เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1800 ฮ่าวจื้อเหยียน
ตอนที่ 1,800 ฮ่าวจื้อเหยียน
“มาอีกแล้ว”
เต้าอู่หมิงหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าแกล้งตาย พวกเขาจึงเงียบหายไป แต่บัดนี้ พวกเขาคงทราบข่าวเรื่องการแต่งตั้งจักรพรรดิองค์ใหม่ ดังนั้น ทูตจากราชวงศ์อี้จื่อคงต้องการมาตามหาตัวเจี๋ยนเซียวกับท่านราชครูแล้ว…”
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืน ก่อนจะกล่าวว่า “เดี๋ยวข้าจะออกไปรับหน้าพวกเขาเอง”
หลังจากนิ่งเงียบใช้ความคิดอยู่เล็กน้อย เขาก็หันไปกล่าวต่อหลิงเฉินว่า “ตอนนี้เจ้ากับท่านลุงอย่าเพิ่งปรากฏตัวให้ผู้ใดเห็นเลยดีกว่า”
องค์ชายหลิงเบิกตาโต
นี่เขากลายเป็นท่านลุงของหลินเป่ยเฉินไปตั้งแต่เมื่อไหร่?
เขาต่อต้านความรักครั้งนี้นะ!
แต่อย่างไรก็ตาม คำพูดของหลินเป่ยเฉินก็มีเหตุผลดีทีเดียว
บัดนี้ สถานการณ์ในเส้นทางหวังซินตกอยู่ในความไม่สงบ เผ่าพันธุ์มนุษย์กำลังตกอยู่ในอันตราย
ราชวงศ์อี้จื่อร่วมมือกับพวกอสูรและเผ่าพันธุ์ปีศาจประกาศสงครามต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกันเอง เห็นได้ชัดว่านี่ผ่านการวางแผนมาเป็นอย่างดีแล้ว แม้แต่สภาศักดิ์สิทธิ์พวกเขายังไม่กลัว แล้วพวกเขาจะมาเกรงใจองค์ชายกับองค์หญิงจากราชวงศ์เกิงจินได้อย่างไร?
ในขณะนี้ องค์ชายหลิงจึงคิดว่าตนเองกับหลานสาวยังไม่ควรเปิดเผยสถานะโดยเด็ดขาด
และที่สำคัญก็คือ พวกเขาสมควรออกจากที่นี่ไปให้เร็วที่สุด เพื่อเดินทางกลับไปยังดินแดนของราชวงศ์เกิงจิน
มิเช่นนั้น หากผู้ส่งสาส์นจากเผ่าพันธุ์ปีศาจมาถึงที่นี่ ปัญหาใหญ่ก็จะเกิดขึ้นแล้ว
ดังนั้น องค์ชายหลิงจึงเห็นด้วยกับการตัดสินใจของหลินเป่ยเฉิน
แม้ว่าเด็กหนุ่มจะเป็นพวกบ้าตัณหาราคะ แต่เขาก็มีความจริงใจต่อหลิงเฉินอย่างแท้จริง
…
ไม่นานหลังจากนั้น
หลินเป่ยเฉินและเต้าเจี๋ยนเซียวพร้อมด้วยกลุ่มองครักษ์ก็มาปรากฏตัวขึ้นหน้าคฤหาสน์ลู่หลิว
กลุ่มจอมเทพจักราทั้งห้ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับคณะทูตของราชวงศ์อี้จื่อ
“สามหาว หยาบคาย ไร้ยางอาย…”
หลินเป่ยเฉินได้ยินหัวหน้าคณะทูตส่งเสียงตะโกนลั่น “อาณาจักรซือเว่ยอันต่ำต้อยของพวกเจ้าต้อนรับคณะทูตของพวกเราเช่นนี้หรือ? หรือว่าเจ้าไม่อยากจะมีดินแดนให้ซุกหัวนอนอีกแล้ว? พวกเจ้าอยากจะทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองใช่หรือไม่? ฮะ?”
เฮ้ย?
