เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1870 หลินเป่ยเฉินปรากฏตัว
ตอนที่ 1,870 หลินเป่ยเฉินปรากฏตัว
มนุษย์ทุกคนย่อมมีจุดอ่อนและจุดอ่อนของหลินเป่ยเฉินก็คือการห่วงใยคนอื่นมากเกินไป
“ฝันไปเถอะ”
“ปกป้องนายท่าน”
“พวกเราเตรียมตัวสู้”
เมื่อเฟิงซิงอวิ๋นและพรรคพวกเห็นท่าไม่ดี พวกเขาก็รีบวิ่งเข้ามาห้อมล้อมหวังจงโดยทันที
แม้พวกเขาจะไม่ทราบตัวตนที่แท้จริงของหวังจง แต่ทุกคนก็รู้ว่าพ่อบ้านชราผู้นี้เป็นบุคคลสำคัญของหลินเป่ยเฉินและก็เป็นบุคคลที่หวังเฟิงหลิวให้ความเคารพมากทีเดียว
หวังเฟิงหลิวเป็นคนที่แทบไม่เคยก้มหัวให้กับผู้ใดมาก่อน แต่เขากลับสั่งลูกสมุนให้คุ้มครองความปลอดภัยของหลินเป่ยเฉินและคณะด้วยชีวิตของตนเอง ต่อให้คนของกองโจรกระบี่อวตารต้องล้มตาย อย่างน้อยก็ต้องดูแลความปลอดภัยของพวกหลินเป่ยเฉินให้ได้
เพราะฉะนั้น เฟิงซิงอวิ๋นและพรรคพวกจึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าต่อให้ตนเองต้องตกตาย แต่พวกเขาก็ต้องคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ชายชราร่างอ้วนผู้นี้จนกว่าชีวิตจะหาไม่
แต่อย่างไรก็ตาม…
วูบ!
หวังจงโบกมือแผ่วเบา
“ข้าไม่จำเป็นต้องรับความช่วยเหลือจากพวกเจ้า”
เขากล่าว
คลื่นพลังที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าผลักดันกลุ่มคนให้ถอยหลังไปอย่างช้า ๆ
“ไม่เคยมีผู้ใดบังอาจกล่าววาจาเช่นนี้ต่อหน้าข้ามานานแล้ว”
หวังจงก้าวเดินออกไปข้างหน้าอย่างแช่มช้า คลื่นพลังแปลกประหลาดค่อย ๆ ปลดปล่อยออกมาจากร่างกาย รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปาก ก่อนกล่าวว่า “เป็นเพียงเศษฝุ่นต่ำต้อยกลับทำตัววางท่าใหญ่โต… ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าวันนี้ข้าจะ…”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
แสงสว่างเรืองรองก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังหวังจง
เพียะ!
แล้วฝ่ามือพิฆาตก็ตบเข้าท้ายทอยหวังจงอย่างแรง
“ไม่เจอกันเพียงไม่กี่วัน เดี๋ยวนี้เจ้าพูดจาใหญ่โตเช่นนี้แล้วหรือ?”
ร่างของหลินเป่ยเฉินปรากฏขึ้น
เขาได้ยินคำพูดของหวังจงทุกถ้อยคำ
ช่างทำตัวยโสโอหังเกินไปแล้ว
ถึงกับไม่เห็นศัตรูอยู่ในสายตา
แต่ความกล้าหาญระดับนี้… นับว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมจริง ๆ
“นายน้อย?”
