เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1813 โอกาสมาถึงแล้ว
ตอนที่ 1,813 โอกาสมาถึงแล้ว
ดวงตะวันโผล่พ้นยอดเขา แสงแห่งวันใหม่เริ่มส่องสว่าง
เอ่อ… ในป้อมปราการลอยฟ้าไม่น่ามีดวงตะวันกระมัง?
แต่ช่างเถอะ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นนิยายอยู่แล้ว
เหตุการณ์ที่ทำให้เหลียงอี้กวนต้องถูกส่งตัวไปยังค่ายทหารเลวก็คือ เมื่อตอนที่หลี่อี้สวิ่นกลับมาจากสนามรบและต้องการจะนอนหลับพักผ่อน เหลียงอี้กวนกลับเสนอหน้าเข้ามาหานางด้วยความหยาบคาย หลี่อี้สวิ่นไล่เขากลับไปด้วยความเย็นชา แต่นางไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหลียงอี้กวน เพราะเขายิ่งแสดงกิริยาหยาบคายก้าวร้าวหนักข้อมากกว่าเดิม สุดท้าย หลี่อี้สวิ่นจึงต้องส่งตัวเหลียงอี้กวนไปรับโทษในค่ายทหารเลวและองครักษ์หน้าใหม่ผู้นี้ก็คงไม่อาจมีชีวิตอยู่รอดได้อีกนานนัก
ทั้งหมดนี้คือข้อมูลที่หลินเป่ยเฉินได้สืบทราบมา
มิน่าล่ะ เมื่อเขากลับออกมาจากห้องฝึกวิชา หลี่อี้สวิ่นถึงได้มานอนอยู่บนเตียงของเขาแล้ว
เมื่อหลินเป่ยเฉินเดินออกมานอกจวนที่พัก เขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาแปลกประหลาดที่จ้องมองมาจากรอบกาย บางคนก็จ้องมองด้วยความอิจฉาริษยา บางคนจ้องมองด้วยความเหยียดหยามเย้ยหยันและบางคนก็จ้องมองด้วยความเคารพเทิดทูน
เมื่อใช้เวลาขบคิดเล็กน้อย หลินเป่ยเฉินก็เข้าใจทุกอย่างโดยทันที
กลุ่มคนเหล่านี้คงเห็นหลี่อี้สวิ่นเดินเข้าไปในห้องพักของเขาเมื่อเช้านี้
เฮ้อ นี่เป็นความรู้สึกที่น่าเบื่อยิ่งนัก
หลินเป่ยเฉินเดินลาดตะเวนทั่วป้อมปราการลอยฟ้าและใช้โทรศัพท์มือถือที่ไม่มีใครมองเห็นบันทึกภาพท้องถนนและรูปแบบการตั้งค่ายกลของกองทหารตลอดเส้นทาง จากนั้นเขาจึงส่งรูปภาพทั้งหมดไปให้เซียวปิง ฉู่เหิน และคนอื่น ๆ ผ่านทางแอปวีแชต โดยสั่งให้พวกเขาส่งมอบรูปถ่ายเหล่านั้นให้แก่หวังจงอีกทอดหนึ่ง
ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความราบรื่น
น่าเสียดายที่ขณะนี้หลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นเพียงหัวหน้ากลุ่มองครักษ์ประจำตัวหลี่อี้สวิ่นเท่านั้น เขาจึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเขตพื้นที่สำคัญอีกหลายจุด ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงทำได้เพียงใช้โทรศัพท์มือถือสแกนจากระยะไกล ไม่มีทางเข้าไปถ่ายภาพระยะใกล้ได้เลย
“สงสัยเราคงต้องรีบหาทางเลื่อนตำแหน่งให้ตัวเองซะแล้วสิ จะได้เข้าไปสำรวจพื้นที่ใจกลางป้อมปราการลอยฟ้าแห่งนี้ แล้วก็น่าจะได้ข้อมูลเชิงลึกมากขึ้นด้วย”
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความตื่นเต้น
หรือว่าเขาจะยอมเสียตัวให้แก่ปีศาจสาวดีนะ?