ฟังจากเสียงพูดแล้ว คนพูดน่าจะเป็นขันทีชัด ๆ
หลินเป่ยเฉินนึกถึงหลินฮุนขึ้นมาทันที
ปรากฏว่าในเส้นทางดาราจักรก็มีขันทีเหมือนกันแฮะ
หลินเป่ยเฉินเฝ้าดูอย่างระมัดระวัง
เขาเห็นบุรุษผู้หนึ่งสวมใส่ชุดเสื้อคลุมลายทางสีเขียวตัดแดง บนศีรษะคือหมวกข้าราชการปีกสองชั้น บุรุษผู้นี้มีอายุเพียงยี่สิบปีเศษเท่านั้น และบัดนี้ เขาก็กำลังกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ
ด้านหลังของบุรุษหนุ่มมีองครักษ์ในชุดเกราะสีดำแดงอีกสิบคนยืนอยู่ การแต่งกายของพวกเขาแตกต่างไปจากผู้คนในอาณาจักรซือเว่ยอย่างสิ้นเชิง องครักษ์ทุกคนสวมใส่หน้ากากทองแดงที่มีเขี้ยวแหลมงอกออกมาจากปากและพลังกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างกายนั้น ก็บอกชัดว่าทุกคนมีฝีมือไม่ต่ำต้อย
องครักษ์สองคนมีร่างกายกำยำมากกว่าผู้อื่น ขั้นพลังน่าจะอยู่ในขอบเขตจอมเทพจักรา
และไม่ใช่จอมเทพจักราธรรมดาด้วย
หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบ เขารีบเดินออกไปแสดงตัวด้วยการตวาดใส่กลุ่มเวรยามขั้นจอมเทพจักราทั้งห้าชีวิตของตนเอง “เจ้าพวกสุนัขต่ำต้อย ไม่ทราบว่าไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากที่ใด ถึงได้กล้าขวางทางคณะทูตจากราชวงศ์อี้จื่อเช่นนี้? พวกเจ้าคงอยากตายแล้วสินะ?”
“ข้าน้อยผิดไปแล้วขอรับ”
พวกชายฉกรรจ์หน้ากากแดงและอาจารย์จากสำนักเจิ้งฉีต่างก็รีบขอโทษออกมาโดยทันที
ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ ก็เป็นหลินเป่ยเฉินเองนั่นแหละออกคำสั่งว่าห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าไปในคฤหาสน์เด็ดขาด แม้แต่มดปลวกสักตัวก็เข้าไปไม่ได้ แล้วพวกเขาจะกล้าปล่อยให้คณะทูตจากราชวงศ์อี้จื่อเข้าไปได้อย่างไร?
“ท่านผู้สูงส่งอุตส่าห์เดินทางมาถึงที่นี่ เห็นทีคงเป็นคณะทูตจากราชวงศ์อี้จื่อแล้วกระมัง?”
หลินเป่ยเฉินส่งยิ้มให้แก่หัวหน้าคณะทูตพร้อมกับกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าพวกท่านมีเรื่องอันใดหรือ?”
