เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 651 เจ้ารู้มากเกินไปแล้ว
ตอนที่ 651 เจ้ารู้มากเกินไปแล้ว
“พี่ชาย เป็นท่านเองหรือ?”
เด็กหญิงผมเปียมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความไม่อยากเชื่อ
“เป็นเจ้าเองหรือ… เอ่อ ท่านพี่?”
หลิวเฉิงเหนียนอ้าปากเหวอจนสามารถกลืนไข่เป็ดเข้าไปได้ทั้งลูก
นี่มันคุณชายที่บริจาคเงิน 10 เหรียญทองคำ เพราะอยากจะรู้ชื่อของหลู่หลิงซินไม่ใช่หรือ?
ทำไมถึงมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้ล่ะ?
หรือว่าเขาก็เป็นพวกเดียวกับเหลียงซือเฉิน
แต่ไม่น่าใช่
ฟังจากคำพูดของเหลียงซือเฉินแล้ว ทุกคนในที่นี้ไม่มีใครรู้จักเขาเลย
“เด็กๆ”
เหลียงซือเฉินขมวดคิ้วใบหน้ากระตุก
ในนครเจาฮุย ไม่เคยมีใครพูดจากับเขาหยาบคายเช่นนี้มาก่อน
“จับตัวเด็กหนุ่มผู้นี้ซะ” เหลียงซือเฉินระเบิดเสียงคำรามออกมาดังสนั่น
แต่สิ่งที่ตอบรับกลับมามีแต่เพียงความเงียบ
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
“หุหุหุหุ…”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นเสยผมไปด้านหลังอย่างวางมาดเท่ จากนั้นเขาก็หยิบบุหรี่ออกมาสูบหนึ่งมวน ก่อนจะหัวเราะเหมือนคนโรคจิตขณะปล่อยควันให้ลอยฟุ้งในอากาศ “เลิกโวยวายได้แล้ว ไม่มีใครได้ยินคำสั่งของเจ้าหรอก อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
ในเวลาเดียวกันนี้ เหลียงซือเฉินและพวกพ้องต่างก็หันมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
ท่าทางจะไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว
เพราะว่าปกติต้องเป็นพวกเขาสิที่พูดประโยคนี้
และเป้าหมายที่พวกเขาพูดคำเหล่านี้ใส่ ก็ต้องเป็นหญิงสาวหน้าตาดี แต่อ่อนแอจนดูแลตัวเองไม่ได้
เมื่อถูกใช้ถ้อยคำเหล่านี้มาพูดใส่หน้าบ้าง พวกของเหลียงซือเฉินจึงรู้สึกเหมือนกับ…
กำลังโดนดูถูก!
“ตายซะเถิด”
ซุนเหรินหยงมีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับ 4 เขากระตุกยิ้มมุมปาก และกระโจนเข้าหาเด็กหนุ่มราวกับเป็นพยัคฆ์ร้าย
“เพลงหมัดพยัคฆ์คำรณ”
ซุนเหรินหยงตะโกนก้อง
“เฮ้อ ทำไมต้องตะโกนด้วยเนี่ย …หนวกหู”
วูบ!
หลินเป่ยเฉินกระดกมือขวาเล็กน้อย แล้วลำแสงสีเงินก็พุ่งออกมาจากใต้ข้อมือของเขา
นี่คือการยิงอาวุธลับจากกระบอกใต้แขนเสื้อ
ฟิ้ว!
เสียงลูกดอกพุ่งผ่านอากาศดังแสบหู
“อ๊าก…”
หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง
แล้วสิ่งที่ทุกคนได้เห็นในลมหายใจต่อมาก็คือ ชายหนุ่มผู้เป็นน้องชายของหัวหน้าพ่อบ้านประจำจวนผู้ว่าได้ถูกลูกดอกเหล็กปักตรึงฝ่ามือทั้งสองข้างเข้ากับกำแพง ปลายหางของลูกดอกยังคงสั่นไหวไม่หยุดยั้ง
เลือดเป็นสายไหลทะลักลงมาจากฝ่ามือ
“อ๊าก โอ๊ย ช่วยข้าด้วย…”
ซุนเหรินหยงส่งเสียงครางอย่างน่าเวทนา
วูบ!
