เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1839 ผู้ก่อตั้งสำนักที่แท้จริง
ตอนที่ 1,839 ผู้ก่อตั้งสำนักที่แท้จริง
ณ ป้อมปราการลอยฟ้าของสำนักม่วงมหากาฬ
อุกกาบาตขนาดใหญ่ที่ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นป้อมปราการลอยฟ้ากำลังลอยตัวอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกำแพงเมืองหลานเหนี่ยว สิ่งที่รายล้อมมันอยู่คือกองทัพเรือเหาะจำนวนหลายพันลำ หน้าที่ของเรือเหาะเหล่านั้นก็คือคุ้มครองความปลอดภัยของป้อมปราการลอยฟ้าแห่งนี้จากรอบทิศทาง
การมาถึงของท่านเจ้าสำนักสร้างความตื่นตระหนกในวงกว้าง
เหล่านักรบปีศาจระดับล่างต่างก็ตื่นเต้นยิ่งนัก
พวกเขาไม่สังเกตถึงสิ่งผิดปกติใด ๆ
แต่สำหรับนักรบปีศาจระดับสูง พวกเขาได้กลิ่นไม่ชอบมาพากลบางอย่าง
ส่วนผู้ที่ติดตามรับใช้หลี่อี้สวิ่นอย่างใกล้ชิด ย่อมได้รับทราบข้อมูลวงในมาแล้ว พวกเขาจึงเตรียมตัวพร้อมเป็นอย่างดี
ฉากหน้ายังคงสงบไร้เรื่องราว
แต่บรรยากาศค่อนข้างอึมครึม
ณ จวนบุปผาแดง
ท่านเจ้าสำนักในชุดเสื้อคลุมสีม่วงปรากฏตัวพร้อมกับผ้าโพกศีรษะที่ทำมาจากขนสัตว์อสูรดูสูงส่ง
เขานั่งอยู่บนบัลลังก์ใหญ่ จ้องมองผู้คนที่กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องล่าง พลังกดดันมหาศาลแผ่ออกมาจากร่างกายของเขา กาลเวลาคล้ายกับจะหยุดชะงัก
ทั่วจวนบุปผาแดงปกคลุมด้วยมวลพลังกดดัน
ในอากาศเต็มไปด้วยพลังปราณปีศาจ
สาวกปีศาจพากันคุกเข่าด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทาอยู่ในห้องโถงใหญ่แห่งนั้น สีหน้าของพวกเขาบอกชัดถึงความเคร่งเครียด
พิธีกรรมต้อนรับท่านเจ้าสำนักใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยามเต็ม ๆ
สาวกปีศาจทุกคนต้องแสดงความศรัทธาต่อท่านเจ้าสำนัก
นี่คือพิธีกรรมพื้นฐานของสำนักม่วงมหากาฬในปัจจุบัน
บนพื้นห้องโถงใหญ่เต็มไปด้วยสิ่งของสักการะบูชาสำหรับนำมามอบให้แก่ท่านเจ้าสำนัก
“พลังของข้าขอมอบให้แก่พวกเจ้าทุกคน”
“หากไม่ได้รับความคุ้มครองจากข้า ป่านนี้พวกเจ้าก็คงตายไปนานแล้ว”
“โปรดจำเอาไว้ให้ดีว่าหน้าที่เดียวที่พวกเจ้าควรปฏิบัติ ก็คือการซื่อสัตย์กับข้าเท่านั้น”
“ทิ้งของบูชาของพวกเจ้าเอาไว้แล้วกลับไปซะ”
เสียงคำรามของท่านเจ้าสำนักดังกังวานไปทั่วห้องโถงใหญ่
สีหน้าเย็นชา
แววตายามจ้องมองสาวกของตนเองไม่ต่างจากจ้องมองมดปลวกไร้ค่า
บรรดาสาวกปีศาจโขกหน้าผากลงบนพื้นหินอย่างแรง ก่อนจะคลานเข่าถอยหลังออกไปด้วยความเร่งรีบ
ในห้องโถงใหญ่เหลือผู้คนอยู่เพียงไม่กี่คน และหนึ่งในนั้นย่อมต้องเป็นแม่ทัพใหญ่หลี่อี้สวิ่น
พลังปราณปีศาจสีม่วงพลิ้วไหวอยู่ในอากาศเป็นระลอกคลื่น
ในสายตาของท่านเจ้าสำนัก สิ่งของที่บรรดาสาวกนำมาสักการะบูชาตนเองนั้นแทบไม่ต่างไปจากเศษขยะข้างถนน
“หลี่อี้สวิ่น”
ท่านเจ้าสำนักโบกมือเล็กน้อย แล้วสิ่งของสักการะบูชาเหล่านั้นก็หายวับไปในอากาศ ก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏบนใบหน้าของเขาเล็กน้อย
ไม่มีความเย็นชาอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว
ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หน้าทางเข้าจวนบุปผาแดง ข้าเห็นรูปปั้นเจ้าสำนักคนเก่าตั้งอยู่ เหตุไฉนถึงยังไม่เปลี่ยนเป็นรูปปั้นเจ้าสำนักคนปัจจุบันอีกเล่า?”
