เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1846 ข้ามีข่าวดีกับข่าวร้ายให้ท่านเลือก
ตอนที่ 1,846 ข้ามีข่าวดีกับข่าวร้ายให้ท่านเลือก
กลิ่นของดอกกุหลาบขาวไม่ได้รัญจวนใจเหมือนดอกกุหลาบแดง แต่เมื่อสูดดมแล้วจะให้ความรู้สึกที่สงบเยือกเย็นอย่างน่าประหลาด ต่อให้ดอกกุหลาบขาวโดนลมโดนฝนจนร่วงโรยลงสู่พื้นดิน แต่กลีบใบของพวกมันยังกลายเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ต้นอื่นได้เติบโตต่อไป
และกลิ่นของบุหรี่ในมือเยว่หงเซียงขณะนี้ ก็มีความหอมสดชื่นไม่ต่างไปจากกลิ่นของดอกกุหลาบขาวในป่าอันบริสุทธิ์จริง ๆ อารมณ์ความรู้สึกที่ปั่นป่วนของเยว่หงเซียงจึงสงบเยือกเย็นในฉับพลัน
“ชอบหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินสั่งบุหรี่กลิ่นนี้มาเพื่อนางโดยเฉพาะ
เยว่หงเซียงผงกศีรษะ
“งั้นมันจะเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”
หลินเป่ยเฉินกล่าว “นับจากนี้ไป มีแต่เจ้าเท่านั้นที่จะได้ครอบครอง”
ทันใดนั้น จิตใจที่เริ่มสงบผ่อนคลายของเยว่หงเซียงก็เริ่มกลับมาปั่นป่วนเป็นครั้งที่สอง
ครั้งนี้นางไม่ได้ปฏิเสธ…
สำหรับเยว่หงเซียง การยอมรับของนางทำได้ยากมากกว่าการปฏิเสธ
หลินเป่ยเฉินนำตลับใส่บุหรี่กลิ่นกุหลาบขาวจากพื้นที่เก็บไฟล์ของแอปไป๋ตู้และนำเน็ตดิสก์ออกมาสามตลับ จากนั้นยัดใส่มือของเยว่หงเซียงพร้อมกับกล่าวว่า “เจ้าเก็บเอาไว้เถอะ ประตูของข้าเปิดกว้างสำหรับเจ้าเสมอ หมดแล้วก็มาเอาใหม่ได้ทุกเมื่อ”
เยว่หงเซียงรับคำในลำคอและรับตลับใส่บุหรี่เหล่านั้นไป
หลินเป่ยเฉินคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อยก็ต้องหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
เยว่หงเซียงถามด้วยความพิศวงงุนงงว่า “ท่าน… หัวเราะอะไรหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มและไม่ได้ตอบคำใด
ถึงตอบออกไปนางก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี
อย่างเช่น หากอยู่ในโลกมนุษย์ใบเก่าของเขา ถ้าหลินเป่ยเฉินมอบบุหรี่เป็นของขวัญให้หญิงสาวสักคน เขาก็คงต้องถูกมองเป็นคนวิกลจริตเป็นแน่แท้ แต่ในโลกใบนี้ การมอบบุหรี่ของเขาทำให้หญิงงามอย่างเยว่หงเซียงหน้าแดงด้วยความเขินอายได้ นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าขบขันเกินไปแล้ว
“ไม่บอกก็ไม่ต้องบอก”
เยว่หงเซียงพ่นลมผ่านทางจมูกด้วยความฉุนเฉียวเล็กน้อย
หาได้ยากนักที่นางจะแสดงกิริยาเช่นนี้ออกมา
เยว่หงเซียงสนิทสนมกับหลินเป่ยเฉินมาเป็นระยะเวลายาวนาน นางทราบว่าตนเองรู้จักหลินเป่ยเฉินดีเกินไป เขาเป็นบุคคลสมองเสื่อม บัดนี้ยังไม่สามารถรักษาได้หายขาด หลายครั้งหลินเป่ยเฉินจึงมักจะแสดงกิริยาหรือพูดบางอย่างที่ทำให้หลายคนไม่เข้าใจ ดังนั้นนี่จึงถือเป็นเรื่องที่ปกติดีแล้ว
หลินเป่ยเฉินยืนสูบบุหรี่พ่นควันสีหม่นฟุ้งในยามราตรี สายตาจ้องมองสาวงามผู้คงแก่เรียนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
นี่เป็นภาพที่สวยงามยิ่งนัก
ทันใดนั้น หัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
เยว่หงเซียงมีความงดงามราวกับเป็นสตรีที่หลุดออกมาจากภาพวาดของจิตรกรเอก
หากสามารถโอบกอดหญิงงามเช่นนี้อยู่ในอ้อมแขน คนเรายังจะต้องการสิ่งอื่นใดอีก?
“ข้าควรกลับได้แล้ว”
เมื่อเยว่หงเซียงสูบบุหรี่หมดมวน นางก็ขยี้ก้นบุหรี่ทิ้งและกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เดี๋ยวข้าเดินไปส่ง”
หลินเป่ยเฉินเดินเข้ามาจับมือที่ขาวเนียนของเยว่หงเซียง
เด็กสาวไม่ได้ขัดขืนและปล่อยให้หลินเป่ยเฉินจับมือของนางเพื่อสัมผัสถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือ
ร่างของคนทั้งสองค่อย ๆ เดินหายเข้าไปในม่านรัตติกาลอันเงียบสงบ
…
วันต่อมา
ท้องฟ้าสีครามแจ่มใส
หลินเป่ยเฉินเพิ่งจะเดินกลับมายังที่พัก และพบว่าหลิงเฉินมายืนขวางอยู่หน้าประตู
“เมื่อคืนท่านไม่ได้กลับที่พัก ไม่ทราบว่าหายไปไหนมา?”
