เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 528 สมแล้วที่เป็นอาจารย์
ตอนแรก หลินเป่ยเฉินก็เพียงอยากเดินขบวนประท้วงเพื่อเรียกร้องให้ทางจวนผู้ว่าปล่อยตัวฉุยหมิงโหลวกับเถียนเถียนออกมาจากคุกใต้ดิน แต่บัดนี้ ความโกรธแค้นและความเศร้าโศกได้ปะทุขึ้นในจิตใจของเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เมืองหยุนเมิ่งเปลี่ยนแปลงไปโดยสมบูรณ์
ประเด็นสำคัญก็คือชาวเมืองต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยความทรมานกับสายน้ำที่หลั่งไหล
พื้นที่ซึ่งเคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเมืองจำนวนมากกลับกลายเป็นแม่น้ำ อาคารบ้านเรือนจมหายลงไปอยู่ใต้บาดาล และสองฝั่งของแม่น้ำนั้นก็มีแต่บ้านเรือนที่มีลักษณะเหมือนรังนก ชาวเมืองส่วนใหญ่ถูกบังคับให้อาศัยอยู่ในสถานที่ซอมซ่อเช่นนี้ มันไม่เหมือนกับเป็นบ้านคน แต่เป็นค่ายพักผู้ลี้ภัยมากกว่า
ตลอดเส้นทาง หลินเป่ยเฉินพบเห็นได้ว่าชาวทะเลดูถูกมนุษย์เหลือเกิน
แม้แต่โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งก็ยังเปลี่ยนเจ้าของแล้ว
เถ้าแก่คนปัจจุบันเป็นชายชราผู้สวมใส่กระดองเต่าจากชาวทะเล และบรรดาคนรับใช้ในโรงเตี๊ยมก็มีทั้งชาวทะเลและมนุษย์รวมอยู่ด้วย ผู้ที่เดินเข้าออกโรงเตี๊ยมส่วนใหญ่ถ้าไม่เป็นมือกระบี่ต่างถิ่นก็ต้องเป็นพ่อค้าวาณิช และบนประตูทางเข้าที่เคยแขวนป้ายขนาดใหญ่เขียนข้อความว่า ‘ไม่ต้อนรับหลินเป่ยเฉินและพวกพ้อง’ ก็เปลี่ยนใหม่กลายเป็น ‘ไม่ต้อนรับสุนัขข้างถนนและประชากรชั้นสี่’
ชาวทะเลแบ่งแยกพื้นที่การปกครองด้วยการสร้างม่านพลังขึ้นมากั้นอาณาเขต
ชาวทะเลที่มีสถานะสูงส่งจะได้อยู่ในเขตที่มีความสะดวกสบายมากที่สุด มีสถานะสูงส่งมากที่สุด
ส่วนชาวทะเลที่มีสถานะเป็นพลเรือนธรรมดา จะได้อยู่ในเขตประชาชนชั้นสอง มีสถานะต่ำต้อยรองลงมา
ส่วนชาวทะเลผู้มีสถานะเป็นคนรับใช้จะต้องแขวนป้ายประจำตัวเอาไว้ตลอดเวลา และอยู่ในเขตของประชาชนชั้นสาม เป็นที่ดูถูกดูแคลนของชาวทะเลด้วยกันเอง
แต่ผู้ที่มีสถานะต่ำต้อยมากที่สุดก็คือชาวเมืองหยุนเมิ่งผู้ไม่มีป้ายประจำตัว และปฏิเสธที่จะเปลี่ยนศาสนามานับถือเทพเจ้าแห่งท้องทะเล บุคคลเหล่านี้ไม่ถือเป็นสิ่งมีชีวิตในสายตาของชาวทะเล ทำให้ถูกเรียกขานว่าเป็นประชากรชั้นสี่ และอาศัยอยู่ในเขตที่สกปรกโสมมมากที่สุดของตัวเมือง
ประชากรชั้นสี่จะไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียง ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับชะตากรรมไปวันๆ
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าพวกเขาจะสามารถคิดแผนการก่อกบฏได้อย่างไร