หลี่อี้สวิ่นลุกขึ้นยืนสูดหายใจลึกและกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เพราะว่านั่นคือเรื่องที่ข้าไม่ได้สนใจ”
“ดูเจ้าสิ เดี๋ยวนี้เจ้าตอบคำถามของข้าเช่นนี้แล้วหรือ?”
ท่านเจ้าสำนักถอนหายใจออกมาด้วยความไม่พอใจ
แต่หลังจากนั้น เขาก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง “ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าเกี่ยวกับความตายของหลันเอ๋อร์เลยนะ เจ้านี่ช่างใจร้อนเสียจริง เจ้าไม่ไว้หน้าข้าเลย ถึงอย่างไรในอนาคตพวกเราก็ต้องเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว ถึงเจ้าไม่ชอบหน้านาง แต่ก็น่าจะเห็นใจว่านางทำงานให้กับข้าเช่นกัน เจ้าก็รู้ว่าความรักที่ข้ามีให้กับเจ้านั้นไม่เคยลดน้อยลง…”
หลี่อี้สวิ่นไม่ได้พูดคำใด
นางค่อย ๆ ฉีกเสื้อคลุมสีม่วงออกจากร่างกาย
เปิดเผยให้เห็นถึงชุดเกราะที่นางสวมใส่อยู่ด้านใน หลี่อี้สวิ่นมีท่วงท่าที่สง่าผ่าเผย ราวกับเป็นนักรบหญิงที่พร้อมจะพลีชีพในสงครามได้ทุกเมื่อ
นางยังคงไม่ได้พูดคำใด
แต่ท่านเจ้าสำนักก็รู้ความหมายดีแล้ว
“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง”
เขาส่ายศีรษะด้วยความผิดหวังและถอนหายใจ “เจ้าสูญเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว นั่นคือเรื่องที่ข้าสามารถให้อภัยเจ้าได้ แต่ทำไม… เจ้าถึงต้องทรยศข้าด้วย?”
หัวใจของหลี่อี้สวิ่นกระตุกวูบ
“ท่านรู้ทุกอย่าง…”
ความตกตะลึงปรากฏบนใบหน้าของปีศาจสาว
“ฮ่า ๆๆ ข้าเคยผ่านประสบการณ์เรื่องราวต่าง ๆ มามากมาย ข้าเคยสังหารผู้คนและมีนางบำเรออยู่รอบกายนับไม่ถ้วน แล้วข้าจะมองแผนการของเจ้าไม่ออกได้อย่างไร? เจ้าคิดว่าแผนการอันตื้นเขินของเจ้าจะสามารถหลอกลวงข้าได้อย่างนั้นหรือ? ที่ผ่านมาข้าให้อิสระกับเจ้ามากนัก และดูเหมือนว่าข้าคงให้อิสระกับเจ้ามากเกินไป… เจ้าเสียความบริสุทธิ์ให้กับผู้ใดล่ะ? หากข้าเดาไม่ผิด ก็คงต้องเป็นที่ปรึกษาข้างกายเจ้าอย่างเยว่ชิงอานสินะ?”
เมื่อท่านเจ้าสำนักกล่าวมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ขยายใหญ่ขึ้น “แต่ถึงกระนั้น ข้าก็ยังให้อภัยเจ้า… หากเจ้ายอมมาเป็นนางบำเรอของข้า ข้าจะปล่อยเขาไป ข้อเสนอนี้ดีหรือไม่?”
“ข้อเสนอนี้ไม่ดี”
หลี่อี้สวิ่นส่ายหน้าด้วยความหนักแน่น
เยว่ชิงอานขยับเท้าก้าวออกมาข้างหน้า เพื่อยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับนาง
และเขาก็ยื่นมือออกไปจับมือนางเอาไว้แนบแน่น
บัดนี้ เยว่ชิงอานเลือกที่จะเผชิญหน้าชะตากรรมของตนเอง
หลี่อี้สวิ่นยิ้มกว้าง
ความอบอุ่นจากมือกระบี่หนุ่มผู้นี้ ทำให้หัวใจที่หวาดวิตกของนางสงบลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อมีคนที่รักท่านอย่างแท้จริงคอยยืนอยู่เคียงข้าง แล้วท่านยังจะต้องกลัวตายอีกหรือ?
ดวงตาของท่านเจ้าสำนักเป็นประกายหมองเศร้าด้วยความผิดหวังช้ำใจ
เช่นเดียวกับความโกรธแค้น
ในที่สุด หลี่อี้สวิ่นก็เลือกแตกหักกับเจ้าสำนักของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านเจ้าสำนักรู้สึกเสื่อมเสียเกียรติยิ่งนัก
ปีศาจเฒ่าผู้มองทุกคนไม่ต่างจากมดปลวกต่ำต้อยจะมีจิตใจหลงรักผู้ใดอย่างแท้จริงได้อย่างไร?
“ออกมาเถอะ”
สายตาของท่านเจ้าสำนักจ้องมองไปยังเงาร่างของกลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านหลังหลี่อี้สวิ่น มุมปากของเขายกยิ้มเหยียดหยาม “ยังจะเก็บหัวซ่อนหางอันใดอีก? เจ้ากลับมาที่นี่เพื่อทวงคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเจ้ากลับคืนไปไม่ใช่หรือ? ข้าจะให้โอกาสกับเจ้าเอง”
กลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านหลังหลี่อี้สวิ่นสะบัดผ้าคลุมออกไป
เปิดเผยให้เห็นถึงโฉมหน้าที่แท้จริง
คนกลุ่มนั้นมีอยู่ด้วยกันสามคนซึ่งประกอบไปด้วยหลินเป่ยเฉิน เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงและเซี่ยเต๋อจี
สายตาของท่านเจ้าสำนักจ้องมองตรงไปที่หญิงตาบอดเซี่ยเต๋อจี
“ในที่สุด เจ้าก็กล้าโผล่หัวออกมาจากสุสานแล้วสินะ?”
ท่านเจ้าสำนักระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชั่วร้าย “เพราะเหตุใดกัน? เจ้าอุตส่าห์ไปหลบซ่อนตัวอยู่ตั้งหลายพันปี สุดท้ายก็รวบรวมความกล้ามาสู้กับข้าได้แล้วหรือ? คงอยากจะทวงคืนสำนักม่วงมหากาฬที่เจ้าก่อตั้งกลับคืนไปเต็มทีแล้วสินะ แต่เจ้าคิดว่าตนเองพร้อมที่จะต่อสู้กับข้าแล้วหรือ? หรือว่ามีผู้ใดให้ความกล้าหาญแก่เจ้า?”
หลินเป่ยเฉินตกตะลึงทันทีที่ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น
พี่สาวตาบอดเนี่ยนะเป็นผู้ก่อตั้งสำนักม่วงมหากาฬ
ดูเหมือนท่านเจ้าสำนักจะไม่รู้จักภูตอเวจีอย่างเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเพราะในสายตาของเขามองเห็นเพียงเซี่ยเต๋อจี ผู้ก่อตั้งสำนักม่วงมหากาฬแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ให้ตายเถอะ
หลินเป่ยเฉินอ้าปากเหวอจนน้ำลายเกือบไหลยืด
เขารู้ว่าเซี่ยเต๋อจีเป็นสมาชิกเผ่าพันธุ์ปีศาจ และเป็นคนสนิทของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง
แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ…
เซี่ยเต๋อจีเป็นถึงผู้ก่อตั้งสำนักม่วงมหากาฬเชียวหรือ?
มีเรื่องอะไรที่เขายังไม่รู้อีกบ้าง?