เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1816 หมัดมหัศจรรย์
ตอนที่ 1,816 หมัดมหัศจรรย์
ฉู่ซินไม่คิดไม่ฝันเลยว่าตนเองจะต้องออกไปต่อสู้
ความหวาดกลัวจึงเกิดขึ้น… ตามมาด้วยความโกรธแค้น!
เขาจะเอาอะไรไปสู้
ฉู่ซินมีพลังเพียงขั้นจอมเทพจักรพรรดิตอนต้นเช่นกัน
หากให้ออกไปต่อสู้กับอสูรที่ได้ชื่อว่าเป็นพวกป่าเถื่อนโหดร้ายเช่นนี้…
สุดท้ายก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น
มิหนำซ้ำ สภาพศพอาจจะยับเยินจนแม้แต่มารดาก็จำหน้าไม่ได้
“ท่านต้องการอะไร?”
ฉู่ซินถามออกไปโดยไม่ต้องคิด “ทำไมถึงต้องเป็นข้า?”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับเสียงเรียบว่า “เจ้าไม่อยากปกป้องศักดิ์ศรีของท่านแม่ทัพหลี่อย่างนั้นหรือ?”
“คือว่าข้า…”
ฉู่ซินแทบจะกระอักเลือดแล้ว
เขาไม่มีทางโต้แย้ง
ไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ
“เจ้ากับข้าต่างก็เป็นองครักษ์ของท่านแม่ทัพ พวกเราล้วนได้รับความไว้วางใจจากท่านแม่ทัพ แล้วเจ้าจะไม่ตอบแทนความเมตตาของท่านแม่ทัพได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินเชิดหน้าขึ้นด้วยความดูถูกเหยียดหยามและกล่าวอย่างยั่วโมโหว่า “คนเรามีบุญคุณต้องทดแทน มีความแค้นต้องชำระ ลูกผู้ชายต้องปฏิบัติตามหน้าที่ บัดนี้ เจ้ากับข้าต่างก็ทำงานให้แก่ท่านแม่ทัพ หรือเจ้าคิดว่าท่านแม่ทัพมีค่าไม่มากพอที่จะให้ตนเองออกไปเสี่ยงชีวิต?”
ฉู่ซินใบหน้าแดงก่ำ แต่ก็ไม่อยากจะโต้แย้งอันใดอีก นอกจากกล่าวว่า “ในเมื่อนี่เป็นการปกป้องศักดิ์ศรีของท่านแม่ทัพหลี่… ท่าน… ท่านมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าองครักษ์… ท่านนั่นแหละสมควรออกไปประลองก่อน”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ก็เพราะว่าข้าเป็นหัวหน้าไงล่ะ ข้าถึงมีสิทธิ์สั่งเจ้า”
ฉู่ซินรู้ชะตากรรมดีว่าตนเองไม่อาจทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายโดยเด็ดขาด มิฉะนั้น เขาคงต้องตายแน่ ๆ “คำสั่งของท่าน ข้าไม่ยอมรับ”
บัดนี้ ทุกคนที่อยู่ในงานเลี้ยงต่างก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้าด้วยความเคร่งเครียด
เยว่ชิงอานยกมือนวดขมับอย่างปวดหัว โดยเฉพาะกับพฤติกรรมไร้ยางอายของหลินเป่ยเฉิน
ตอนแรกหลินเป่ยเฉินประพฤติตนเป็นบุรุษผู้กล้าหาญ แต่บัดนี้ กลับรักตัวกลัวตายออกคำสั่งให้ผู้อื่นไปประลองแทนตนเอง…
แล้วยังจะกล้าเรียกว่าตนเองเป็นหัวหน้าหน่วยองครักษ์อีกได้อย่างไร?
“ฮ่า ๆๆ สุดท้ายพวกมนุษย์ก็กลัวตายเหมือนกันหมด”
“นี่หรือคือองครักษ์ของสำนักม่วงมหากาฬ?”
“ได้ข่าวว่าพวกเขามีดีแค่เพียงหน้าตาเท่านั้น ฮ่า ๆๆ เรื่องความแข็งแกร่งจะมาสู้อสูรอย่างพวกเราได้อย่างไร?”
“สำนักม่วงมหากาฬไม่เห็นจะมีดีตรงไหนเลย”
หัวหน้าคณะทูตอสูรและกลุ่มผู้ติดตามระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ยิ่งทำให้พวกมันกล้าที่จะประพฤติตนอย่างก้าวร้าวมากขึ้น
หลี่อี้สวิ่นมองหน้าหลินเป่ยเฉินและถอนหายใจเล็กน้อย
ความรู้สึกซาบซึ้งใจก่อนหน้านี้เกือบจะหายไปหมดสิ้น
ทันใดนั้น…
“ก็ได้ ในเมื่อข้าเป็นหัวหน้าหน่วยองครักษ์ งั้นข้าก็จะออกไปต่อสู้เป็นคนแรกเอง”
หลินเป่ยเฉินเลิกต่อล้อต่อเถียงกับฉู่ซินและพูดด้วยความมุ่งมั่น “เมื่อข้าประลองเสร็จแล้ว หลังจากนั้นก็จะเป็นตาเจ้า ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะสามารถหดหัวได้อีกหรือไม่”
ฉู่ซินหัวเราะในลำคอตอบกลับไป “หากท่านสามารถคว้าชัยชนะกลับมาได้สำเร็จ ข้าก็จะออกไปปกป้องศักดิ์ศรีให้แก่ท่านแม่ทัพหลี่เป็นคนที่สองเอง”
นี่คือข้อเสนอที่ฉู่ซินมั่นใจว่าตนเองมีแต่จะเป็นฝ่ายชนะ
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปาก ก่อนจะเดินไปหยุดยืนอยู่กลางลานเต้นรำ
เขากระทืบเท้าเพียงครั้งเดียว
ครืน!