ฟิ้ว!
วูบ!
ฟิ้ว!
หลินเป่ยเฉินซัดลูกดอกเหล็กออกไปรัวๆ
บัดนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมือหรือข้อเท้าของซุนเหรินหยงต่างก็ถูกลูกดอกปักตรึงอยู่กับกำแพงหมดสิ้น ส่งผลให้ตัวคนส่งเสียงกรีดร้องออกมาราวกับหมูถูกเชือด
โลหิตสีแดงไหลลงมาจากกำแพงสีขาว
มันหมุนวนคดเคี้ยวสวยงามน่าขนลุก
ไม่ต่างจากภาพวาดที่ใช้หมึกสีแดง
“น่ารำคาญจริงๆ”
หลินเป่ยเฉินพ่นควันออกมาจากปากอย่างช้าๆ ตอนแรกพยายามจะพ่นให้เป็นรูปวงกลม แต่กลับทำไม่สำเร็จ จึงรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเก่าหลายเท่า “หากเจ้าส่งเสียงร้องอีกครั้ง ข้าจะยิงลูกดอกใส่ปากเจ้าเดี๋ยวนี้”
“อื้อ..”
ซุนเหรินหยงรีบเม้มปากของตนเองด้วยความตกใจกลัว
แต่เพราะทนรับกับความเจ็บปวดมากเกินไป ใบหน้าของเขาจึงบิดเบี้ยว น้ำตาไหลพรากลงมาจากดวงตา
“เจ้า… โอหังเกินไปแล้ว”
เฉียนอวี่หยงพูดด้วยความโกรธแค้น “เจ้าเป็นใคร รู้ตัวหรือไม่ว่าทำสิ่งใดลงไป?”
“ข้าไม่รู้หรอก”
หลินเป่ยเฉินตอบพร้อมกับสะบัดมืออีกครั้งเพื่อยิงลูกดอกออกไปข้างหน้า “เจ้าลองบอกข้าหน่อยสิ”
วูบ!
แล้วเฉียนอวี่หยงก็ถูกดรึงเข้ากับกำแพงอีกคน
“อ๊ากกก เจ้า…”
ชายหนุ่มส่งเสียงร้องโหยหวน “ข้าไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่ ตระกูลเฉียนของพวกเราไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่…”
“ตระกูลเฉียนอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินดวงตาเป็นประกายแวววาว “เจ้าแซ่เฉียนใช่หรือไม่? ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ต้องรู้จักเจ้าหน้าที่เฉียนผู้ทำงานอยู่ในสำนักงานบริหารประจำเมืองสิ?”
เฉียนอวี่หยงพูดเสียงแข็ง “เขาคือพี่ชายของข้าเอง ฮ่าฮ่า เจ้าคงนึกกลัวขึ้นมาแล้วใช่ไหม…”
ฟิ้ว!
พลัน ลูกดอกเหล็กพุ่งทะลวงผ่านปากของชายหนุ่ม
“วันนี้ข้าเกลียดคนตระกูลเฉียนเป็นที่สุด”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “พี่ชายของเจ้าใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ ถึงกับโยนคนของข้าออกมาจากสำนักงาน เพราะฉะนั้น เจ้าจงตายเสียเถิด”
“หา เดี๋ยวก่อนสิ ช้าก่อน…”
เฉียนอวี่หยงดวงตาเบิกโต ยังไม่ทันได้ส่งเสียงร้องอุทธรณ์ใดๆ ร่างกายของเขาก็กลายเป็นเป้าปักลูกดอกอยู่บนกำแพงห้องอย่างไม่มีทางขัดขืน
บัดนี้ หลู่หลิงซินเด็กหญิงผมเปียและหลิวเฉิงเหนียนเด็กสาวร่างสูง ต่างก็ได้แต่นั่งเบิกตาโตด้วยความตกตะลึงและหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
พวกนางไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มหน้าหล่อคนนี้จะลงมือด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้
เด็กสาวทั้งสองคนอดขยับกายถอยหนีห่างออกจากเขาไม่ได้
เมื่อเห็นว่าพวกของตนเองเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนแล้ว เหลียงซือเฉินก็ถึงกับยืนนิ่งอึ้งตะลึงงันอยู่กับที่ หลิวเฉิงเหนียนจึงลดเสียงลงกระซิบว่า “พวกเราระวังตัวหน่อยดีกว่า ว่าแต่ทำไมเจ้าพวกนั้นมันไม่สลัดตัวให้หลุดออกจากกำแพงนะ?”
