เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 642 ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่ใช่ตัวชั่วร้าย
ตอนที่ 642 ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่ใช่ตัวชั่วร้าย
“ผลไม้ชนิดนี้…”
เมื่อฮันปู้ฟู่ได้รับประทานผลไม้วิเศษเข้าไปหลายชิ้น ตอนแรกก็ยังไม่รู้สึกอะไร แต่ยิ่งกินเข้าไปเท่าไหร่ พลังลมปราณในร่างกายของเขาก็ยิ่งไหลเวียนอย่างรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น พลังที่เพิ่มขึ้นมานี้ไม่ต่างจากการดูดซับโดยตรงจากศิลาบูชา และกระแสพลังที่ไหลรินไปทั่วร่างกายก็ก่อให้เกิดความรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวเป็นอย่างยิ่ง
“ฮ่าฮ่า เป็นอย่างไรบ้างขอรับ? ไม่ทราบว่าอร่อยหรือไม่? นี่เป็นผลไม้ชนิดใหม่ของข้าเอง หากศิษย์พี่รู้สึกอร่อย ข้าจะส่งไปให้ที่เขตชายแดนเรื่อยๆ ยิ่งรับประทานเท่าไหร่ ก็ยิ่งช่วยเสริมสร้างพลังลมปราณเท่านั้นขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะ
ฮันปู้ฟู่ยิ้มแย้มด้วยความเกรงใจ “อันที่จริงนั้น ข้าเองก็มีเรื่องอยากจะขอร้องเจ้าอยู่เหมือนกัน…”
หลินเป่ยเฉินโบกมือขัดจังหวะการพูดของเด็กหนุ่มรุ่นพี่และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างหาได้ยากยิ่ง “หลินเป่ยเฉินคนนี้ยากนักที่จะมีใครคบหาเป็นมิตรสหาย ศิษย์พี่ฮัน พวกเราเปรียบเสมือนพี่น้องร่วมสาบาน อย่าเรียกว่าเป็นการขอร้องเลย ไม่ว่าท่านต้องการสิ่งใด ข้าก็จะจัดหามาให้อย่างแน่นอน”
ฮันปู้ฟู่ได้ยินดังนั้นก็เบิกตาโตด้วยความประหลาดใจและพยักหน้าหนักแน่น
“ข้าต้องการโอสถเป่ยเฉิน ยาลูกกลอนชนิดนี้จะมีประโยชน์มากเวลาพวกเราเดินทัพ การต่อสู้ที่เขตชายแดนบางครั้งก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน บ่อยครั้งที่ไม่สามารถจัดเตรียมวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารติดตัวไปด้วยได้ นายทหารจึงต้องต่อสู้ด้วยความหิวโหยอยู่เสมอ แต่ถ้ามีโอสถเป่ยเฉิน ปัญหานี้ก็จะได้รับการแก้ไขแล้ว”
ระหว่างที่พูดประโยคนี้ ดวงตาของฮันปู้ฟู่ก็เป็นประกายแวววาว
หลินเป่ยเฉินพยักหน้ารับคำ “เดี๋ยวข้าจะให้คนจัดเตรียมให้ท่านก่อน 10,000 เม็ดนะขอรับ”
ฮันปู้ฟู่แทบจะอ้าปากค้าง “นะ… นะ หนึ่งหมื่นเม็ด?”
