เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1812 แขกที่ไม่ได้รับเชิญในห้องนอน
ตอนที่ 1,812 แขกที่ไม่ได้รับเชิญในห้องนอน
เมื่อดูวิดีโอจบ เขาก็เปิดดูความคืบหน้าของแอปคัมภีร์แปดชั้นฟ้าบนหน้าจอโทรศัพท์
คัมภีร์แปดชั้นฟ้ามีอยู่ด้วยกันห้าขั้น แม้บัดนี้ ตัวแอปพลิเคชันเพิ่งจะฝึกวิชาถึงขั้นแรกเท่านั้น แต่หลินเป่ยเฉินก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายอย่างชัดเจน
นี่คือข้อดีของการฝึกวิชาด้วยโทรศัพท์มือถือ
การฝึกวิชาสามารถดำเนินไปได้ตลอดเวลา
ไม่มีสภาวะคอขวด
ความคืบหน้าจึงเป็นไปด้วยความรวดเร็ว
“เฮ้อ เรานี่นอกจากหล่อแล้วยังเก่งอีกด้วย แล้วอย่างนี้หนุ่ม ๆ คนอื่นจะอยู่กันยังไง”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย
เขาใช้เวลาอยู่ในห้องฝึกวิชาเพื่อให้ร่างกายปรับตัวกับคัมภีร์แปดชั้นฟ้า
หลินเป่ยเฉินลองร่ายรำกระบวนท่าต่าง ๆ ในคัมภีร์
เมื่อฝึกร่ายรำได้สักยี่สิบรอบ หลินเป่ยเฉินก็มีเหงื่อออกทั่วตัว แขนขาหมดแรง รู้สึกเหนื่อยล้า
นี่คือครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เขาเลื่อนขั้นพลังในวิชาเคลื่อนย้ายกระแสปราณได้ และรู้สึกเหนื่อยล้าขนาดนี้
“คัมภีร์ของพี่สาวตาบอดนี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ แฮะ ขนาดร่างกายของเราแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ก็ยังเล่นเอาหมดแรงได้เหมือนกัน แล้วนี่เป็นเพียงขั้นแรกของคัมภีร์เท่านั้น ร่างกายของเราก็แทบจะรับไม่ไหวแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าขั้นที่สูงกว่านี้จะมีความแข็งแกร่งขนาดไหน ดีนะเนี่ยที่เราไม่ประเมินฝีมือของพี่สาวตาบอดต่ำมากเกินไป สมแล้วที่นางเคยเป็นยอดฝีมือชื่อดังในอดีต”
หลินเป่ยเฉินพูดกับตนเองอยู่ในใจ
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เขาก็ยิ่งอยากรู้ว่าสหายเก่าที่เซี่ยเต๋อจีพูดถึงนั้นเป็นผู้ใดกันแน่
“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ใช้โอกาสนี้หลอมรวมพลังจากโลหิตพิสุทธิ์เลยก็แล้วกันวะ”
หลินเป่ยเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องฝึกวิชา
จากนั้นก็เริ่มรวบรวมสมาธิ
แผนการเรียบง่าย
วันนี้ เขาจะต้องเลื่อนขั้นขึ้นสู่ขอบเขตจอมเทพจักรพรรดิให้ได้
ด้วยโลหิตพิสุทธิ์ชุดแรกที่ได้มาจากพีระมิดในสุสานกษัตริย์ มันก็น่าจะพอทำให้หลินเป่ยเฉินสามารถเลื่อนขั้นพลังได้สำเร็จ
เมื่อขึ้นสู่ขอบเขตจอมเทพจักรพรรดิได้แล้ว เขาก็จะใช้โลหิตพิสุทธิ์ที่ได้มาจากเซี่ยเต๋อจีในการปรับพื้นฐานร่างกายให้เหมาะสมกับขั้นจอมเทพจักรพรรดิ
และถ้าโชคดี หลินเป่ยเฉินก็น่าจะได้เลื่อนขั้นในวิชาเคลื่อนย้ายกระแสปราณด้วยเช่นกัน
และเมื่อรวมกับของรางวัลจากภารกิจของแอปพลิเคชัน Keep ก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่เขาจะสามารถทะยานขึ้นสู่ขอบเขตจอมเทพจักราได้ในระยะเวลาอันสั้น
เมื่อถึงตอนนั้น เขาก็ไม่ต้องกลัวผู้ใดอีกแล้ว
เพียงนึกภาพตามเนื้อตัวก็สั่นเทาด้วยความตื่นเต้น
หลินเป่ยเฉินนำโลหิตวิเศษชุดแรกออกมา
นี่คือโลหิตโบราณที่เขาได้มาจากวิหารอานเซินจากสุสานกษัตริย์ โดยอาศัยแผนที่ซึ่งมารดาของเจ้าอ้วนเป็นคนมอบให้
หลินเป่ยเฉินอ้าปากและกลืนโลหิตนั้นเข้าไปโดยเร็ว