ดังนั้นต่อให้เถ้าแก่ร้านขายยาอย่างอานมู่ซีจะมีฐานะร่ำรวยสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังถูกจับตัวไปอยู่ดี เพราะไม่มีคนคอยคุ้มครองความปลอดภัยให้กับเขาได้นั่นเอง
ผู้คนที่เข้าร่วมการเดินขบวนประท้วงมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
บรรยากาศทวีความเร่าร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
ชาวทะเลกลุ่มหนึ่งพยายามมาปิดกั้นทางขึ้นสะพานโครงกระดูกฝั่งตะวันออก แต่ในไม่ช้า ก็ไม่สามารถต้านทานกระแสผู้คนได้อีกแล้ว
แน่นอนว่าเมื่อมีหลินเป่ยเฉินเป็นผู้นำขบวน ภายในเวลาเพียงพริบตาเดียว นายทหารชาวทะเลกลุ่มนั้นก็แยกย้ายสลายตัว… ส่งผลให้ขบวนประท้วงเดินมาถึงลานจัตุรัสอย่างรวดเร็ว
ชาวเมืองหยุนเมิ่งเกือบหนึ่งหมื่นคนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว
การประหารชีวิตถูกขัดจังหวะ
เฉียนหยวนกังกำลังจะนำกลุ่มนายทหารที่คุมตัวพวกของอานมู่ซีออกไปเผชิญหน้ากับผู้บุกรุก
ทันใดนั้น สะพานโครงกระดูกที่อยู่ด้านหลังพลันสั่นสะเทือน
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ปลาหมึกยักษ์และบรรดาอสูรทะเลที่อาศัยอยู่ใต้น้ำพลันโผล่พ้นขึ้นมาบนผิวน้ำ พวกมันมีร่างกายขนาดใหญ่โต ยามปรากฏตัวก็ทำให้มวลอากาศปั่นป่วน และดวงตาเหล่านั้นก็มีขนาดใหญ่ยักษ์ราวกับเป็นดวงตะเกียงจากนรก
ปรากฏเรือรบลำหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากใต้น้ำเช่นกัน
ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากทุกทิศทาง
กองทัพของชาวทะเลและมนุษย์ที่สวมใส่ชุดเกราะกระดองโอบล้อมเข้ามาจากทุกๆ ด้าน
สถานการณ์พลิกกลับตาลปัตรอย่างรวดเร็ว
ชาวเมืองหยุนเมิ่งเกือบหมื่นชีวิตพลันถูกห้อมล้อมอยู่ในลานจัตุรัสหน้าจวนผู้ว่า ไม่ต่างไปจากลูกแกะที่รอเวลาถูกเชือด
นายทหารชาวทะเลปรากฏตัวออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
หลินเป่ยเฉินเห็นดังนั้นก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
สถานการณ์แบบนี้มันไม่ถูกต้อง
นี่แสดงว่าพวกชาวทะเลวางแผนไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว พวกมันรอคอยให้กลุ่มผู้ประท้วงเดินขบวนมาที่นี่อยู่แล้ว
ว่าแต่ทำไมพวกเขาไม่มีใครเอะใจคิดสงสัยเลยสักคนหรือไง?
เด็กหนุ่มหันไปมองหน้าฉู่เหิน พานเว่ยหมินและหลิวฉีไห่ด้วยความเหนื่อยใจ
ก่อนหน้านี้ ถ้าจะบอกว่าเขาตัดสินใจด้วยความวู่วาม แล้วทำไมอาจารย์อาวุโสทั้งสามท่านไม่คิดจะห้ามปรามกันบ้างเลยหรือ?
ปล่อยตัวอาจารย์ของพวกเราออกมาเดี๋ยวนี้…
พวกเราขอประท้วง!
พวกเราไม่ใช่ผักปลาที่พวกเจ้าจะมาฆ่าทิ้งได้ง่ายๆ นะ
ฝูงชนส่งเสียงตะโกน
จังหวะนั้น…
ปู๊นนน!