มวลอากาศก็พลิ้วไหวเป็นระลอกคลื่นสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เศษแก้วที่ตกแตกกระจายปลิวกระเด็นออกไป
ลานเต้นรำสะอาดเกลี้ยงเกลา
“อยากตายก็เข้ามา”
หลินเป่ยเฉินยกมือกระดิกนิ้วเรียกกลุ่มอสูรที่ยืนถือขวานยักษ์
“ขวานของข้าอยากดื่มเลือดเจ้ามานานแล้ว”
อสุรกายเขียวตัวหนึ่งเหวี่ยงขวานในมือพุ่งร่างเป็นลำแสงออกมาพร้อมกับมวลพลังกดดันหนักหน่วง บรรยากาศบนลานเต้นรำปั่นป่วนขึ้นมาทันที อสูรตัวนั้นแยกเขี้ยวข่มขู่ว่า “มดปลวกผู้ต่ำต้อย ข้าจะฆ่าเจ้า จงจำไว้ให้ดีข้ามีนามว่า…”
“เจ้าไม่มีสิทธิ์พูด”
หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึก ก่อนจะกระแทกหมัดออกมาข้างหน้าโดยตรง
ตู้ม!
คลื่นพลังพุ่งออกไป
ลำแสงพุ่งทะยานไปข้างหน้า
วูบ!
มวลอากาศปั่นป่วน
อสูรผู้ถือขวานยักษ์รู้สึกได้แต่เพียงว่าดวงตาเกิดแสงสว่างพร่างพราย ยังไม่ทันที่มันจะได้เคลื่อนไหว สติสัมปชัญญะก็ดับวูบลงตลอดกาล
เพราะว่าร่างกายท่อนบนของมันถูกหมัดมหัศจรรย์ของหลินเป่ยเฉินกระแทกจนระเบิดกระจายเป็นผุยผง
เหลือเพียงร่างกายท่อนล่างที่ยืนอยู่ที่เดิม
ร่างกายท่อนล่างเดินมาข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
ช่วงเอวกับช่วงท้องปรากฏรอยตัดขาดราบเรียบ
ร่างกายท่อนบนพร้อมกับขวานยักษ์สลายหายไปไม่ต่างจากหิมะที่ละลายกลางแสงแดดฤดูร้อน
แม้แต่กลุ่มอสุรกายเขียวก็ไม่มีผู้ใดสามารถแสดงอานุภาพของหมัดนี้ได้
คลื่นพลังทำลายล้างจากหมัดของหลินเป่ยเฉินแผ่กระจายไปรอบทิศทาง กลุ่มอสูรที่ไม่ทันระวังตัวก็ถูกคลื่นพลังเหล่านั้นซัดใส่ บางตัวยืนกระอักเลือดอยู่กับที่ บางตัวก็ลอยกระเด็นไปกระแทกกับผนังห้องอย่างแรง ทำให้ค่ายอาคมวิเศษเปิดการทำงานขึ้นมาทันทีและห้องประชุมแห่งนี้ก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย
หลังจากนั้น บนผนังห้องด้านหนึ่งก็เกิดรอยยุบเป็นรูปกำปั้นขนาดใหญ่ ไม่ต่างจากงานแกะสลักชิ้นเอกของยอดศิลปิน
ทุกฝ่ายล้วนตกตะลึงในอานุภาพการทำลายล้างของหมัดนี้
กำปั้น…
เพียงหมัดเดียว!
สามารถทำลายล้างได้ถึงขั้นนี้เชียวหรือ?
แม้แต่บรรดาผู้อาวุโสของสำนักม่วงมหากาฬก็ไม่อยากเชื่อเช่นกัน
“เท่านี้เองหรือ?”
หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ ลดกำปั้นของตนเองลงด้วยสีหน้าผิดหวัง “นี่หรือยอดฝีมือของพวกอสุรกายเขียว? ไม่เห็นจะแข็งแกร่งสมคำเล่าลือเลยสักนิด อ่อนแอยิ่งกว่าสตรีเสียอีก... ใช้การไม่ได้”
หลังจากนั้น เขาก็เดินกลับไปยืนประจำตำแหน่ง
แล้วหลินเป่ยเฉินก็หันมาส่งยิ้มให้แก่ฉู่ซิน
เป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นและบริสุทธิ์
ฉู่ซินมีสีหน้าพิศวง ร่างกายสั่นเทาอย่างรุนแรง
ในหัวใจของเขามีแต่ความสิ้นหวัง
บัดนี้ ทุกฝ่ายต่างก็กลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง
สายตาที่เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ความสะพรึงกลัว ความอิจฉาริษยาและความรู้สึกอื่น ๆ อีกมากมายต่างก็จับจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉิน
เจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้…
เห็นได้ชัดว่ามีพลังเพียงขั้นจอมเทพจักรพรรดิตอนต้นเท่านั้น เหตุไฉนหมัดของเขาถึงอันตรายขนาดนี้?
เขาทำได้อย่างไร?
หรือว่ามีวิชาลับ?
หรือว่าปิดบังพลังที่แท้จริงเอาไว้?
ไม่ทราบเลยว่าฝ่ามือของเยว่ชิงอานกำลังจับอยู่ที่ด้ามจับกระบี่ข้างเอวของตนเองตั้งแต่เมื่อไหร่
นี่คือนิสัยของเขา
ทุกครั้งที่พบเจอยอดฝีมือซึ่งทำให้เขารู้สึกตกตะลึง เยว่ชิงอานก็มักจะอยากออกไปประลองฝีมือด้วยโดยไม่รู้ตัวเสมอ