หลู่หลิงซินพยายามสะกดกลั้นความตกตะลึงในใจและคาดเดาว่า “บางที… อาจเป็นเพราะ… พวกเขาถูกสกัดจุดอยู่ก็เป็นได้”
“แต่ตัววายร้ายเหล่านี้มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ ผู้ที่จะสามารถสกัดจุดพวกมันได้ ย่อมต้องมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์เท่านั้น หรือว่า… พี่ชายท่านนี้จะมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์? ทว่า ด้วยอายุอานามเพียงเท่านี้ ไม่น่าเป็นไปได้เด็ดขาด”
หลิวเฉิงเหนียนส่งเสียงกระซิบด้วยความไม่อยากเชื่อ
หลู่หลิงซินขมวดคิ้วและพูดอย่างใช้ความคิด “บางทีพี่ชายท่านนี้อาจมีหน้าตาอ่อนเยาว์ แต่ความจริงแล้วนั้น…”
“ความจริงแล้วเขาเป็นปีศาจเฒ่าบ้าตัณหาที่มีอายุหลายร้อยปีใช่หรือไม่?” หลิวเฉิงเหนียนดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์
เรื่องนี้ย่อมมีความเป็นไปได้
“เหลวไหล”
หลินเป่ยเฉินหันกลับมากล่าวว่า “ปีนี้ข้าเพิ่งมีอายุ 15 ปีเท่านั้น ข้ามีอายุมากกว่าพวกเจ้าอย่างมากก็ไม่เกินสองปี จะว่าไปพวกเราเป็นคนรุ่นเดียวกันด้วยซ้ำ และสิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือ ข้ายังคงบริสุทธิ์อยู่ด้วย”
เด็กสาวทั้งสองคนเมื่อได้ยินประโยคครึ่งแรก ดวงตาของพวกนางก็เบิกโตด้วยความประหลาดใจ แต่เมื่อได้ยินประโยคสำคัญครึ่งหลัง แก้มของพวกนางก็แดงระเรื่อขึ้นมาด้วยความขวยเขินไม่รู้ตัว
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะ “ไม่ว่าจะมีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์หรือยอดปรมาจารย์ ข้าก็เคยฆ่ามาหมดแล้ว… ข้าคือหลินเป่ยเฉินผู้มีอำนาจเหลือล้นแห่งเมืองหยุนเมิ่ง และเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทุกดินแดน…”
“เจ้าคือหลินเป่ยเฉินอย่างนั้นหรือ?”
เหลียงซือเฉินอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินมองหน้าชายหนุ่มผู้เป็นบุตรชายของขุนนางใหญ่ ก่อนเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างมีความสุข “เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ?”
เห็นไหมเล่า
ปิดข่าวไปก็ไร้ประโยชน์
คนดีๆ อย่างเขาต่อให้อยู่ในความมืดก็ฉายแสงเจิดจรัสได้อยู่วันยังค่ำ
ต่อให้ปิดข่าวให้ตาย สุดท้ายก็มีคนรู้จักเขาอยู่ดี
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเด็กหนุ่มถึงได้รู้สึกว่าสีหน้าของเหลียงซือเฉินถึงได้ดูแปลกประหลาดชอบกล เหมือนกับว่ากำลังดีใจสุดขีดอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าคือบุตรชายเพียงคนเดียวของอดีตขุนนางนักรบแห่งสวรรค์หลินจิ้นหนาน และเป็นเด็กหนุ่มจอมเสเพลในตำนานของเมืองหยุนเมิ่ง ขึ้นชื่อในเรื่องการตีบุรุษทำร้ายสตรี รังแกสัตว์อ่อนแอที่ไม่มีทางสู้ และชื่นชอบในความโฉดชั่วโสมมทุกอย่างบนโลกใบนี้…” เหลียงซือเฉินตะโกนด้วยความตื่นเต้น
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินเป่ยเฉินสลายหายไปทันที
เช่นเดียวกับสีหน้าของหลู่หลิงซินกับหลิวเฉิงเหนียนที่เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
คุณสมบัติที่กล่าวมานี้ ตรงกับเด็กหนุ่มคนนี้ทุกประการ
หลิวเฉิงเหนียนแอบคิดอยู่ในใจ
“หุบปาก”
หลินเป่ยเฉินคำรามด้วยความฉุนเฉียว “เจ้ารู้มากเกินไปแล้ว”
ฟิ้ว!