ได้ยินเสียงเป่าหอยสังข์ขนาดยักษ์ดังออกมาจากจวนผู้ว่า
แล้วนายทหารที่เป็นมนุษย์กุ้งหลายร้อยชีวิตซึ่งสวมใส่ชุดเกราะสีแดงสดมีร่างกายสูงใหญ่กำยำก็เดินขบวนออกมาจากด้านในจวนผู้ว่า ด้านหลังนั้นยังมีขบวนม้าน้ำอีก 20 กว่าตัวควบขี่ตามมา บนหลังของม้าน้ำยักษ์เหล่านั้นเป็นนายทหารในชุดเกราะโลหะสีดำแดง สถานะคงไม่ต่ำต้อย ใบหน้าถูกปกคลุมด้วยหมวกเหล็กทำให้ไม่มีใครสามารถมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริง…
กองทัพนายทหารผู้แข็งแกร่งเหล่านี้แยกย้ายไปทางซ้ายและทางขวา
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความตึงเครียด
นี่อย่างกับฉากในละครโทรทัศน์ที่เขาเคยดูไม่มีผิด
ถัดจากนี้ ก็ต้องเป็นการเปิดตัวพวกคนใหญ่คนโตของเหล่าชาวทะเลเป็นแน่แท้
และมันก็เป็นอย่างที่เด็กหนุ่มคิดจริงๆ
ไม่กี่ลมหายใจต่อมา เสียงการย่ำฝีเท้าที่มีจังหวะจะโคนไม่ต่างไปจากการย่ำกลองรบก็ดังขึ้น ประตูจวนผู้ว่าเปิดออกกว้าง แล้วเกี้ยวของชาวทะเลหลังหนึ่งก็ถูกแบกหามออกมาจากด้านในอย่างแช่มช้า…
เกี้ยวหลังนี้มีความงดงาม
มันมีขนาดกว้างใหญ่เหมือนรถยนต์หนึ่งคัน
ตัวเกี้ยวหลอมขึ้นมาจากทองคำบริสุทธิ์ ด้านข้างเป็นบันไดเหล็กมิธริลเก้าขั้น แต่ละขั้นประดับด้วยไข่มุกที่มีขนาดเท่ากำปั้นมือคน รวมไปถึงปะการังสีแดงสดที่เป็นสมบัติหายากบนโลกใบนี้ อีกทั้งรอบๆ เกี้ยวยังประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ทะเลและปะการังทองคำดูสวยงามตระการตาเป็นที่สุด
หน้าต่างของเกี้ยวหลังนี้มีม่านพลังสายน้ำขึงกั้นแทนผ้าม่านปกติ
เครื่องประดับทุกชิ้นที่อยู่บนตัวเกี้ยวล้วนแต่เป็นของวิเศษมีพลังเสริมปราณธาตุน้ำ ช่วยปลดปล่อยความชื้นในอากาศ ร่างของผู้โดยสารทั้งสองคนที่อยู่ด้านในเกี้ยวถูกปกคลุมด้วยม่านพลังสายน้ำเหล่านั้น นอกจากจะมองไม่เห็นใบหน้าแล้ว แม้แต่เงาร่างของผู้คนก็สามารถมองเห็นได้เพียงเลือนรางเท่านั้น…
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
นี่สินะเกี้ยวของพวกคนรวยขนานแท้
ช่างเลอค่าเสียเหลือเกิน
แถมยังใช้ประโยชน์ได้มากกว่าการเดินทางอีกด้วย
แต่ดูหน้าตาของคนที่แบกเกี้ยวทั้งสี่มุมนั้น เห็นได้ชัดว่าคงมีน้ำหนักไม่ใช่น้อย
ผู้ที่ทำหน้าที่แบกเกี้ยวเป็นชาวทะเลสายพันธุ์พะยูนหางกลมหรือในอีกชื่อหนึ่งว่ามนุษย์วัวทะเล พวกมันได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีพละกำลังแรงกายมหาศาลมากที่สุดในกลุ่มเผ่าพันธุ์ชาวทะเลด้วยกัน แต่มนุษย์พะยูนหางกลมทั้งสี่ตัวเหล่านี้ต่างก็มีใบหน้าเหยเกที่บอกถึงการรีดเค้นพลังออกมาจากทุกส่วนของร่างกาย แต่ถึงกระนั้น ฝีเท้าของพวกมันก็ยังก้าวเดินออกมาข้างหน้าได้แม้จะเชื่องช้าเป็นอย่างยิ่งก็ตาม
ทุกครั้งที่พวกมันก้าวเท้าเดิน พื้นดินจะสั่นสะเทือน และมีเสียงตึงตังเหมือนการย่ำกลองรบ
องค์หญิงแห่งท้องทะเลปรากฏตัวแล้ว ฉู่เหินส่งเสียงกระซิบกระซาบ นางนั่งอยู่ด้านในเกี้ยวพร้อมกับพระสวามีที่มีสถานะเป็นราชาแห่งท้องทะเลคนปัจจุบัน
ท่านกำลังหมายถึงอาจารย์ติงใช่ไหมขอรับ?
หลินเป่ยเฉินกระซิบถาม…
ฉู่เหินพยักหน้า
แม่เจ้าโว้ย
หลินเป่ยเฉินถึงกับมีสีหน้าอิจฉาริษยาวาสนาของอาจารย์ตัวเองขึ้นมาแล้ว
ขนาดบุคคลที่มีหน้าตาหล่อเหลาที่สุดในโลกอย่างเขา ก็ยังไม่สามารถหาภรรยาที่ประเสริฐเลิศล้ำอย่างอาจารย์ติงได้เลย
อาจารย์ติงนับเป็นหนูตกถังข้าวสารที่แท้จริง และความเป็นจริงข้อนี้ก็บดขยี้หัวใจของหลินเป่ยเฉินไม่เหลือชิ้นดี
สมแล้วที่เป็นอาจารย์ของเขา
หรือว่าอาจารย์จะมีเคล็ดลับพิเศษอะไรหรือเปล่านะ?
