เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 586 กระดองเต่าของเจ้าดูสวยดี
เจ้าเต่าทะเลปากมาก
หลินเป่ยเฉินคำรามด้วยความไม่พอใจเช่นกัน หยุดพูดเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้าจะฆ่าเจ้า
กุยเหนียนใบหน้ากระตุก
เจ้า…
มันเป็นที่ปรึกษาเต่าทะเล มีสถานะสูงส่งในกลุ่มชาวทะเลด้วยกัน จึงไม่ต้องพูดถึงเลยว่ากุยเหนียนจะดูถูกดูแคลนมนุษย์บนแผ่นดินใหญ่ขนาดไหน และบัดนี้ มันก็กำลังจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉินพร้อมกับกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้น
แต่เมื่อสัมผัสได้ว่าหลินเป่ยเฉินกำลังมองมาด้วยแววตาดุดันของจริง และเมื่อมนุษย์เต่าทะเลกุยเหนียนนึกถึงภาพการตายอย่างน่าอนาถของ ‘แม่ทัพฉลามอู๋หยาแห่งหน่วยรบคลื่นทมิฬ’ บนเวทีประลอง สันหลังของมันก็เย็นวาบ อารมณ์ที่เดือดดาลเมื่อสักครู่สุดท้ายก็สลายหายไป
ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องอยากจะแจ้งให้พวกเจ้าชาวเมืองหยุนเมิ่งได้รับทราบ
เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้ว กุยเหนียนก็นำเศษกระดองเต่าแผ่นหนึ่งออกมาวางไว้บนโต๊ะหินตรงหน้าหลินเป่ยเฉิน ก่อนนั่งลงและพูดว่า พวกเรากำลังจะจัดการประลองในอีกสองวันต่อจากนี้ ทางเจ้าเตรียมตัวผู้ที่จะขึ้นไปประลองเอาไว้ให้ดี
การประลอง?
จะประลองอะไรกันอีก?
หลินเป่ยเฉินหยิบเศษกระดองเต่าขึ้นมาดู
มีตัวอักษรเขียนอยู่บนแผ่นกระดองเต่าสองประโยค
ประโยคแรกเป็นภาษาของชาวทะเล
ประโยคต่อมาเป็นภาษามนุษย์
หลังจากเด็กหนุ่มอ่านจบแล้ว หัวคิ้วของเขาก็ขมวดมุ่น การประลองครั้งก่อน เราได้ผลแพ้ชนะกันไปแล้วไง ทำไมถึงจะต้องกลับไปประลองต่อจากเดิมอีก?
เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของหลินเป่ยเฉิน อารมณ์ที่เย็นลงแล้วของมนุษย์เต่าทะเลกุยเหนียนก็กลับมาปะทุเดือดอีกครั้ง
ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ กติการะบุว่าทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องต่อสู้ให้ครบทั้งห้าคู่ ฝ่ายใดสามารถเก็บชัยชนะได้สามในห้า จึงถือว่าเป็นผู้ชนะ แต่พวกเจ้าในวันนั้นยังไม่ได้ออกมาสู้ต่ออีกสองคู่ให้ครบตามกำหนด เท่ากับว่าการประลองยังไม่สิ้นสุด และถ้าอีกสองวันต่อจากนี้พวกเจ้าไม่ไปประลอง ก็จะถือว่าฝ่ายมนุษย์มีความผิดโทษฐานตั้งใจละเมิดกฎการต่อสู้
แต่พูดมาถึงตรงนี้ ที่ปรึกษาเต่าทะเลก็กลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง ข้าได้แต่หวังว่าเจ้าจะมีความกล้าหาญมากพอที่จะกลับไปสู้ต่อก็แล้วกัน
เจ้าเต่าทะเลบัดซบ
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะ ไม่คิดว่าตนเองหน้าด้านเกินไปหน่อยหรือไง?
จากตอนแรกถูกเรียกว่าเป็นเต่าทะเลปากมาก มาตอนนี้ก็ถูกเรียกว่าเป็นเต่าทะเลบัดซบ นั่นกลับไม่ได้ทำให้กุยเหนียนรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาอีกแล้ว มันเพียงแต่ยิ้มและกล่าวต่อ เจ้าก็ควรศึกษากฎกติกาให้ละเอียดหน่อยสิ
กติกากับผีน่ะสิ
หลินเป่ยเฉินสวนกลับไปด้วยความเดือดดาล นักบวชหรงอะไรนั่นที่เป็นคนออกคำสั่งอยู่บนแผ่นกระดองเต่าของเจ้า ข้าไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่การประลองต่อจากเดิมครั้งนี้ คงมาจากความคิดของเขาเป็นแน่แท้ เจ้ากลับไปบอกมันนะว่าอย่ามาก่อความวุ่นวายแถวนี้ ไม่งั้นข้าจะระเบิดกระดองเต่าของมันให้กระจุยในพริบตาเดียว
ข้าขอแนะนำให้เจ้าโปรดระมัดระวังคำพูดมากกว่านี้
มนุษย์เต่าทะเลกุยเหนียนยิ้มมุมปาก นักบวชหรงเป็นหนึ่งในแปดนักบวชศักดิ์สิทธิ์ประจำมหาวิหารสมุทรของอาณาจักรใต้ทะเล นางมีสถานะเป็นผู้ส่งสาส์นของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล หากเจ้าลบหลู่ดูหมิ่นนักบวชหรง ก็เท่ากับว่ากำลังลบหลู่ดูหมิ่นเทพเจ้าแห่งท้องทะเลด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้น เจ้าอย่าได้ประเมินพลังของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลต่ำมากเกินไป
หืม?