มวลความร้อนไหลผ่านลำคอ ตรงดิ่งลงสู่กระเพาะอาหาร ก่อนจะแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
หลินเป่ยเฉินคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้เป็นอย่างดี
เด็กหนุ่มเริ่มต้นการหลอมรวมพลังอย่างรวดเร็ว
ผลลัพธ์นั้นยอดเยี่ยมมาก
ด้วยความที่เคยหลอมรวมพลังจากโลหิตพิสุทธิ์มาแล้ว นี่จึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหลินเป่ยเฉิน
หนึ่งชั่วยามต่อมา
การหลอมรวมพลังชุดแรกก็เสร็จสิ้น
คลื่นพลังสีเงินไหลเวียนไปทั่วร่างกายไม่ต่างจากเปลวไฟแผดเผา ภายในห้องฝึกวิชาอาบไล้ด้วยแสงสีเงิน มวลอากาศพลิ้วไหวเป็นระลอกคลื่น
เลื่อนขั้นพลังได้สำเร็จแล้ว
หลินเป่ยเฉินก้าวขึ้นสู่ขอบเขตจอมเทพจักรพรรดิได้สำเร็จ
หลังจากรอคอยมาอย่างเนิ่นนาน ในที่สุด เขาก็ได้กลายเป็นจอมเทพจักรพรรดิเสียที
แล้วแสงสีเงินที่อาบไล้ไปทั่วห้องฝึกวิชาก็ถูกดูดกลับเข้าสู่ร่างกายของหลินเป่ยเฉิน
“ความรู้สึกนี้มันช่างวิเศษจริง ๆ…”
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าเมื่อตนเองเลื่อนขั้นขึ้นสู่ขอบเขตจอมเทพจักรพรรดิ พลังปราณในร่างกายก็ไหลเวียนเต็มอัตรามากขึ้น
นอกจากนี้ เขายังสามารถใช้พลังปราณแท้จริงในร่างกายเปลี่ยนแปลงเป็นอาวุธหรือชุดเกราะได้ตามใจชอบอีกด้วย
แต่แน่นอนว่าผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยใช้งานชุดเกราะจากพลังปราณแท้จริงอยู่แล้ว
เพราะชุดเกราะเหล่านั้นมีความแข็งแกร่งสู้ชุดเกราะจากการเล่นแร่แปรธาตุไม่ได้
ในเส้นทางดาราจักร วัตถุเล่นแร่แปรธาตุคือสิ่งที่แข็งแกร่งมากที่สุด
แต่ในยามคับขัน วัตถุจากพลังปราณแท้จริงก็สามารถช่วยชีวิตได้เช่นกัน
“ด้วยขั้นพลังของเราในตอนนี้ อาวุธที่สร้างขึ้นมาจากพลังปราณแท้จริงน่าจะใช้ต่อสู้กับผู้ที่อยู่ในขั้นจอมเทพจักราได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพปีศาจหรือแม่ทัพอสูร เราก็ไม่ต้องกลัวอีกแล้ว… แต่ภาพจำของเราคือวิชาปราณกระบี่คงกระพัน ถ้าเราโจมตีรูปแบบเดิม พวกมันอาจจะผิดสังเกตเอาได้ ดังนั้น ระหว่างที่เรายังแฝงตัวอยู่ในกองทัพของศัตรู เราก็คงใช้ได้แต่เพียงกระบวนท่าจากคัมภีร์แปดชั้นฟ้าของพี่สาวตาบอดเท่านั้น”
หลินเป่ยเฉินย้ำเตือนกับตนเองอยู่ในใจ
เมื่อปรับพลังปราณในร่างกายได้เรียบร้อยแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ตั้งสมาธิอยู่ที่การหลอมรวมพลังในวิชาเคลื่อนย้ายกระแสปราณ
เขาสังเกตได้ว่าผิวหนังและกล้ามเนื้อของตนเองมีความแข็งแกร่งมากขึ้น
ความสามารถในการป้องกันตัวของเขาเพิ่มขึ้น
หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าหากตนเอง ‘ขยายร่าง’ ขึ้นอีกครั้ง ตัวเขาก็คงสูงไม่ต่ำกว่าสิบแปดเมตรแล้ว
นี่คือขีดจำกัดของวิชาเคลื่อนย้ายกระแสปราณระดับ 3
“วันนี้เราเลื่อนขั้นพลังได้สำเร็จแล้ว พรุ่งนี้ค่อยเอาโลหิตพิสุทธิ์จากพี่สาวตาบอดออกมาหลอมรวมพลังก็แล้วกัน ไม่แน่มันอาจจะทำให้เราได้เลื่อนขั้นขึ้นสู่ระดับ 4 ของวิชาเคลื่อนย้ายกระแสปราณก็เป็นได้… แต่เดาไม่ออกเลยว่าการหลอมรวมพลังในวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่แน่ ๆ มันคงเพิ่มความแข็งแกร่งในการโจมตีและการป้องกันให้กับเราได้กระมัง?”
