เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1847 ไม่ใช่โชคช่วย
ตอนที่ 1,847 ไม่ใช่โชคช่วย
เพียะ!
หลินเป่ยเฉินยกมือตบศีรษะพ่อบ้านชราอย่างแรงก่อนกล่าวว่า “จะบอกอะไรก็บอกมาเถอะ”
“โอ๊ะ นี่มัน…”
หวังจงมึนงงสงสัย
นายน้อยอยากฟังทั้งข่าวดีและข่าวร้ายพร้อมกันเลยหรือ?
“กราบเรียนนายน้อย ข่าวดีก็คือครั้งนี้พวกเราได้ผลตอบแทนมหาศาลเลยขอรับ”
หวังจงตัดสินใจทำให้นายน้อยมีความสุขก่อน “พวกเราสามารถคว้าชัยชนะมาได้อย่างสวยงาม พวกอสูรทิ้งทรัพย์สินมีค่าไว้มากมาย ทรัพย์สินเหล่านั้นล้วนตกเป็นของพวกเราหมดสิ้น ฮ่า ๆๆ เอาแค่เงินตำลึงทองเพียงอย่างเดียวก็น่าจะมีจำนวนถึงสิบล้านตำลึงทองแล้วขอรับ และจากการตกลงกันก่อนหน้านี้ พวกเราจะได้รับส่วนแบ่งถึงหกล้านตำลึงทอง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินเป่ยเฉินก็ยิ้มกว้างทันที
วิเศษที่สุด!!
หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงเลยว่าสงครามครั้งนี้จะทำเงินได้มหาศาล
หวังจงกล่าวต่อไปพร้อมกับส่งมอบบัตรสีทองคำออกมาข้างหน้าใบหนึ่ง “นายน้อย นี่คือบัตรที่เก็บเงินสดเอาไว้สองล้านตำลึงทอง เงินจำนวนนี้เป็นของนายน้อยทั้งหมดขอรับ”
หลินเป่ยเฉินรับมาพร้อมกับถามว่า “แล้วเงินส่วนที่เหลือล่ะ?”
หวังจงรีบยิ้มตอบโดยเร็ว “นายน้อย การดูแลนายทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ไหนจะซ่อมแซมอาวุธที่เสียหาย หรือมอบรางวัลเป็นขวัญกำลังใจให้แก่นายทหาร… สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องใช้เงินทองทั้งสิ้น”
หลินเป่ยเฉินทอดถอนใจ “คิดไม่ถึงเลยนะว่าวันหนึ่งข้าจะมีกิจการใหญ่โตถึงเพียงนี้”
ในเมื่อนั่นเป็นรายจ่ายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
…ก็อย่าคิดเสียดายให้ปวดหัวดีกว่า
“แล้วข่าวร้ายล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินถาม
“ข่าวร้ายก็คือ… พวกเราต้องออกจากอาณาจักรซือเว่ยแล้วขอรับ เราต้องเดินทางไปที่อาณาจักรอี้จื่อ จากนั้นก็ผ่านประตูขนส่งเพื่อมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ การเดินทางครั้งนี้อาจมีความอันตรายมากมาย พวกเราต้องเตรียมตัวให้ดีขอรับ”
หวังจงกล่าวตอบ
“อย่าบอกนะว่าเรากำลังจะไปที่สภาศักดิ์สิทธิ์?”
หลินเป่ยเฉินถามกลับไป “ทำไมพวกเราต้องไปที่นั่นด้วย?”
ชาหยนุ่มได้ยินมาว่าที่นั่นมีแต่ความวุ่นวายโกลาหล และถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่อันตรายที่สุดไม่ใช่หรือไงกัน?
หวังจงนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะสะบัดมือ ทำให้ห้องโถงใหญ่แห่งนี้ถูกปิดผนึกโดยสมบูรณ์ หลังจากนั้นพ่อบ้านชราจึงกล่าวช้า ๆ “นายน้อย ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินตกตะลึงกับท่าทีของหวังจงที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
อีกฝ่ายกล่าวต่อไปว่า “นายน้อยเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าตลอดเส้นทางที่ผ่านมานี้ นายน้อยโชคดีมากเพียงใด หลายครั้งที่ได้พบเจอกับคนธรรมดาผู้หนึ่ง แต่สุดท้ายบุคคลเหล่านั้นก็กลับกลายเป็นยอดคนซ่อนฝีมือ นายน้อยคิดว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือขอรับ?”
“ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะความหล่อเหลาของข้าต่างหากเล่า”
หลินเป่ยเฉินประกาศกร้าว
หวังจงไม่ตอบรับ แต่เป็นฝ่ายถามต่อ “นายน้อย ท่านเคยสงสัยบ้างหรือไม่ว่าเมืองเล็ก ๆ อย่างเมืองหยุนเมิ่งนั้น เหตุใดถึงเป็นสถานที่รวมตัวของยอดฝีมือจำนวนมาก แม้แต่องค์หญิงหลิงเฉินก็ยังอยู่ที่นั่น?”
“เรื่องนั้น…”
สีหน้าของชายหนุ่มเผยความเคร่งขรึมจริงจัง
ใช่แล้ว!
เมืองเล็ก ๆ ติดชายทะเลห่างไกลความเจริญอย่างเมืองหยุนเมิ่ง กลายเป็นสถานที่ชุมนุมมังกรซ่อนพยัคฆ์ไปได้อย่างไรไม่ทราบ
นอกจากเขาแล้วก็ยังมีฉู่เหิน ไต้จือฉุน เยว่เว่ยหยาง เยว่หงเซียงและอัจฉริยะคนอื่น ๆ อีกมากมาย แม้แต่เซียวปิงก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน…
รวมไปถึงเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็เริ่มติดต่อกับเขาได้ที่เมืองหยุนเมิ่งนี่แหละ
กลุ่มคนเหล่านี้ย่อมไม่ใช่กลุ่มคนธรรมดา
หากจะกล่าวว่าชะตาชีวิตของฉู่เหิน เยว่หงเซียงและคนอื่น ๆ มาแปรเปลี่ยนไปในภายหลัง แต่ในเวลาเดียวกันนั้นหลิงเฉิน เซียวปิง เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงหรือคนอื่น ๆ ก็มีพื้นเพไม่ธรรมดามาตั้งแต่ต้นแล้วเช่นกัน!
ดูอย่างเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงนั่นปะไร เพียงนางพูดคำเดียวเท่านั้น ท่านเจ้าสำนักม่วงมหากาฬก็ถึงกับยอมควักหัวใจฆ่าตัวตายทันที สถานะของนางต้องสูงส่งเพียงใดกันนะ?
หลินเป่ยเฉินไม่เคยนึกถึงความเป็นจริงเหล่านี้มาก่อน
เขาไม่เคยคิดสงสัย
และก็ไม่เคยคิดถามเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงด้วยเช่นกัน
นั่นเป็นเพราะเขาเชื่อว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจะต้องมาบอกด้วยตนเองแน่นอน
แต่เมืองหยุนเมิ่งคืออะไร?
ในแผ่นดินตงเต้า ในจักรวรรดิเป่ยไห่ มันเป็นเพียงเมืองติดชายทะเลเล็ก ๆ เท่านั้น
เรียกว่าเป็นเมืองชนบทก็ว่าได้
แต่ในเมืองชนบทแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยมังกรซ่อนเล็บ ครั้นกวาดตามองดูทั่วแผ่นดินก็ไม่น่าจะมีสถานที่ใดที่มียอดฝีมืออยู่มากมายถึงเพียงนี้อีกแล้ว
นี่คือเรื่องบังเอิญใช่หรือไม่?
แต่มันจะบังเอิญมากไปหรือเปล่า?
หลินเป่ยเฉินเชื่อว่าโลกนี้ไม่น่าจะมีเหตุบังเอิญอย่างพอเหมาะพอเจาะถึงเพียงนั้น
มันคือปริศนาดำมืดไม่มีคำตอบ
ก่อนหน้านี้ เขาแทบไม่เคยนึกถึงปัจจัยเหล่านี้มาก่อน
บัดนี้ หวังจงเป็นคนหยิบยกหัวข้อนี้ขึ้นมาพูด หลินเป่ยเฉินจึงเริ่มฉุกใจคิดสงสัยขึ้นมาเช่นกัน
“เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่?”
เขาหันกลับมามองหน้าหวังจง
ดวงตาของพ่อบ้านชราอ่อนโยนลง รอยยิ้มจริงใจปรากฏบนใบหน้าขณะกล่าว “นายน้อย ท่านเคยสงสัยในตัวตนของตนเองบ้างหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
หรือว่าหวังจงจะดูออกว่าเขาเป็นผู้ที่ทะลุมิติมาจากโลกอื่น?
พ่อบ้านตอบให้ว่า “นายน้อยคิดว่าตลอดเหตุการณ์ร้ายแรงทุกครั้งที่ผ่านมา นายน้อยสามารถเอาตัวรอดมาได้เสมอเพราะว่าโชคช่วยเท่านั้นหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินยืดอกตอบรับด้วยความภาคภูมิ “โชคช่วยอะไรของเจ้า นั่นเป็นเพราะการทำงานหนักของข้าต่างหาก”
หวังจงนิ่งเงียบ…
หากนายน้อยตอบเช่นนี้ แล้วเขาจะพูดเข้าประเด็นต่อไปได้อย่างไร?
“นายน้อย นอกจากการทำงานหนักของท่านแล้ว ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างท่านไม่น้อยนะขอรับ?”
หวังจงพยายามกล่าวต่อไป
“หากพูดเช่นนั้น ข้าขอยอมรับก็ได้ว่าตนเองมีโชคช่วยอยู่พอสมควร”
ชายหนุ่มจนใจกล่าวยอมรับอย่างไร้ยางอาย
“เหตุใดนายน้อยถึงได้โชคดีเพียงนั้น?”
อีกฝ่ายยังคงเค้นถาม “นายน้อยเคยคิดสงสัยบ้างไหมขอรับ?”
“แต่จะว่าไปแล้ว…”
หลินเป่ยเฉินเอามือลูบคาง “อาจเป็นเพราะว่าสวรรค์ชอบเข้าข้างคนหน้าตาดีอย่างข้าก็ได้กระมัง”
หวังจงอับจนคำพูดยิ่งนัก…
นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าการสื่อสารกับนายน้อยช่างยากเย็นเหลือเกิน!
เวลาจะพูดคุยเรื่องราวสำคัญทีไร อาการทางสมองของนายน้อยเป็นต้องกำเริบขึ้นมาทุกทีสินะ!!
“นายน้อยขอรับ ความจริงนั้น ตัวตนที่แท้จริงของนายน้อยไม่ใช่คนธรรมดา”
หวังจงวกเข้าประเด็นสำคัญโดยไม่ต้องถามให้มากความแล้ว “และนายน้อยก็ไม่ได้กำเนิดที่แผ่นดินตงเต้า”