หวังจงตื่นตกใจและถามว่า “ทำไมนายน้อยกลับมาเร็วจัง?”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ก็เพราะข้าเลื่อนขั้นพลังได้แล้วไงล่ะ… ช่างบังเอิญเหลือเกินที่พวกเจ้ามารวมตัวกันอยู่บริเวณนี้อีกครั้ง”
นี่คือบริเวณเดียวกับที่เขาพาพวกของหวังเฟิงหลิว เยว่หงเซียงและคนอื่น ๆ หลบหนีไปเมื่อหลายวันก่อน
ช่างบังเอิญเหลือเกินที่ตำแหน่งซึ่งเรือเหาะซื่อเหยียนกำลังลอยลำอยู่ในขณะนี้เป็นตำแหน่งเดิมกับที่หลินเป่ยเฉินหลบหนีไปพอดี
กู่โจวและลูกสมุนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามทั้งประหลาดใจและดีใจในเวลาเดียวกัน
พวกเขาประหลาดใจที่ชายชราท่าทางร้ายกาจผู้นั้นไม่ใช่หลินเป่ยเฉิน
แต่พวกเขาก็ดีใจที่หลินเป่ยเฉินตัวจริงปรากฏกายออกมาในที่สุด
“ฆ่ามัน”
กู่โจวไม่เสียเวลาชักช้าออกคำสั่งให้ลูกสมุนโจมตีหลินเป่ยเฉินโดยเร็ว
ครั้งนี้ เขาจะไม่ปล่อยให้เด็กหนุ่มผู้มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้หลบหนีไปได้อีก
ร่างของหลินเป่ยเฉินเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด เขาเผชิญหน้ากับกู่โจวกลางอากาศและเพียงดีดเท้าเล็กน้อย ตัวคนก็พุ่งเป็นลำแสงถอยห่างออกไปหลายลี้ “ไม่ต้องกลัว รับรองว่าครั้งนี้ข้าไม่หนีแน่ และหวังว่าเจ้าก็คงไม่คิดหนีเช่นกัน”
กู่โจวระเบิดเสียงคำราม ร่างกายปกคลุมด้วยลำแสงสีทองคำ แล้วเขาก็ขยายร่างใหญ่ขึ้นจนมีความสูงถึงสิบแปดจั้ง กู่โจวในร่างของยักษ์ใหญ่ลอยตัวขึ้นไปข้างหน้าและตั้งใจจะยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบขยี้หลินเป่ยเฉินให้บี้แบน
“เจ้าคิดว่าตนเองขยายร่างได้คนเดียวหรือไง”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะ กล้ามเนื้อโป่งพองขึ้นมา เสื้อคลุมฉีกขาด ลำแสงสีเงินปกคลุมร่างกาย แล้วเด็กหนุ่มก็กลายร่างเป็นยักษ์ใหญ่ที่มีความสูงสิบแปดจั้งเช่นกัน “ฮ่า ๆๆ เตรียมตัวรับการโจมตีให้ดีเถอะ”
เมื่อได้เลื่อนขั้นขึ้นสู่ขอบเขตจอมเทพจักราขั้นกลางแล้ว พลังปราณและพละกำลังในร่างกายของเด็กหนุ่มก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เช่นเดียวกับความสูงที่มากถึงสิบแปดจั้ง และนั่นก็ทำให้เขาไม่ได้เป็นรองผู้ใช้สายเลือดผู้คงกระพันอย่างกู่โจวอีกแล้ว
“กระบวนท่าสะบั้นฟ้า!”
ตู้ม!
ในห้วงอวกาศอันเวิ้งว้าง ร่างของยักษ์ใหญ่สองคนกำลังต่อสู้กันในระยะประชิดตัวด้วยความดุเดือดเลือดพล่าน
โจวต้าเฟิงเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความอำมหิตขณะร้องตะโกนว่า “เร็วเข้า รีบจับตัวคนพวกนี้ไว้ อย่าให้หนีรอดไปได้เด็ดขาด”
แล้วบรรดายอดฝีมือของหอการค้าไท้กู่ก็พากันปิดล้อมเพื่อสังหารพวกของเฟิงซิงอวิ๋น
หวังจงหดคอลงและถอยหลังกลับ
ดวงตาของเฟิงซิงอวิ๋นและพรรคพวกเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้นและพร้อมแล้วที่จะต่อสู้จนตัวตาย
แต่ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงหลินเป่ยเฉินดังกังวานมาจากระยะไกลว่า…
“อากวง ฝากจัดการพวกมันให้ข้าด้วย!”