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ แต่พวกเจ้าอย่าลืมสิว่าข้าก็เป็นตัวแทนของเทพีกระบี่เหมือนกัน ในเมื่อพวกเราต่างก็มีเทพเจ้าคอยหนุนหลัง หรือว่าจะให้นักบวชหรงออกมาสู้กับข้าตัวต่อตัวดีหรือไม่?
สู้กันตัวต่อตัวอย่างนั้นหรือ?
รอยยิ้มขบขันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกุยเหนียน
คุณชายหลิน เจ้ามีฝีมือการต่อสู้ไม่ธรรมดาก็จริง แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้านักบวชหรง เกรงว่าความยิ่งใหญ่ทั้งหมดในตัวเจ้าคงกลายเป็นเพียงสิ่งไร้ประโยชน์แล้ว
มนุษย์เต่าทะเลพูด
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูง กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่ในทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็หวนนึกถึงมังกรเขียวที่ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าเมืองหยุนเมิ่งเมื่อวันก่อน และเขาก็จำได้ดีว่าบนหัวมังกรเหมือนมีใครบางคนกำลังยืนอยู่
หรือว่าคนที่ยืนอยู่บนหัวมังกรผู้นั้นจะเป็นนักบวชหรง?
ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะก็…
เอ่อ
ตัดสินใจลำบากเหมือนกันแฮะ
แต่เขาจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในการสนทนาครั้งนี้ไม่ได้เด็ดขาด
มดแมลงอย่างนักบวชหรงของพวกเจ้าน่ะหรือ ฮ่าฮ่าฮ่า เจอข้าเอาจริงเพียงกระบวนท่าเดียว เดี๋ยวมันก็ตายแล้ว
หลินเป่ยเฉินยังคงพูดต่อไปด้วยสีหน้าถือดีไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าหัวใจจะเต้นรัวเร็วแล้วก็ตาม กลับไปบอกนักบวชหรงของเจ้านะว่า ข้าก็อยู่ส่วนข้า นางก็อยู่ส่วนนาง เราอย่ามาข้องเกี่ยวกันเลยดีกว่า เพราะบัดนี้ ข้าไม่มีเวลามาเล่นสนุกกับพวกสัตว์ใต้ทะเลอย่างพวกเจ้าอีกแล้ว
กุยเหนียนหัวเราะในลำคอ ข้าจะนำคำพูดของเจ้าทั้งหมด กลับไปกราบเรียนองค์หญิงแห่งท้องทะเลและนักบวชหรงทุกถ้อยคำ หวังว่าเจ้าคงไม่นึกเสียใจในภายหลังก็แล้วกัน
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความฉุนเฉียว นี่เจ้ากำลังข่มขู่ข้าอยู่หรือ?
กุยเหนียนตอบกลับเสียงเรียบ ข้าเพียงอธิบายข้อเท็จจริงให้ฟังว่าเจ้าควรระมัดระวังคำพูดมากกว่านี้ ถึงเจ้าจะเป็นหลินเป่ยเฉินผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่มีข้อยกเว้น
หลินเป่ยเฉินพลันยกมือขึ้นนวดขมับตนเอง และพูดด้วยน้ำเสียงแฝงความอำมหิตเอาไว้ไม่น้อย กระดองเต่าบนหลังเจ้าสวยดีเหมือนกันนี่นา ไม่ทราบว่าเจ้ามีอายุเท่าไหร่แล้ว? ถ้าถอดออกมาตากแดดให้แห้ง น่าจะใช้แทนลูกแก้วดูดวงได้เลยนะเนี่ย
สีหน้าของมนุษย์เต่าทะเลเปลี่ยนแปลงไปทันที คุณชายหลินอย่าได้พูดจาล้อเล่นเช่นนี้
เปล่าล้อเล่นสักหน่อย
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไป ข้ากำลังพูดจริงอยู่ต่างหาก
กุยเหนียนพูดอะไรไม่ออก
คุณชายหลิน ข้าไม่ได้มีเจตนาจะข่มขู่เจ้า
รอยยิ้มที่จริงใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมนุษย์เต่าทะเล นักบวชหรงมาจากมหาวิหารใต้สมุทร แม่ทัพฉลามอู๋หยาเป็นหนึ่งในลูกศิษย์คนโปรดของนาง ครั้งนี้ นักบวชหรงถึงกับเดินทางขึ้นบกมาพร้อมกับน้ำตาเทพเจ้า มันเป็นเครื่องรางที่สามารถควบคุมกองทัพชาวทะเลได้ทั้งหมดโดยไม่มีข้อแม้ แม้แต่องค์หญิงแห่งท้องทะเลก็ยังไม่สามารถขัดคำสั่งของนักบวชหรงได้อีกแล้ว…
น้ำตาเทพเจ้าอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ อดถามออกไปไม่ได้ว่า มันคืออะไร? ใช่เป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกับดาวนำโชคหรือไม่?
เจ้ารู้จักดาวนำโชคได้อย่างไร? กุยเหนียนเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจสุดขีด แน่นอนว่ามันย่อมเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน แต่น้ำตาเทพเจ้าเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในมหาวิหารใต้สมุทร ส่วนดาวนำโชคนั้นเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ที่จะถูกมอบหมายให้แก่ผู้ที่ถูกเลือกบนแผ่นดินใหญ่เท่านั้น และมันก็มีพลังมากกว่าน้ำตาเทพเจ้าหลายเท่า
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้น ท้องไส้พลันปั่นป่วนขึ้นมาทันที
ที่ผ่านมา เขาวิตกกังวลเกินเหตุจริงๆ
ทันใดนั้น คุณชายหลินปั้นสีหน้ายิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดีและพูดว่า ข้าอยากรู้จังเลยว่าดาวนำโชคมีหน้าตาเป็นอย่างไร ช่วยวาดให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่
เขาจำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้งว่า ของขวัญที่ธิดาอู๋ไห่จือตี้มอบมาให้นั้น เป็นดาวนำโชคซึ่งถือเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ของชาวทะเลจริงหรือไม่
หืม?
กุยเหนียนขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เหตุไฉนถึงอยากให้ข้าวาดรูป?
หลินเป่ยเฉินพูดเสียงแข็งขึ้นมาด้วยความรำคาญใจ ข้าบอกให้เจ้าวาด เจ้าก็วาดมาเถิด จะถามอะไรมากมายฮะ?
แต่ว่า…
กุยเหนียนยังคงมีสีหน้าประหลาดใจ มันเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์ข้า แล้วเจ้าจะขอดู…
พลัน ดวงตาของเด็กหนุ่มจับจ้องไปยังกระดองเต่าบนแผ่นหลังกุยเหนียนอีกครั้ง
สีหน้าของมนุษย์เต่าทะเลเปลี่ยนแปลงไปในทันที มันเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์ข้า แต่ก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรสักหน่อย ปากกากับกระดาษอยู่ที่ใด เดี๋ยวข้าจะวาดให้เจ้าดูแบบเหมือนจริงที่สุด
พูดแบบนี้ค่อยน่าคุยด้วยหน่อย
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้างอย่างสบอารมณ์
หลังจากนั้นไม่นาน
เขาก็หยิบรูปวาดของกุยเหนียนขึ้นมาดูพร้อมกับพยักหน้าด้วยความพอใจ
ยังไม่ต้องพูดถึงว่ามนุษย์เต่าทะเลกุยเหนียนมีฝีมือการวาดรูปที่ดีมาก
ดาวนำโชคซึ่งเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ของชาวทะเล เป็นสิ่งเดียวกับดาวนำโชคที่ธิดาอู๋ไห่จือตี้มอบเป็นของขวัญให้เขาในแอปหาคู่จริงๆ
เพียงเท่านี้ก็แน่ใจได้แล้ว
เอาล่ะ กระดองเต่าของเจ้ายังคงปลอดภัยดี ไสหัวไปซะ
หลินเป่ยเฉินยกมือโบกสะบัด
มนุษย์เต่าทะเลกุยเหนียนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกอย่างแรง
มันแอบสบถสาบานอยู่ในใจว่า ตนเองจะไม่มีทางทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสาส์นมาติดต่อเจรจากับหลินเป่ยเฉินอีกต่อไป
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้แปลกประหลาดและน่ากลัวมากเกินไป
น่าหวาดผวาเป็นที่สุด
มนุษย์เต่าทะเลกุยเหนียนรีบวิ่งออกจากสถานศึกษากระบี่ที่สามด้วยความรวดเร็วผิดธรรมชาติ
เพราะกลัวว่าหลินเป่ยเฉินจะเปลี่ยนใจอยากได้กระดองเต่าบนหลังของมันอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินนั่งดูรูปวาดด้วยความพินิจพิจารณา ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็เริ่มวางแผนการต่างๆ อยู่ในใจเงียบๆ
