เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1852 ข้าเป็นผู้ช่วยชีวิตท่าน
ตอนที่ 1,852 ข้าเป็นผู้ช่วยชีวิตท่าน
บนหน้าจอโทรศัพท์ในขณะนี้เป็นรูปถ่ายร่างกายครึ่งท่อนบนของธิดาอู๋ไห่จือตี้ นางนั่งหันหลังให้กล้อง ใบหน้าหันมาทางด้านข้างเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ แผ่นหลังที่ขาวเนียนปราศจากตำหนิ เรือนร่างที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งสมบูรณ์แบบไม่ต่างจากงานศิลปะ
นี่คือแผ่นหลังที่สวยงามยิ่งนัก… น่าเสียดายที่มองไม่เห็นข้างหน้า
หลินเป่ยเฉินรีบกดบันทึกรูปภาพโดยไม่ลังเล
หลังจากนั้น เขาก็ส่งข้อความตอบกลับไปว่า ‘ได้โปรดอย่าส่งรูปภาพแบบนี้มาให้ข้าอีก! ข้าไม่มีทางกดดูแน่ ๆ หากท่านทำเช่นนี้ ท่านอาจจะผิดใจกับสหายรักของท่านเอาได้’
‘เฮอะ เจ้าไม่ชอบความรู้สึกของการได้แอบทำอะไรลับหลังผู้อื่นบ้างหรือ? ข้าว่าน่าตื่นเต้นดีออก’
ธิดาอู๋ไห่จือตี้ตอบข้อความกลับมาทันที
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปว่า ‘นั่นมันสำหรับบุรุษทั่วไป’
‘แล้วแตกต่างจากเจ้าตรงไหน?’
‘ข้าเป็นคนที่รักเดียวใจเดียว’
‘สมมติว่าถ้าพวกเราอยู่ต่อหน้าเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง…’
‘เลิกพูดถึงเรื่องนี้เถอะ’
‘อิ ๆ… หรือเจ้าจะให้ข้าส่งรูปแอบถ่ายเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงไปให้เจ้าดีล่ะ?’
‘ไม่ หยุดความคิดไม่เข้าท่าของท่านเดี๋ยวนี้’
‘ฮ่า ๆๆ’
หลังจากนั้น ธิดาอู๋ไห่จือตี้ก็ไม่ได้ส่งข้อความอะไรมาอีก
หลินเป่ยเฉินยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก บางทีในขณะนี้ เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงอาจจะนั่งอยู่เคียงข้างธิดาอู๋ไห่จือตี้และคอยหัวเราะคิกคักใส่เขาผ่านโทรศัพท์มือถือก็เป็นได้
คนเราไม่ควรจับปลาหลายมือมากเกินไป
อย่างน้อยก็ต้องมีหลักการบ้าง
เมื่อกดปิดแอปเจิ้นอ้ายหว่างแล้ว เขาก็วิดีโอคอลไปหาเฉียนเหมย เมื่อได้รับทราบความคืบหน้าของภารกิจจากแอปพลิเคชัน Keep เด็กหนุ่มก็โล่งใจ
ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเดินมาจากทางด้านหลัง
“ไม่นานมานี้ มีกลุ่มคนเลือกที่จะหลบหนีออกมาจากเส้นทางหวังซินมากขึ้นเรื่อย ๆ”
เป็นเสียงขององค์ชายหลิงหวงฉี
หลินเป่ยเฉินไม่ได้ตอบรับคำใด
เฮอะ ก็อยากเรียกตัวหลิงเฉินกลับไปทำไมล่ะ
“ในเวลาเช่นนี้ ผู้อ่อนแอไม่สามารถกำหนดชะตาชีวิตของตนเองได้… หลินเป่ยเฉิน เจ้าคิดว่าใครคือผู้ที่อ่อนแอเล่า?”
องค์ชายหลิงหวงฉีเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างเด็กหนุ่มบนดาดฟ้าเรือ โน้มตัวพิงราวกั้นและจ้องมองไปไกลแสนไกล
หลินเป่ยเฉินยังคงขี้เกียจเกินกว่าจะใส่ใจ
ก็อยากหวงหลานสาวเองนี่หว่า
องค์ชายหลิงหวงฉียังคงกล่าวต่อไปด้วยความอดทน “ดูนั่นสิ…”
เขาชี้มือไปยังเรือเหาะไม้ลำหนึ่งที่ลอยลำอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
เรือเหาะไม้ลำนั้นมีสภาพที่แปลกประหลาดมาก แผ่นไม้ผุพัง ตัวเรือเต็มไปด้วยร่องรอยการถูกโจมตีด้วยคมดาบ คมหอกและรูกระบี่ เรือเหาะลำนี้ไม่ต่างไปจากเศษขยะชิ้นใหญ่ ที่มันยังสามารถประกอบร่างเป็นลำเรือได้อยู่นั้น ก็เพราะอิทธิฤทธิ์ของค่ายอาคมล้วนๆ
บนดาดฟ้าเรือเหาะมีผู้โดยสารเนืองแน่น ไม่ว่าจะเป็นสามีภรรยาที่โอบกอดลูกน้อย บรรดาปู่ย่าตายายที่พาหลาน ๆ ออกเดินทาง บุรุษหนุ่มที่แต่งตัวหรูหราไปจนถึงหญิงสาวท่าทางร้ายกาจ…
เสื้อผ้าของทุกคนตัดเย็บอย่างประณีต
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ใช่คนจน
แม้หลายคนจะสวมใส่เสื้อผ้าระดับสามัญ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นคนร่ำรวย
“ผู้คนบนเรือเหาะลำนั้นเป็นผู้ที่มีฐานะมีอันจะกิน แต่เมื่อสงครามอุบัติขึ้น ชีวิตคนก็แปรเปลี่ยนไป พวกเขาจำเป็นต้องละทิ้งบ้านเกิดเพื่อความอยู่รอด แม้จะต้องกลายเป็นคนพเนจรที่อาศัยอยู่บนเรือเหาะเก่าแก่ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงได้ผ่านประตูขนส่งที่เมืองตงอวี้ออกไปจากเส้นทางหวังซินก็พอ… เหอ ๆๆ เจ้าคิดว่าอย่างไร? พวกเขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งหรือผู้ที่อ่อนแอ?”
องค์ชายหลิงหวงฉีหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปาก
จากนั้นเขาก็วิเคราะห์คำถามโดยละเอียด
เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนตนเองได้กลับไปอยู่ในชั้นเรียนวิชาปรัชญาในโรงเรียนมัธยมอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินยังคงนิ่งเงียบ ไม่พูดคำใด
“ทุกสรรพสิ่งล้วนเกี่ยวข้องกันหมด”
องค์ชายหลิงหวงฉียังคงกล่าวต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้ “เช่นเดียวกับเจ้า หลินเป่ยเฉิน ในอาณาจักรซือเว่ย เจ้าคือท่านราชครูผู้ยิ่งใหญ่ เจ้ามีกองทัพที่น่าเกรงขาม ประชาชนล้วนเคารพในตัวเจ้า เจ้าคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรซือเว่ย แต่เจ้าไม่ใช่อันดับหนึ่งในเส้นทางหวังซิน เจ้าไม่สามารถสู้กับยอดฝีมือจากราชวงศ์อี้จื่อได้ หากไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาเห็นแก่หน้าข้า อาศัยเพียงสถานะของเจ้าตัวคนเดียว ป่านนี้เจ้าก็คงย่ำแย่ไปนานแล้ว…”
“เดี๋ยวก่อนนะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินขัดจังหวะขึ้นมาทันที “ได้ข่าวว่าก่อนหน้านี้ ท่านถูกจับตัวไปขังกรงอยู่ในเมืองเทียนหลางซิงไม่ใช่หรือ?”