เมื่อกลับมาจากการลาดตระเวน หลินเป่ยเฉินก็พบว่าผู้ช่วยคนสนิทของหลี่อี้สวิ่นอย่างเยว่ชิงอานกำลังรอคอยตนเองอยู่
“ท่านแม่ทัพอยากพบเจ้า รีบตามข้ามาโดยเร็ว”
เยว่ชิงอานนำตัวเด็กหนุ่มกลับไปยังจวนที่พักของท่านแม่ทัพใหญ่
การคุ้มกันแน่นหนามากกว่าเดิม
ฉู่ซินและองครักษ์คนอื่น ๆ สวมใส่เครื่องแบบเต็มยศยืนรักษาการณ์พร้อมอาวุธครบมือ
หลี่อี้สวิ่นเองก็สวมใส่ชุดเครื่องแบบนักรบเต็มยศเช่นกัน นางยืนอยู่หน้ากลุ่มองครักษ์ เรือนร่างที่มีความสูงมากกว่าสตรีปกติเล็กน้อยทำให้หลี่อี้สวิ่นดูมีสง่าราศีน่าเคารพเลื่อมใส ข้างเอวของนางทั้งสองฝั่งห้อยกระบี่ไว้ถึงสามเล่ม ผมสีแดงถูกปล่อยยาวสยาย แขนขาวเนียนราวกับหิมะ เอวคอดกิ่ว หน้าท้องแบนราบ สีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง ริมฝีปากเม้มแน่น แสดงให้เห็นถึงบุคลิกที่เยือกเย็นอย่างมีเสน่ห์
“มานี่สิ มายืนอยู่ข้างกายข้า”
เมื่อเห็นหน้าหลินเป่ยเฉิน สีหน้าของหลี่อี้สวิ่นก็อ่อนโยนขึ้นทันตา
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ทางขวามือของท่านแม่ทัพใหญ่
กลุ่มองครักษ์จ้องมองเขาด้วยแววตาอิจฉาริษยาและโกรธแค้น
ทุกคนรับทราบถึงเรื่องราวของเหลียงอี้กวนที่เกิดขึ้นเมื่อตอนรุ่งสาง ปรากฏว่าเจ้านั่นโง่เขลามากเกินไป เลือกเวลาเข้าหาท่านแม่ทัพหลี่ได้เลวร้ายมากเกินไป… ดังนั้น แทนที่จะประสบผลสำเร็จตามที่หวัง กลับต้องมาพบเจอกับชะตากรรมที่น่าอนาถเสียได้
ตอนที่ได้รับทราบข่าวนั้น กลุ่มองครักษ์อยากจะหัวเราะนัก
คู่แข่งของพวกเขาลดลงไปหนึ่งคน
นี่คือเรื่องที่ควรค่าแก่การมีความสุข
แต่แล้วทุกคนก็ได้ยินอีกหนึ่งข่าวที่ตามมาก็คือไม่ทราบเลยว่าฮ่าวไต๋ใช้วิธีการใดจึงหลอกล่อให้ท่านแม่ทัพหลี่ไปหาถึงห้องนอนได้สำเร็จ และนี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาอิจฉาริษยาแทบบ้าคลั่ง
และบัดนี้ พวกเขาก็ต้องเห็นหลินเป่ยเฉินได้รับอนุญาตให้มายืนอยู่ข้างกายหลี่อี้สวิ่น… เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มกลายเป็นคนพิเศษของท่านแม่ทัพหลี่ไปเรียบร้อยแล้ว
ฉู่ซินเป็นผู้ที่รู้สึกเจ็บใจมากที่สุด
เฮอะ คอยดูเถอะ
หน้าตาดีใช่ว่าจะโชคดีตลอดไปสักหน่อย
คนหน้าตาดีมองไม่กี่ทีก็เบื่อ มีแต่ยอดบุรุษที่แท้จริงเท่านั้นถึงจะได้หัวเราะในภายหลัง
“พวกเราออกเดินทางได้”
ในไม่ช้า เรือเหาะขนาดเล็กลำหนึ่งก็มาถึง
หลี่อี้สวิ่นขึ้นไปนั่งอยู่บนเรือเหาะเล็กลำนั้น ในขณะที่คนอื่น ๆ ต้องขี่สัตว์อสูรมีปีกตามหลังมา
ระหว่างทาง หลินเป่ยเฉินได้รับทราบว่าตนเองจะต้องติดตามหลี่อี้สวิ่นไปทำภารกิจต้อนรับคณะทูตจากเผ่าพันธุ์อสุรกายเขียว การประชุมการระหว่างสองเผ่าพันธุ์ในครั้งนี้คือการสรุปยุทธศาสตร์การโจมตีครั้งสุดท้าย… หรือน่าจะเป็นอะไรทำนองนั้น รวมถึงพวกเขาอาจจะเริ่มแบ่งสรรปันส่วนดินแดนในอาณาจักรซือเว่ยกันในวันนี้เลยก็ได้ เพราะในสายตาของกองทัพผู้บุกรุก อาณาจักรซือเว่ยไม่มีทางต้านทานการโจมตีครั้งนี้ได้เด็ดขาด
เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของหลินเป่ยเฉินก็เป็นประกายแวววาวทันที
โอกาสมาถึงแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน
พวกเขาก็มาถึงโรงเตี๊ยมที่อยู่ทางป้อมปราการด้านหน้า
หลินเป่ยเฉินได้พบกับเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าพวกอสุรกายเขียวเป็นครั้งแรก
“นี่มันตัวก็อบลินไม่ใช่เหรอ?”