หลินเป่ยเฉินจบการหลอมรวมพลังแต่เพียงเท่านี้
บัดนี้ กำลังเข้าสู่เช้าวันใหม่พอดี
เด็กหนุ่มเดินออกมาจากห้องฝึกวิชาและพบเข้ากับแขกไม่ได้รับเชิญที่นอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่ในห้องนอนของเขา
เป็นแม่ทัพหญิงหลี่อี้สวิ่น
ดอกไม้งามแห่งสำนักม่วงมหากาฬ
นางสวมใส่ชุดนอนสีขาว หลับสนิทไม่รู้ตัว
ผมสีแดงแผ่สยายปกคลุมไปทั่วผ้าปูที่นอนสีขาว ไม่ต่างจากเปลวไฟที่กำลังลุกโชนอย่างสวยงาม
ต้นขาขาวผ่องโผล่พ้นชายกระโปรงล่อตาล่อใจชวนให้สัมผัส
“ระดับจอมปีศาจจักรายังต้องนอนหลับพักผ่อนด้วยเหรอเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกไม่ชอบมาพากล
ดอกไม้งามแห่งสำนักม่วงมหากาฬนอนหลับอย่างใสซื่อบริสุทธิ์
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่ตรงนั้นอีกครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เอื้อมมือหยิบผ้าห่มมาคลี่คลุมร่างหลี่อี้สวิ่น เสร็จเรียบร้อยก็เดินออกมาจากห้องนอนเพื่อออกตรวจสอบความปลอดภัยตามหน้าที่
เมื่อคืนนี้ การต่อสู้ในสนามรบดำเนินไปอย่างเข้มข้น
สถานการณ์เข้าสู่ภาวะสงครามเต็มรูปแบบ
ว่ากันว่าหากกองทัพเรือเหาะของหลี่อี้สวิ่นสามารถบุกทะลวงเข้าสู่เมืองเทียนหลางซิงได้เมื่อไหร่ อาณาจักรซือเว่ยก็จะต้องล่มสลายลงเมื่อนั้น
หน่วยลาดตระเวนของกองทัพเซียนกระบี่ปรากฏตัวอยู่ที่เส้นขอบฟ้าห่างไกลออกไป
การสู้รบกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินไม่ทราบเลยว่าตนเองจะสวมบทบาทเป็นสายลับไปได้อีกนานแค่ไหน
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มได้ยินเสียงร่ำร้องขอความเมตตาดังมาตามสายลม
“ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอมเด็ดขาด…”
เป็นเสียงร้องด้วยความเศร้า
หลินเป่ยเฉินฟังแล้วก็รู้สึกประหลาดใจจนต้องไปสืบข้อมูลดูถึงได้รู้ว่านั่นเป็นเสียงร้องของเหลียงอี้กวน หนึ่งในองครักษ์ชุดใหม่ เขาไม่ทราบเลยว่าเหลียงอี้กวนเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร เมื่อตอนรุ่งสาง เหลียงอี้กวนจึงได้แสดงกิริยาหยาบช้าใส่หลี่อี้สวิ่นอันเป็นผลให้เหลียงอี้กวนถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการส่งไปอยู่ในค่ายทหารชั้นเลว เพื่อส่งออกไปให้ศัตรูฆ่าตายเป็นการตัดกำลัง
“เฮ้อ นี่มัน…”
หลินเป่ยเฉินทำได้เพียงถอนหายใจ ชีวิตของคนเราไม่มีอะไรแน่นอนเลยจริง ๆ