เสียงตะโกนของเด็กหนุ่มดังกึกก้องในหูของทุกคน
หลังจากนั้น…
“จี๊ด!”
เสียงร้องแหลมสูงก็ดังขึ้น
เป็นเสียงร้องของหนูตัวหนึ่ง
แล้วท่ามกลางกลุ่มคนที่กำลังถูกปิดล้อมจากรอบทิศทาง หนูยักษ์ตัวหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้น
ขนสีเงินบนลำตัวของมันส่องแสงสว่างไสวไม่ต่างจากแสงจันทร์ กล้ามเนื้อบนร่างกายกำยำ ดวงตาแดงก่ำ จิตสังหารหนาแน่นไม่ต่างจากยมทูตที่ขึ้นมาจากนรกเพื่อเก็บเกี่ยววิญญาณของผู้คน
กลุ่มคนของหอการค้าไท้กู่เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของอากวง พวกเขาก็พากันยืนตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัวทันที
และเมื่อสิ้นเสียงร้องของเจ้าหนูยักษ์ ร่างกายของมันก็ขยายขนาดขึ้นไม่ต่างจากหลินเป่ยเฉิน เพียงพริบตาเดียว อากวงก็มีความสูงถึงสี่จั้ง กรงเล็บของมันมีความยาวถึงหนึ่งจั้งเศษ และกรงเล็บของมันก็สาดแสงเป็นประกายวูบวาบ กลุ่มคนของหอการค้าไท้กู่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว พวกเขาก็ต้องกลายเป็นศพไร้หัวไปเป็นจำนวนมาก
ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็ตกตะลึง
กรงเล็บของเจ้าหนูยักษ์สาดประกายอีกครั้ง
ทันใดนั้น พายุฝนโลหิตก็โปรยปราย
ในรัศมีห้าวา บรรดายอดฝีมือของหอการค้าไท้กู่ต่างก็ถึงแก่ความตายหมดสิ้น
นับเป็นการลงมือโจมตีที่อำมหิตและป่าเถื่อน
แม้แต่หวังจงก็ยังต้องตกตะลึง
เจ้าหนูอากวงโหดเหี้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
เขาชำเลืองมองไปที่หลินเป่ยเฉินซึ่งกำลังต่อสู้พัวพันอยู่กับกู่โจว ทันใดนั้น พ่อบ้านชราก็เข้าใจอะไรบางอย่าง
บัดนี้ นายน้อยกำลังแบ่งปันพลังของตนเองมาให้แก่อากวง อากวงจึงได้มีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
และโชคดีที่เจ้าหนูอากวงสามารถปลดผนึกพลังแห่งสายเลือดสัตว์อสูรผู้กลืนกินได้สำเร็จ มิฉะนั้นแล้ว ร่างกายของมันคงรับการแบ่งปันพลังจากนายน้อยไม่ไหวแน่ ๆ
หวังจงเก็บมือเข้าไปในแขนเสื้อและถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า
ตอนแรก เขานึกว่าวันนี้จะเป็นโอกาสดีที่ตนเองจะได้แสดงฝีมือ แต่ผู้ใดจะไปคิดเลยว่าในภาวะคับขัน นายน้อยกลับปรากฏตัวขึ้นมาตบศีรษะของเขาเสียอย่างนั้น
แต่ไม่เป็นไรหรอก ยิ่งหวังจงแสดงฝีมือช้ามากเท่าไหร่ นายน้อยก็ยิ่งมีเวลาได้เตรียมตัวเตรียมใจมากเท่านั้น
แม้นี่จะไม่ใช่แผนการที่หวังจงวางเอาไว้ แต่มันก็มีความปลอดภัยมากกว่ากันหลายเท่า