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความประหลาดใจ
พวกมันมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ เพียงแต่มีหูชี้ตั้ง จมูกยาว ฟันแหลมคม ผิวกายเป็นสีเขียวขรุขระเหมือนผิวหิน เสื้อผ้าที่สวมใส่ตัดเย็บจากหนังสัตว์อสูร ชุดเกราะที่สวมใส่ก็เป็นชุดเกราะหนังสัตว์เช่นกัน แต่ชุดเกราะจะคุ้มกันแค่เพียงช่วงลำตัวเท่านั้น แขนขาของพวกมันเปลือยเปล่า เปิดเผยถึงกล้ามเนื้อกำยำไม่ต่างจากศิลาแข็งแกร่ง
อีกอย่างที่น่าสนใจก็คืออสูรพวกนี้ไม่สวมใส่รองเท้า
พวกมันมีเท้าเรียวยาวเป็นสีดำสกปรกและเล็บเท้าอันแหลมคมนั้นก็เป็นอาวุธสังหารศัตรูที่ธรรมชาติมอบให้
ดวงตาของกลุ่มอสูรจ้องมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความหิวกระหาย
พวกมันไม่ปิดบังเลยว่าต้องการจะครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของตนเอง
เผ่าพันธุ์อสุรกายเขียวพวกนี้ หลินเป่ยเฉินสามารถให้คำจำกัดความได้เพียงคำเดียวเท่านั้นว่า…
อัปลักษณ์!
เผ่าพันธุ์อสุรกายเขียวเป็นสาขาย่อยของเผ่าพันธุ์อสูร พวกมันมีจุดแข็งอยู่ที่การเพิ่มจำนวนประชากรที่ไม่แพ้เผ่าพันธุ์มนุษย์ ว่ากันว่าในยุคแห่งการล่มสลายครั้งที่สอง เผ่าพันธุ์อสุรกายเขียวคือหนึ่งในสายพันธุ์ที่ขึ้นมาเรืองอำนาจมากที่สุด
เพราะฉะนั้น พวกมันจึงอยากจะกอบกู้ศักดิ์ศรีและความรุ่งเรืองในอดีตของบรรพบุรุษ
เผ่าพันธุ์อสุรกายเขียวเป็นสมาชิกของกลุ่มอสูรสงคราม พวกมันไม่เคยสนใจสิ่งอื่นใด นอกจากการได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างผ่านสงคราม การฆ่าฟันและการทำลายล้าง
ในเส้นทางดาราจักร เผ่าพันธุ์อสุรกายเขียวไม่ต่างจากเชื้อโรคร้าย ไม่ว่าพวกมันปรากฏตัวขึ้นที่ใด ก็มีแต่จะนำพามาซึ่งความตายและมหันตภัยทั้งสิ้น
ในห้องประชุม
โต๊ะตัวยาวตั้งอยู่ตรงกลาง สองฝั่งนั่งด้วยตัวแทนจากทั้งสองเผ่าพันธุ์
หลี่อี้สวิ่นได้รับความเคารพโดยการนั่งอยู่บริเวณหัวโต๊ะ
หลินเป่ยเฉินกับเยว่ชิงอานยืนประจำการอยู่สองข้างซ้ายขวา
ส่วนองครักษ์คนอื่น ๆ ยืนประจำตำแหน่งอยู่ห่างไกลออกไป
ในตอนแรก งานเลี้ยงต้อนรับก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น
แม้หลี่อี้สวิ่นจะไม่แสดงออกมาอย่างชัดเจน
แต่หลินเป่ยเฉินก็สังเกตได้ว่านางรู้สึกขยะแขยงและไม่อยากสนทนาพาทีกับพวกอสูรก็อบลินพวกนี้สักเท่าไหร่ แต่ด้วยเหตุผลการร่วมมือทางการทหาร นางจึงต้องมาร่วมวงประชุมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และบรรยากาศในงานเลี้ยงต้อนรับก็เริ่มทวีความร้อนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อพวกอสุรกายเขียวดื่มสุรามากเกินไป พวกมันก็เริ่มเมามายและแสดงธาตุแท้อันชั่วช้าของตนเองออกมา