เจ้าอ้วนยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านข้าง
ทุกครั้งที่พี่ใหญ่หลินแสดงสีหน้าเช่นนี้ ย่อมหมายความว่ากำลังจะมีคนพบกับเคราะห์ร้ายอย่างหนัก
“ในที่สุด ก็มีคนที่พูดภาษามนุษย์รู้เรื่องออกมาเสียที”
สีหน้าของหัวหน้าคณะทูตบอกถึงความรำคาญใจไม่น้อย
หัวหน้าคณะทูตมีนามว่าฮ่าวจื้อเหยียน
แซ่ฮ่าวเป็นแซ่ที่สามารถพบได้มากที่สุดในดินแดนการปกครองของราชวงศ์อี้จื่อ
ฮ่าวจื้อเหยียนเกิดมาในตระกูลชนชั้นธรรมดาจึงถือเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่เขาจะไต่เต้าขึ้นมามีตำแหน่งสูงส่งได้เช่นนี้ เพราะสำหรับราชวงศ์อี้จื่อนั้น สายเลือดคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
ด้วยเหตุนี้ ฮ่าวจื้อเหยียนจึงยอมรับการถูกตอนเพื่อรับตำแหน่งทันทีและทำงานรับใช้อยู่ในตำหนักขององค์หญิงเซี่ยอู่ ด้วยความที่เป็นคนฉลาดเฉลียว ฮ่าวจื้อเหยียนจึงกลายเป็นคนโปรดขององค์หญิง ผ่านไปเพียงสิบปี ฮ่าวจื้อเหยียนก็ได้ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งหนึ่งในหกหัวหน้าขันทีประจำคณะทูตแล้ว
ในเวลานี้ ฮ่าวจื้อเหยียนมีทั้งอำนาจและเงินทองมากมาย
และภารกิจที่เขาถูกส่งให้มาทำในครั้งนี้ นับว่าเป็นภารกิจที่สำคัญมาก เพราะมันจะสามารถตัดสินชะตากรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เลยทีเดียว
ที่ฮ่าวจื้อเหยียนส่งเสียงโวยวายเมื่อสักครู่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่พอใจอย่างแท้จริง แต่เป็นเพราะเขาต้องการเพิ่มแรงกดดันให้กับคนของอาณาจักรซือเว่ยต่างหาก
บัดนี้ เมื่อเห็นท่าทีที่อ่อนน้อมถ่อมตนของหลินเป่ยเฉิน ความไม่พอใจก็หายไปจากสีหน้าของฮ่าวจื้อเหยียนอย่างรวดเร็ว
เขาจ้องมองใบหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความสงสัยและกล่าวด้วยเสียงที่แหลมสูงว่า “เจ้าเป็นผู้ใด? ข้าได้ยินว่าอาณาจักรของพวกเจ้ามีจักรพรรดิองค์ใหม่แล้ว จักรพรรดิองค์นั้นและท่านราชครูประจำตัวอยู่ที่นี่ เหตุไฉนพวกเขาทั้งสองคนถึงไม่ออกมา?”
“หากท่านหัวหน้าคณะทูตกำลังหมายถึงราชครูหลินผู้หล่อเหลาและรักในความยุติธรรม มีจิตใจที่โอบอ้อมอารียากหาผู้ใดเปรียบแล้วละก็…” หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอเล็กน้อย “เขาผู้นั้นอยู่ตรงนี้แล้วขอรับ”
ฮ่าวจื้อเหยียนได้ยินเช่นนั้นสีหน้าก็ยิ่งแปลกประหลาดมากขึ้น
เขาเคยได้ยินข่าวลือมาว่าราชครูหลินเป็นพวกนิยมความรุนแรงและป่าเถื่อนดุร้าย
เป็นผู้ที่จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด
เพียงระยะเวลาไม่นาน ราชครูหลินก็สามารถแย่งชิงอำนาจมาจากผู้คุมสภาฮวาไป๋ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทั้งที่ฮวาไป๋ครอบครองอำนาจมาอย่างยาวนานหลายปี นอกจากนี้ ราชครูหลินยังมีกองทัพเป็นของตนเอง กองทัพนั้นมีนามว่ากองทัพเซียนกระบี่ ซึ่งกลายเป็นกองทัพที่สร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่เกรียงไกรไปทั่วอาณาจักรซือเว่ย…
ดังนั้น ฮ่าวจื้อเหยียนจึงวาดภาพราชครูหลินเอาไว้ในหัวเป็นพวกหน้าตาอัปลักษณ์นิยมความรุนแรงและโหดเหี้ยมอำมหิต
แล้วตัวจริงของคนผู้นั้นจะกลายเป็นเด็กหนุ่มที่หล่อเหลาอย่างร้ายกาจได้อย่างไร?
ดูเหมือนว่า…
เฮอะ ใช้การไม่ได้…
ดูแววตาเด็กหนุ่มก็รู้แล้วว่าเป็นพวกขี้ขลาดตาขาวขนาดไหน
หรือว่าข้อมูลที่เขาได้รับทราบมาจะผิดพลาด?
ฮ่าวจื้อเหยียนได้แต่คิดแล้วก็สงสัยอยู่ในใจ