจารย์ร่วมสำนักที่เหลืออยู่อีกสองคนเห็นเช่นนั้นก็รีบสลัดความตกตะลึง พวกเขาระเบิดพลังปราณออกมาจากร่างกาย และจ้องมองหลิงเฉินด้วยแววตาโกรธแค้น
“เจ้าพวกกบในกะลา”
หลิงเฉินหัวเราะเยาะ แทบไม่ต้องทำสิ่งใดเลยด้วยซ้ำ
ตู้ม!
ค้อนคว่ำนภาลอยออกจากมือของนางพุ่งเป็นลำแสงสีเงิน
เมื่อพลังปราณของอาจารย์ผู้มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักราทั้งสองคนปะทะเข้ากับลำแสงจากค้อนคว่ำนภา พลังปราณเหล่านั้นก็สลายหายไปทันทีไม่ต่างจากหิมะที่ร่วงลงสู่กองไฟ
ทั่วทั้งคฤหาสน์ลู่หลิวตกอยู่ภายใต้ลำแสงของค้อนคว่ำนภา เกิดเป็นค่ายอาคมแปลกประหลาด กลุ่มจอมเทพจักรารู้สึกเหมือนตนเองเป็นหุ่นขี้ผึ้งที่กำลังถูกความร้อนลนให้หลอมละลายลงเรื่อย ๆ สัญชาตญาณสัมผัสได้ถึงความตาย แต่ถึงกระนั้น ร่างกายกลับไม่สามารถต่อต้านขัดขืนได้เลยแม้แต่นิดเดียว!!!