ลูกดอกเหล็กถูกยิงออกไปตรึงเหลียงซือเฉินเข้ากับกำแพงเป็นคนล่าสุด
ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
บุรุษหนุ่มคนนี้สิ่งที่ควรพูดไม่พูด สิ่งที่ไม่ควรพูดกลับพูด
หลินเป่ยเฉินไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเหลียงซือเฉินถึงต้องจดจำภาพลักษณ์แสนเลวร้ายของเขาเอาไว้ด้วย?
หรือหมอนี่คิดว่าเขาเป็นคนประเภทเดียวกัน?
นี่แหละนะที่โบราณว่ามีตาหามีแววไม่
หลินเป่ยเฉินกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้น
“ย๊ากกก ข้าจะสู้กับเจ้าเอง”
ฉู่โชวอี้ถลันกายเข้ามาพร้อมกับส่งเสียงคำราม
“จงตายซะ”
ด้วยความที่อารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว หลินเป่ยเฉินจึงไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไป เขาโคจรพลังปราณธาตุดินและยืมพลังขึ้นมาจากพื้นดิน ก่อนจะระเบิดพลังลมปราณซัดเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามลอยกระเด็นออกไป
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
หลังจากนั้น ลูกดอกเหล็กจากใต้แขนเสื้อของเขาก็พุ่งออกไปถึงสี่ดอก ตรึงร่างฉู่โชวอี้เข้ากับกำแพง
ตุบ!
จางโหรวหมิงผู้เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวในห้องรับแขกพลันคุกเข่าลงไปบนพื้น
“คุณชายหลิน ได้โปรดปล่อยข้าน้อยไปเถิด…”
ชายหนุ่มผู้มาจากครอบครัวมือปราบคุกเข่าอ้อนวอนอย่างไม่เหลือศักดิ์ศรีอีกแล้ว
“ใครสั่งให้เจ้าคุกเข่า?”
หลินเป่ยเฉินตวาด “เจ้ามีค่าคู่ควรมาคุกเข่าต่อหน้าข้าแล้วหรือ?”
จางโหรวหมิงเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
การที่คนเราจะคุกเข่าให้ใครสักคน จำเป็นต้องมีคุณสมบัติพิเศษด้วยหรือ?
“พวกเราผิดไปแล้ว พวกเรา…” จางโหรวหมิงพยายามยิ้มประจบประแจง
“หุบปาก”
หลินเป่ยเฉินคำรามลั่น “เจ้าไม่มีค่าคู่ควรที่จะถูกเรียกว่าคนเสเพลด้วยซ้ำ ข้าอับอายเหลือเกินที่ต้องเกิดมาอยู่ร่วมโลกเดียวกับเจ้า… จงไปอยู่บนกำแพงซะ”
วูบ!
แล้วจางโหรวหมิงก็ถูกดรึงกับกำแพงเป็นคนสุดท้าย
ทันใดนั้น มีเสียงฝีเท้าคนกลุ่มใหญ่ดังขึ้นที่ด้านนอก
“มีผู้บุกรุก”
“พวกเรารีบเข้าไปช่วยคุณชายเร็วเข้า”
“อย่าปล่อยให้พวกมันหนีรอดออกไปได้เด็ดขาด…”
เสียงตะโกนดังขึ้นหน้าห้องรับแขก
บรรดาคุณชายที่ถูกตรึงอยู่บนกำแพงมีรอยยิ้มบนใบหน้าขึ้นมาทันที
ในที่สุดก็มีคนมาช่วยพวกเขาแล้ว!