เจ้าพวกเศษสวะ บังอาจเหยียบย่ำขึ้นมาบนเกาะส่วนตัวของท่านเจ้าเมือง รู้ไหมว่าความผิดในครั้งนี้มีโทษทัณฑ์สถานใด? นักรบในชุดเกราะโลหะสีแดงผู้ควบขี่ม้าน้ำยักษ์คนหนึ่งตอนแรกก็ระเบิดเสียงคำราม แต่เมื่อเข้ามาใกล้พวกของหลินเป่ยเฉิน เขาก็ลดเสียงลงเป็นกระซิบว่า มาทางไหนรีบกลับไปทางนั้น มิฉะนั้นแล้ว วันนี้พวกเจ้าได้โดนสังหารหมู่แน่
เสียงนี้ช่างคุ้นหูเหลือเกิน
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็ถึงกับชะงักกึก และกระซิบถามกลับไป ท่านคือผู้อาวุโสเฒ่าทะเลใช่ไหมขอรับ?
แม่ทัพคนนั้นยกกระบังหมวกที่ปิดตาขึ้น
เปิดเผยให้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย เช่นเดียวกับเส้นผมที่ยาวรุงรังเหมือนสาหร่ายทะเล
ถ้าไม่ใช่เฒ่าทะเลแล้วจะเป็นใครไปได้อีก?
เจ้าฟื้นขึ้นมาแล้วหรือ? ทำไมไม่นอนพักผ่อนต่อไป ออกมาสร้างความวุ่นวายทำไม? ข้าจะถือว่าเจ้าเพิ่งฟื้นสติขึ้นมา ยังไม่เป็นตัวของตัวเองก็แล้วกัน เฒ่าทะเลขมวดคิ้วนิ่วหน้า และเพื่อเห็นแก่มิตรภาพของพวกเราในอดีต ข้าจะปล่อยผ่านความผิดของพวกเจ้าทุกคนไปในวันนี้ หลินเป่ยเฉิน เจ้าจงรีบออกไปจากเมืองหยุนเมิ่งซะ
หลินเป่ยเฉินยังไม่ทันจะได้พูดอะไร แม่ทัพในชุดเกราะโลหะสีแดงอีกคนหนึ่ง ก็ขี่ม้าน้ำยักษ์เข้ามาหัวเราะเยาะอยู่ด้านข้าง
แม่ทัพคนนั้นพูดกับเฒ่าทะเลด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า จะให้มันออกไปจากเมืองนี้งั้นหรือ? อย่าลืมสิว่ามันฆ่านายทหารของพวกเราตายไปตั้งกี่คน มิหนำซ้ำ ยังบุกรุกสะพานโครงกระดูกโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงก่อความไม่สงบที่จวนผู้ว่า ความผิดร้ายแรงเหล่านี้ มิตรภาพของพวกเจ้าหาได้มีค่าไม่ หรือว่าเจ้าคิดจะปล่อยอาชญากรให้ลอยนวลไปโดยไม่ต้องรับโทษ?
แม่ทัพคนนี้มีร่างกายใหญ่โตผิดมนุษย์มนา ชุดเกราะโลหะที่สวมใส่อยู่ก็เหมือนกับจะงอกออกมาจากร่างกายตามธรรมชาติ เมื่อเขาเปิดกระบังหมวกที่ปิดตาขึ้น ก็เปิดเผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงซึ่งมีลักษณะเหมือนใบหน้าของฉลามตัวหนึ่ง
นี่คือหนึ่งในแม่ทัพคนสำคัญของชาวทะเล เขาเป็นจ่าฝูงสายพันธุ์ฉลาม มีฉายาว่าแม่ทัพคลื่นทมิฬอู๋หยา ยามออกรบไม่เคยพ่ายแพ้ให้แก่ศัตรู และมีมนุษย์ต้องตกตายด้วยน้ำมือของเขาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว นอกจากจะมีฝีมือสูงล้ำ จิตใจยังอำมหิตและวิปริตจนข้าไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้อีกแล้ว…
ฉู่เหินเอนตัวเข้ามากระซิบข้างหูหลินเป่ยเฉิน