หลินเป่ยเฉินอธิบายว่า “ศิษย์พี่ฮัน พี่น้องย่อมช่วยเหลือพี่น้องไม่ใช่หรือ จำนวนเพียงเท่านี้ถือว่าเล็กน้อยเพราะว่าท่านต้องรีบเดินทางกลับ เอาไว้หลังจากนี้ ข้าหลอมโอสถขึ้นมาได้เพิ่มเติมเมื่อไหร่ ก็จะให้คนส่งยาลูกกลอนไปเพิ่มที่เขตชายแดนก็แล้วกัน”
“ไม่ต้องหรอก…”
ฮันปู้ฟู่รีบโบกมือปฏิเสธด้วยความเกรงใจ “เพียงเท่านี้ก็นับว่ามากมายแล้ว เดิมทีข้าต้องการเพียงไม่กี่ร้อยเม็ดเท่านั้น แค่พันเม็ดก็ถือว่ามากมายมหาศาล ข้าย่อมรู้ดีว่ายาลูกกลอนวิเศษเช่นนี้คือของล้ำค่าชนิดหนึ่ง แล้วข้าจะไปเบียดเบียนพวกเจ้าได้อย่างไร”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน “ครอบครัวเดียวกันใยต้องเกรงใจกันเอง อีกอย่าง ข้าก็ได้จัดเตรียมของขวัญเพิ่มเติมเอาไว้ให้แก่ท่านแล้ว”
พูดจบ เด็กหนุ่มก็นำกำไลหยกออกมาหนึ่งคู่
นี่คือสิ่งที่หลินเป่ยเฉินได้มาจากซากศพของพวกชาวทะเลที่ตายด้วยน้ำมือของเขา
กำไลหยกเหล่านี้คือที่เก็บของวิเศษ
พื้นที่ด้านในค่อนข้างกว้างขวาง ปกติถูกใช้เก็บอัญมณีใต้ทะเล รวมถึงคัมภีร์ฝึกวิชาการต่อสู้ของชาวทะเล ซึ่งหลินเป่ยเฉินได้เก็บกวาดหมดแล้วเรียบร้อย
วันนี้ กำไลข้อมือทั้งสองชิ้นนี้ หนึ่งในนั้นบรรจุด้วยคัมภีร์ฝึกวิชาการต่อสู้ เช่นเดียวกับผลไม้วิเศษชนิดต่างๆ รวมไปถึงเมล็ดสำหรับการเพาะปลูกพวกมันอีกจำนวนหนึ่ง
ส่วนกำไลอีกชิ้นนั้นบรรจุศิลาบูชาคุณภาพสูงจำนวนนับไม่ถ้วน
ฮันปู้ฟู่รับกำไลทั้งสองชิ้นมาตรวจสอบดูด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะต้องเงยหน้ามองหลินเป่ยเฉินด้วยความตกตะลึง
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มอย่างบริสุทธิ์ใจ ซึ่งรอยยิ้มของเขาก็ช่วยส่งเสริมให้เด็กหนุ่มมีความหล่อเหลาและสง่างามมากยิ่งขึ้น
หลินเป่ยเฉินพูดอย่างตรงไปตรงมา “หลายคนอาจกล่าวหาว่าข้าลำเอียงก็ได้ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมองอย่างไรนั่นแหละนะ ศิลาบูชาเหล่านี้มีจำนวนทั้งสิ้นหนึ่งพันก้อน ส่วนผลไม้วิเศษเหล่านั้นก็เหมาะสมต่อการเสริมสร้างพลังลมปราณ นอกจากนี้ ข้ายังได้บรรจุเมล็ดพันธุ์สำหรับให้พวกท่านลองเพาะปลูกที่เขตชายแดนด้วย หากพวกมันเจริญเติบโตงอกงาม ก็ถือว่าเป็นวาสนาของนายทหารทุกคนแล้ว”
ฮันปู้ฟู่กล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่ใช่ตัวชั่วร้าย”
หลินเป่ยเฉินฉีกยิ้มกว้างด้วยความพอใจ “แหะแหะ ศิษย์พี่อย่าเพิ่งเยินยอข้าเลยดีกว่า เพราะขนาดตัวข้าเองยังคิดว่าข้าเป็นตัวชั่วร้ายเลยนะ…”
หลังจากพูดจบ เขาก็นำถุงเก็บของวิเศษอีกสองใบออกมาพร้อมกับพูดว่า “ส่วนนี่เป็นของขวัญที่ข้าเตรียมเอาไว้ให้แก่แม่ทัพหลิงฉือกับแม่ทัพหลิงอู๋ รบกวนศิษย์พี่ช่วยนำไปฝากท่านแม่ทัพทั้งสองท่านนั้นด้วย”
สีหน้าของฮันปู้ฟู่ในขณะนี้บอกชัดว่าเขาเองก็คาดเดาเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว
เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มรุ่นพี่ จึงต้องรีบอธิบายเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด “ข้าไม่ได้อยากจะประจบเอาใจท่านแม่ทัพ เพราะชอบน้องสาวของพวกเขาหรอกนะขอรับ ศิษย์พี่ฮันโปรดอย่าเข้าใจผิด”
ฮันปู้ฟู่เลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย
หึหึ
จากนั้น ฮันปู้ฟู่ก็พยักหน้าเป็นทำนองว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
หลินเป่ยเฉินปากกระตุก
เข้าใจแล้วกับผีน่ะสิ
เฮ้อ
ช่างมันก็แล้วกัน
ยิ่งอธิบายยิ่งเข้าตัวชอบกล
เรื่องเช่นนี้ต่อให้อธิบายอย่างไร ถ้าอีกฝ่ายไม่เชื่อก็ช่วยไม่ได้
คืนนี้ กว่าที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนจะร่ำลากันเรียบร้อยก็ล่วงเข้าเที่ยงคืนแล้ว
พวกเขาเดินกลับออกมาจากกระโจมที่พัก
ฮันปู้ฟู่ไม่สามารถอยู่ค้างคืนได้ จึงต้องรีบออกเดินทางโดยทันที
ฮันปู้ฟู่กำลังจะเดินทางจากไปพร้อมกับโอสถเป่ยเฉินจำนวนหนึ่งหมื่นเม็ด
แต่เดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว เด็กหนุ่มรุ่นพี่ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันมากำชับกับหลินเป่ยเฉินว่า “จริงด้วยสิ ข้ามีเพื่อนรักอยู่คนหนึ่งนามว่าเสี่ยวเย่ เขาเพิ่งถูกย้ายกลับมาประจำการอยู่ในนครเจาฮุย ถ้าเข้าใจไม่ผิด บัดนี้รักษาการอยู่ในหน่วยลาดตระเวน บุคคลผู้นี้มีหูมีตากว้างไกลในนครเจาฮุย หากเจ้ามีเรื่องเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ สามารถไปติดต่อเขาได้โดยทันที แล้วก็บอกเขาว่าข้าฝากความคิดถึงมาด้วย”
การทำเช่นนี้ถือว่าผิดกฎระเบียบทหาร
แต่เพื่อช่วยเหลือหลินเป่ยเฉิน แม้แต่ฮันปู้ฟู่ผู้เคร่งครัดในกฎระเบียบก็ยังต้องมีข้อยกเว้น
“เสี่ยวเย่หรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วทบทวนอะไรบางอย่าง “ดูเหมือนข้าจะเคยพบเจอนายทหารผู้นี้มาแล้วขอรับ ไม่ทราบว่าเขาคือท่านลุงที่มารอต้อนรับชาวเมืองหยุนเมิ่งอยู่ที่เมืองด่านหน้าใช่หรือไม่?”
ฮันปู้ฟู่มีสีหน้าหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “เสี่ยวเย่อาจจะดูแก่ไปหน่อยก็จริง แต่เขาเพิ่งมีอายุ 21 ปีเท่านั้น”
พูดจบ ฮันปู้ฟู่ก็พยักหน้าอำลาเด็กหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
หลินเป่ยเฉินเดินตามไปส่งจนถึงประตูทางเข้าค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง
…
วันต่อมา
หิมะขาวโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า
อุณหภูมิลดต่ำจนเกือบถึงจุดเยือกแข็ง
กงกงจัดเตรียมรถม้าตั้งแต่เช้ารอคอยจนถึงยามบ่าย เมื่อหลินเป่ยเฉินตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตาด้วยการดูแลของสองสาวรับใช้ เด็กหนุ่มถึงได้เดินออกมาขึ้นรถม้าและเดินทางออกจากค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง มุ่งหน้าตรงเข้าไปสู่พื้นที่เขตกำแพงเมืองชั้นใน
วันนี้มีเรื่องราวหลายอย่างให้เด็กหนุ่มต้องเข้าไปจัดการ
หลังจากนั้นไม่นาน
เมื่อจ่ายค่าผ่านทางเป็นเหรียญเงินหนึ่งเหรียญ รถม้าของพวกเขาก็แล่นผ่านประตูเมืองเข้าไปยังพื้นที่เขตสามได้อย่างราบรื่น