หลิงเฉินถามพร้อมกับยิ้มมุมปาก
“อ้อ คือว่า… ข้าไปเรียนจัดดอกไม้มาน่ะ”
หลินเป่ยเฉินตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ท่านเนี่ยนะไปเรียนจัดดอกไม้?”
หลิงเฉินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ท่านจะเรียนจัดดอกไม้ไปทำไม?”
“ข้าชอบการจัดดอกไม้เสมอ ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยฝึกฝนอยู่บ้าง…”
หลินเป่ยเฉินตอบพร้อมกับเดินกลับเข้าไปในจวนที่พักพร้อมด้วยหลิงเฉิน อาหารเช้าได้ถูกจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว พวกเขานั่งลงรับประทานด้วยกัน ขณะนั้นชายหนุ่มก็กล่าวว่า “การจัดดอกไม้ก็เหมือนการฝึกกระบี่ จำเป็นต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์… หากได้เรียนรู้วิธีการจัดดอกไม้ที่แท้จริง เจ้าจะต้องชื่นชอบมันแน่นอน”
หลิงเฉินยิ้มกริ่มและถามว่า “ช่างเถอะ ข้ามีข่าวดีกับข่าวร้ายให้ท่านเลือก ไม่ทราบว่าท่านต้องการฟังข่าวไหนก่อนกัน?”
“เจ้ายังต้องถามอีกหรือ?”
หลินเป่ยเฉินว่า “ข้าไม่เคยฟังข่าวดีก่อนอยู่แล้ว”
“ช้าก่อน ตกลงว่าท่านจะฟังข่าวร้ายใช่หรือไม่?”
หลิงเฉินยกมือกอดอกและกล่าวว่า “ข่าวร้ายก็คือข้ากำลังจะต้องออกจากอาณาจักรซือเว่ยแล้ว”
“ออกไปที่ใด?”
หลินเป่ยเฉินตกตะลึงไปชั่วขณะ ทว่าไม่นานก็รีบเปลี่ยนสีหน้าและไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไป “เจ้าจะกลับไปที่อาณาจักรเกิงจินแล้วหรือ?”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบรับของหลินเป่ยเฉิน เด็กสาวก็รู้สึกพึงพอใจไม่น้อย
หลิงเฉินพยักหน้าเบา ๆ และถูคางลงบนหัวไหล่ของเขาไม่ต่างจากลูกแมวตัวน้อย แล้วกล่าวด้วยความจนใจว่า “ถูกต้อง ข้าต้องกลับไปแล้ว”
“นับว่าเป็นข่าวร้ายจริง ๆ”
หลินเป่ยเฉินกุมมือที่ขาวผ่องของหลิงเฉินแนบแน่น “เจ้าให้เสด็จลุงกลับไปเพียงผู้เดียวไม่ได้หรือ? เจ้าก็อยู่ที่นี่กับข้าต่อไปไง?”
หลิงเฉินส่ายศีรษะตอบว่า “ดูเหมือนจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในอาณาจักรเกิงจินเจ้าค่ะ ข้าเองก็เป็นห่วงความปลอดภัยของท่านแม่ พวกเราควรรีบเดินทางกลับไปให้เร็วที่สุด… อีกอย่างท่านพ่อคิดถึงท่านแม่มาก ท่านพ่อกับท่านปู่ก็จะเดินทางกลับไปพร้อมกับข้าเช่นกัน”
ท่านพ่อตาจะกลับไปด้วยหรือ?
หลินเป่ยเฉินสูดลมหายใจลึกและถามว่า “แล้วข่าวดีคืออะไร?”
“ข่าวดีก็คือ… ท่านจะได้ร่วมเดินทางไปกับข้าเป็นระยะทางหนึ่ง”
หลิงเฉินยิ้มกว้าง “พ่อบ้านหวังบอกว่าพี่เฉินเองก็ต้องเดินทางออกจากอาณาจักรซือเว่ยเช่นกัน ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกันพอดี ดังนั้นพวกเราจึงสามารถออกเดินทางไปพร้อมกันได้เจ้าค่ะ”
“หืม?”
ชายหนุ่มอุทานด้วยความไม่อยากเชื่อ “ข้าก็ต้องไปเหมือนกันหรือ? ทำไมถึงไม่รู้ตัวเลยล่ะ?”
หวังจงแอบวางแผนอะไรอยู่อีกแล้วสินะ?
หลิงเฉินส่ายศีรษะไปมา “ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน”
หลินเป่ยเฉินนั่งนิ่งใช้ความคิด ก่อนที่จะตกผลึกว่าอาณาจักรซือเว่ยไม่จำเป็นต้องมีเขาอยู่อีกแล้ว และไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม หลินเป่ยเฉินก็สามารถเปิดประตูมิติเดินทางไปที่แผ่นดินตงเต้าได้เสมอ เพราะฉะนั้นการออกเดินทางอีกครั้งจึงไม่ใช่เรื่องเสียหายอันใด
แต่ก่อนอื่น …เขาอยากจะออกไปตามหาศิษย์พี่ฮันก่อน
“งั้นเจ้ารีบไปเตรียมตัวเก็บของเถอะ พวกเราจะรีบออกเดินทางกันให้เร็วที่สุด”
หลินเป่ยเฉินส่งตัวหลิงเฉินกลับไป
หลังจากนั้น หวังจงก็เดินเข้ามา
“นายน้อย บ่าวมีข่าวดีกับข่าวร้ายให้ท่านเลือก ไม่ทราบว่านายน้อยอยากรับฟังข่าวไหนก่อนกัน?”
หวังจงสอบถามด้วยความเคารพ