“นั่นมันอุบัติเหตุ พวกมนุษย์ทะเลทรายมันชั่วร้ายมากเกินไป ข้าไม่ทันระวังตัว หากพวกมันรู้ว่าข้าเป็นองค์ชายจากราชวงศ์เกิงจิน...”
“ท่านจะถูกจับตัวไปขังกรง”
“หากข้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง แม้แต่องค์จักรพรรดิของราชวงศ์อี้จื่อก็ยังไม่กล้า…”
“ท่านถูกจับตัวไปขังกรง”
“เจ้า… เจ้ารู้หรือไม่ว่าราชวงศ์เกิงจินมีความน่าเกรงขามเพียงใด? ข้า…”
“ท่านถูกจับตัวไปขังกรง”
“ข้า… เจ้าช่วยพูดคำอื่นบ้างได้หรือไม่?”
“ย่อมได้ ข้าเป็นคนช่วยชีวิตท่าน”
“สหายน้อย ข้ามีสถานะไม่ธรรมดา เจ้าควรจะรู้นะว่าเมื่อออกไปจากเส้นทางหวังซินแล้ว ข้าก็จะ…”
“ข้าเป็นคนช่วยชีวิตท่าน”
“…”
ในที่สุด องค์ชายหลิงหวงฉีก็พูดอะไรไม่ออกอีกต่อไป
ให้ตายสิ
เขาไม่ทราบเลยว่าสมควรรับมือกับหลินเป่ยเฉินอย่างไรดี?
ทันใดนั้น
หลินเป่ยเฉินก็กระโดดลุกขึ้นยืน ปรบมือและยิ้มกริ่ม “ท่านลุง วิสัยทัศน์ของท่านช่างคับแคบเหลือเกิน ท่านมีตาหามีแววไม่ หึ ๆ ท่านอยากจะบอกอะไรข้ากันแน่? ท่านกำลังจะบอกว่าในเส้นทางหวังซิน ข้านั้นเป็นเพียงผู้อ่อนแอผู้หนึ่งใช่หรือไม่? และสถานะของข้านั้นก็ต่ำต้อยเกินไปที่จะครองรักกับหลิงเฉิน ความรักของพวกเรานอกจากจะทำให้นางมีปัญหาแล้ว มันยังจะเป็นภัยต่อตัวข้าเองสินะ? ท่านจึงอยากจะโน้มน้าวให้ข้าตัดใจจากหลานสาวของท่าน เมื่อพวกเราผ่านประตูขนส่งออกไปแล้ว พวกท่านก็จะแยกตัวเดินทางกลับอาณาจักรเกิงจิน ท่านต้องการจะบอกว่าข้ากับนางอยู่กันคนละโลก ไม่มีทางมาบรรจบพบกันได้เด็ดขาด”
“ไม่ใช่สักหน่อย”
องค์ชายหลิงหวงฉีส่ายหน้า
“อ้าว?”
หลินเป่ยเฉินอุทานด้วยความประหลาดใจ
องค์ชายหลิงหวงฉีกล่าวต่อไป “จริงอยู่ที่ข้าต้องการบอกว่าเจ้านั้นเป็นผู้อ่อนแอ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าเดินทางสู่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ แต่ข้าไม่ได้ต้องการกีดกันพวกเจ้า ข้าเพียงต้องการอยากจะย้ำเตือนให้เจ้าทราบว่า หากเจ้ารักหลิงเฉินจริง ๆ เจ้าก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจเผชิญหน้ากับคู่แข่งจำนวนมาก และส่วนใหญ่ก็เป็นองค์ชายผู้สูงศักดิ์ทั้งสิ้น หากเจ้าสามารถทำให้ตนเองทัดเทียมกับองค์ชายเหล่านั้นได้ ข้านี่แหละที่จะเป็นคนจับเจ้าให้แต่งงานกับหลิงเฉินเอง”
หลินเป่ยเฉินรีบเปลี่ยนท่าทีอย่างเร็วไว “ท่านลุง… สมแล้วที่ท่านเป็นคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่มีสถานะสูงส่ง สมควรได้รับความเคารพจากข้าน้อยเป็นอย่างยิ่ง”