หวังจงเดินออกไปเรียกลูกค้าคนต่อมา
จวบจนถึงเวลาอาหารค่ำนั้นเอง จึงเป็นเวลาที่ฉู่เหินกับหยางเฉินโจวเดินเข้ามาด้วยสีหน้าถมึงทึง
ว่ายังไง พี่ชาย
หลินเป่ยเฉินฉีกยิ้มต้อนรับอย่างอบอุ่น วันนี้ข้ายุ่งที่สุดเลย ในที่สุดก็ได้พบกันสักที เชิญนั่งก่อนขอรับ เชิญนั่งก่อน เฉียนเหมย ยังไม่รีบนำน้ำชามาต้อนรับแขกอีก
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็ถามว่า พี่หยางขอรับ ไม่ทราบว่าศิษย์พี่ฮันกับศิษย์น้องเยว่อยู่ที่ไหน? ข้ารอคอยพวกเขาตลอดทั้งวัน แต่ก็ไม่ได้ข่าวคราวจากพวกเขา สหายพลัดพรากจากกันเนิ่นนาน ได้มีวาสนากลับมาพบพานกันอีกครั้ง น่าเสียดายนะขอรับที่ไม่มีโอกาสได้ดื่มกินด้วยกันเลย
เจ้าไม่รู้หรือไรว่าพวกเราก็มีงานยุ่งเช่นกัน?
หยางเฉินโจวตอบกลับมา ดวงตาเขียวปัด คิดไม่ถึงเลยนะว่าขนาดพวกข้า ก็ยังต้องไปต่อแถวรอเข้าพบเจ้า…
อดีตช่างตีเหล็กพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูง ทำสีหน้าเหมือนกำลังตกใจสุดขีด ว่าอย่างไรนะขอรับ? พวกท่านก็ต้องไปยืนต่อแถวเหมือนกันหรือ? ใช้ไม่ได้แล้ว หวังจง เจ้ามานี่เดี๋ยวนี้ เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงให้พวกเขาไปยืนต่อแถวอยู่รั้งท้าย เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่หยางก็เป็นพี่ชายร่วมสาบานของข้าคนหนึ่ง? ทำไมต้องให้เขาไปยืนต่อแถวด้วย?
หวังจงสะดุ้งโหยง ได้แต่คิดอยู่ในใจว่า ‘นายน้อยขอรับ ข้าเอารายชื่อให้นายน้อยดูตั้งแต่แรกแล้วนะ ตอนนั้นไม่เห็นนายน้อยว่าอะไรเลยนี่นา’
ต้องขออภัยด้วยนะขอรับ ความผิดพลาดครั้งนี้เป็นการตัดสินใจโดยพลการจากคนรับใช้ของข้าเอง ข้าไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่นิดเดียว… ต้องขออภัยพี่หยางมากแล้ว
เมื่อหวังจงเห็นกิริยาท่าทีของนายน้อย เขาก็ดูออกแล้วว่าหลินเป่ยเฉินตั้งใจจะโยนความผิดทั้งหมดมาให้ตนเอง
ได้ยินคำอธิบายดังนั้น หยางเฉินโจวก็มีสีหน้าที่ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เฮ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร อย่างไรหวังจงก็ทำงานให้กับเจ้าเหมือนกัน… วันนี้มีคนมารอเข้าพบเจ้าเยอะมากเชียวนะ
ฉู่เหินนั่งก้มหน้า ถอนหายใจด้วยความเอือมระอา
หยางเฉินโจวเป็นคนใสซื่อเชื่อคนง่ายมากเกินไป
หลินเป่ยเฉินยังคงส่งเสียงดุดันอย่างต่อเนื่อง เจ้าสุนัขเฒ่า มาฟังเอาไว้ให้เต็มสองหู ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพี่หยางตัดสินใจไม่เอาเรื่อง ข้าคงได้หักขาเจ้าไปแล้ว… โปรดจำเอาไว้ว่า ครั้งต่อไปที่พวกเขามาขอเข้าพบข้า ไม่ว่าจะเป็นพี่หยาง อาจารย์ฉู่ หรือคนอื่นๆ ให้ระบุว่าพวกเขาเป็นแขกคนสำคัญ มีสิทธิพิเศษที่จะได้เข้าพบข้าก่อนลูกค้าคนอื่นๆ และแน่นอนว่าต้องลดค่าธรรมเนียมให้พวกเขาเป็นกรณีพิเศษด้วย
หวังจงพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน นายน้อยก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยจริงๆ
ถ้าอ่าน เซียนกระบี่มาแล้ว ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย