เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1844 สิ้นสุดสงคราม
ตอนที่ 1,844 สิ้นสุดสงคราม
ค่ำคืนนั้น
การบุกโจมตีฐานที่มั่นแห่งสุดท้ายของอาณาจักรซือเว่ยไม่ได้เกิดขึ้น
สำนักม่วงมหากาฬซึ่งเดิมทีทำงานภายใต้คำสั่งของราชวงศ์อี้จื่อกลับเปลี่ยนฝ่ายไปเข้าร่วมกองทัพเซียนกระบี่อย่างไม่มีผู้ใดทันตั้งตัว
เซียนกระบี่นักล่าหัวหลินเป่ยเฉินปลอมตัวเป็นเจ้าสำนักม่วงมหากาฬคนปัจจุบันพร้อมด้วยยอดหญิงงามอย่างหลี่อี้สวิ่นเดินทางเข้าไปร่วมประชุมในกองทัพของเผ่าพันธุ์อสูร และบรรดาผู้นำคนสำคัญของกองทัพอสูรก็ถูกฆ่าตายหมดสิ้น ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งผู้บังคับการอสูรเอ้อตั้ว
กองทัพอสูรได้รับความเสียหายใหญ่หลวง…
ในเวลาเดียวกันนี้ กองทัพปีศาจของสำนักม่วงมหากาฬผนึกกำลังกับกองทัพเซียนกระบี่บุกโจมตีกองทัพอสูรที่ปิดล้อมอยู่ด้านนอกกำแพงเมือง
การต่อสู้ดำเนินไปหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน
ในที่สุด กองทัพอสูรก็ต้องสูญเสียกำลังพลไปนับสิบล้านนายและมีเพียงอสูรระดับยอดฝีมือไม่กี่ตัวเท่านั้นที่สามารถหลบหนีไปได้สำเร็จ
บนชั้นบรรยากาศอันเวิ้งว้างกว้างไกลปรากฏศพอสูร ศพปีศาจและศพมนุษย์ลอยละล่อง ยามกวาดตามองผ่าน ๆ ซากศพเหล่านั้นก็แทบไม่ต่างไปจากซากเรือเหาะที่เสียหายพังทลายกำลังล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมายไม่มีที่สิ้นสุด
แผนการบุกยึดอาณาจักรซือเว่ยของราชวงศ์อี้จื่อจึงต้องยุติลง
ภายในเมืองเทียนหลางเซินก้องกังวานไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุข
เมื่อสงครามยุติ หลินเป่ยเฉินก็เดินทางกลับไปที่คฤหาสน์ลู่หลิว
“กลับมาได้แล้วสินะ”
เด็กสาวนักปรุงยาผู้มีนามว่าอาเฉียวรีบเดินออกมาขวางหน้าหลินเป่ยเฉิน “คนอื่นออกไปสู้กับพวกอสูรกันแทบเป็นแทบตาย ท่านมัวไปมุดหัวอยู่ที่ไหน บัดนี้ สงครามยุติลงแล้ว… ท่านยังมีหน้ากลับมาอีกหรือ?”
ในฐานะนักปรุงยา เด็กสาวจึงไม่รู้ข้อมูลวงใน นางจึงไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
หลินเป่ยเฉินตบศีรษะของอาเฉียวไปหนึ่งที ก่อนถามว่า “เลิกกล่าววาจาเหลวไหลได้แล้ว โอสถคืนวิญญาณอยู่ที่ใด?”
เด็กสาวเวียนหัวตาลาย รู้สึกมองเห็นดวงดาวระยิบระยับเล็กน้อย
“โอสถหลอมสำเร็จแล้ว”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง
เป็นท่านผู้เฒ่าเฉินปี้หยางก้าวเดินออกมาอย่างแช่มช้า เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ ก็ยื่นส่งขวดหยกให้แก่หลินเป่ยเฉินขวดหนึ่งพลางกล่าวเสริมว่า “ในขวดหยกใบนี้มีโอสถคืนวิญญาณอยู่ห้าสิบเม็ด ท่านราชครูโปรดตรวจสอบดูเถอะ”
สีหน้าของหลินเป่ยเฉินกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที
หลังจากตบศีรษะหลานสาวของชายชรา เขาก็ต้องหันมาก้มศีรษะทำความเคารพชายชราด้วยความซาบซึ้งใจ
“แหะ ๆ ขอบคุณอาจารย์เฉินมากขอรับ”
เด็กหนุ่มรีบรับขวดหยกและเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างรวดเร็วว่า “อาจารย์เฉินคงต้องเหนื่อยมากแล้ว เพียงไม่กี่วัน ท่านก็หลอมโอสถคืนวิญญาณให้แก่ข้าเป็นจำนวนมาก สมแล้วที่เป็นอาจารย์เฉินในตำนาน”
เฉินปี้หยางยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “นี่ไม่นับว่าลำบากอันใด อ้อ จริงด้วยสิ สหายของท่านทั้งสองคนฟื้นตัวดีแล้ว แม้จะยังไม่สามารถฟื้นฟูพลังกลับมาได้ทั้งหมด แต่บัดนี้ พวกเขาก็ปลอดภัยแล้ว สักวันหนึ่ง พวกเขาย่อมสามารถฟื้นฟูพลังกลับคืนมาได้แน่นอน”
เฉินปี้หยางกำลังหมายถึงเฟิงเสี่ยวไป๋กับฉินโมเหยียนใช่หรือไม่?
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความดีใจ
นี่นับว่าเป็นข่าวดีจริง ๆ
หมดเรื่องให้ต้องกังวลไปอีกหนึ่งอย่าง
“เดี๋ยวข้าจะไปเยี่ยมพวกเขาสักหน่อย ขอบคุณอาจารย์เฉินมากขอรับ ท่านช่วยข้าได้เยอะเลยทีเดียว”
หลินเป่ยเฉินประสานมือคำนับขอบคุณ ก่อนจะหันกลับไปลูบศีรษะเด็กสาวอาเฉียวด้วยความอ่อนโยน สีหน้าแสดงออกถึงความจริงใจ “นอกจากอาจารย์เฉินจะมีฝีมือในการหลอมโอสถแล้ว อาจารย์เฉินยังมีหลานสาวที่งดงามยิ่งนัก ดูเด็กสาวผู้นี้สิขอรับ ผิวของนางขาวผ่อง รูปร่างสมส่วน อกเป็นอก เอวเป็นเอว…”
อาเฉียวเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นทันที “นี่ท่านกำลังชมข้าอยู่หรือ?”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะแหะ ๆ และอดใจไม่ไหวที่จะต้องหยอกล้อนางให้ได้ ดังนั้น เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องโดยการกล่าวว่า “ให้ตายเถอะ กระโปรงของเจ้าสวยดีนะ ดูขาคู่นี้สิ ทั้งยาวทั้งขาวเนียน ช่างเป็นบุญตาของข้าแท้ ๆ คิดแล้วก็อยากลูบไล้เสียเหลือเกิน”
เฉินปี้หยางยืนกะพริบตาปริบ ๆ
‘ท่านราชครู อย่าพูดจาเช่นนี้ต่อหน้าข้าได้หรือไม่’
ชายชราคิดอยู่ในใจ
ส่วนอาเฉียวกำลังฉีกยิ้มอย่างมีความสุข
ในที่สุด เขาก็เห็นเรียวขาของนางแล้ว
วันนี้ นางเลือกสวมใส่กระโปรงสั้นเพื่ออวดเรียวขาขาวผ่องของตนเอง ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่ชุดที่เหมาะสมสำหรับการหลอมโอสถเลยสักนิด แต่เด็กสาวก็มั่นใจว่าเรียวขาของตนเองย่อมสามารถเอาชนะสตรีได้ทุกนาง
ส่วนถ้อยคำที่ฟังดูแปลกประหลาดของหลินเป่ยเฉินนั้น…
เฮอะ เขาก็คงต้องการเรียกร้องความสนใจจากนางนั่นเอง
อาเฉียวจำได้ดีถึงทฤษฎีจากสารานุกรมความรักที่น้องชายเล่าให้ฟัง นางรู้สึกว่าในขณะนี้ตนเองสามารถเข้าใจหลินเป่ยเฉินได้อย่างทะลุถึงแก่น เพียงเขาอ้าปาก นางก็มองเห็นไปถึงลิ้นไก่ ในสารานุกรมความรักอธิบายเอาไว้ว่า บุรุษมักจะทำตัวเป็นเด็กน้อยเพื่อเรียกร้องความสนใจจากสตรี โดยหวังว่านั่นจะสามารถสร้างความประทับใจให้แก่นางได้นั่นเอง
หึ ๆ
ข้าไม่ได้โง่หรอกนะ
ฝันไปเถอะ
อาเฉียวคิดด้วยความภาคภูมิใจ
แต่หลินเป่ยเฉินกลับไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเก็บขวดโอสถและเดินเข้าคฤหาสน์ไปหน้าตาเฉย
“นี่? ท่าน...”
อาเฉียวยกมือเรียก เหมือนนางจะยังคงอยากพูดอะไรบางอย่าง
“กลับกันได้แล้ว”
ชายชราผู้เป็นปู่ของเด็กสาวคว้าคอเสื้อหลานสาวของตนเองพร้อมกับกล่าวว่า “ตามปู่กลับไปฝึกหลอมโอสถต่อเถอะ ปู่บอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว นี่คือฤดูหนาว อากาศหนาวเย็นแทบตาย แล้วเจ้าจะใส่กระโปรงสั้นเพื่ออะไร? ไม่กลัวขาแข็งตายเอาหรือ?”
อาเฉียวพยายามดิ้นรน แต่สุดท้ายก็ถูกท่านปู่ลากตัวกลับไปได้สำเร็จ นางจึงทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเท่านั้น
ท่านปู่กลายเป็นอุปสรรคขัดขวางความรักของนางเสียแล้ว
เด็กสาวคิดด้วยความไม่พอใจ
ทางด้านเฉินปี้หยางก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
บัดนี้ เขาทราบข่าวเรื่องสงครามแนวหน้าแล้ว
กองทัพเซียนกระบี่ได้รับชัยชนะ
แต่ชายชราไม่ใช่สมาชิกของกองทัพ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เห็นรายงานการพุ่งรบโดยละเอียด
แต่เฉินปี้หยางก็ได้รับทราบข่าวที่โจษจันกันไปทั่ว
กองทัพเซียนกระบี่สามารถเอาชนะกองทัพอสูรได้อย่างสวยงาม
แม้จะไม่มีรายละเอียดว่าสามารถเอาชนะได้อย่างไรก็ตาม
แต่รายละเอียดในการรบไม่ใช่สิ่งสำคัญ
สิ่งสำคัญก็คืออาณาจักรซือเว่ยปลอดภัยแล้ว
หลังจากนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งมากพอสำหรับการตอบโต้กลับไป
อย่างน้อยในระยะเวลานี้ ก็คงไม่มีผู้ใดกล้าบุกโจมตีพวกเขาอีก
นั่นหมายความว่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับความปลอดภัย
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหลินเป่ยเฉินมากมายอีกแล้ว
แผนการที่ชายชราวางเอาไว้ก่อนหน้านี้จึงต้องเปลี่ยนแปลง
หลายวันที่ผ่านมา บังเกิดข่าวลือว่าเซียนกระบี่นักล่าหัวหลินเป่ยเฉินมีคนสนิทมากมายอยู่ข้างกาย แม้แต่องค์หญิงไข่มุกขาวจากราชวงศ์เกิงจินก็ยังเป็นคนสนิทของเขา และบุรุษหนุ่มที่มีความสมบูรณ์แบบทั้งบุ๋นทั้งบู๊เช่นนี้ ย่อมดึงดูดสาวงามได้ไม่ต่างจากแมงเม่าบินเข้ากองไฟ
เฉินปี้หยางทราบดีว่าแม้หลานสาวของเขาจะมีหน้าตางดงาม แต่นางไม่ได้มีครอบครัวที่ยิ่งใหญ่หรือมีพลังฝีมือที่แข็งแกร่ง และนางก็ตกหลุมรักหลินเป่ยเฉินแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ต่อจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้น อาเฉียวจะสามารถไปแข่งขันกับบรรดายอดหญิงงามที่แท้จริงได้อย่างไร?
ต้องรีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
ต้องรีบทำให้นางตัดใจให้ได้
แผนการใหม่ของชายชราก็คือ เขาจะรับตัวสหายของหลินเป่ยเฉินเป็นลูกศิษย์ในการปรุงยา และเมื่อถ่ายทอดเคล็ดวิชาต่าง ๆ ให้สหายผู้นั้นเรียบร้อยแล้ว เฉินปี้หยางก็จะพาหลาน ๆ ของตนเองออกจากเส้นทางหวังซินให้เร็วที่สุดและไปแสวงหาชีวิตที่สงบสุขในดินแดนอื่นตลอดกาล