เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 675 คงไม่ถือว่าร้ายแรงอะไรกระมัง
ตอนที่ 675 คงไม่ถือว่าร้ายแรงอะไรกระมัง
เฉียนเหมยเคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด มือออกหมัด เท้าตวัดเตะ เหล่าเจ้าหน้าที่มือปราบยังไม่ทันตั้งตัว ก็ต้องลอยกระเด็นออกไป
บุรุษผู้ถูกจับกุมตัวทั้งสองคนลุกขึ้นยืน
กลุ่มเจ้าหน้าที่มือปราบที่ปิดล้อมอยู่โดยรอบตกอยู่ภายใต้ความตื่นตะลึง พวกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเห็นการบุกตะลุยเข้ามาของเฉียนเหมย กลุ่มเจ้าหน้าที่มือปราบก็ได้แต่คิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นใครกัน?
หญิงสาวแม่ลูกสองที่ยังคงร้องไห้ด้วยความหมดหวัง เบิกตาโตมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าด้วยความเหลือเชื่อ
เมื่อนางกะพริบตาอีกที เด็กหนุ่มหน้าหวานก็มาปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าแล้ว
“ไม่ต้องกลัว ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือท่าน”
เฉียนเหมยพูดพร้อมกับช่วยประคองหญิงสาวลุกขึ้นยืน ในเวลาเดียวกันนั้น นางก็โคจรพลังลมปราณ
เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!
สายโซ่และตรวนนักโทษหลุดกระจาย
หลังจากนั้น เฉียนเหมยก็ฟาดฝ่ามือไปข้างหลังโดยไม่ต้องเหลียวหน้ามอง
เจ้าหน้าที่มือปราบสองนายที่คิดฉวยโอกาสนี้ลอบเข้ามาโจมตี ต้องลอยกระเด็นออกไป กระอักเลือดออกมาจากปากคำใหญ่
“อุ๊ย เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ คุณชาย…” เมื่อมือของเฉียนเหมยโอบเอวหญิงสาวแม่ลูกสอง นางก็เกิดความเขินอายขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เฉียนเหมยยิ้มแฉ่งและพูดว่า “ไม่ต้องตกใจ ข้าก็เป็นสตรีเช่นกัน…”
หญิงสาวแม่ลูกสองถึงกับตะลึงงัน แต่แล้วนางก็เริ่มมองออก
เฉียนเหมยมีผิวพรรณขาวผ่องบริสุทธิ์มากเกินไป ซ้ำยังมีเอวบาง ฝ่ามือนุ่มนิ่ม นี่ไม่ใช่ร่างกายของบุรุษหนุ่มอย่างแน่นอน แต่เมื่อสักครู่นี้นางตื่นเต้นมากเกินไป หญิงสาวแม่ลูกสองจึงไม่ทันสังเกต
“ขอบคุณแม่นางมากแล้ว…”
หญิงสาวแม่ลูกสองรีบพูดออกมาทันที
เฉียนเหมยกล่าวแทรกว่า “หากท่านอยากขอบคุณ ไปขอบคุณนายท่านของข้าดีกว่า เขาเป็นคนส่งข้ามาช่วยเหลือท่าน”
พูดจบ ดวงตาของเด็กสาวก็เป็นประกายระยิบระยับ นางเลียริมฝีปากด้วยความตื่นเต้น ร่างกายเคลื่อนไหวรวดเร็วพุ่งเข้าใส่กลุ่มเจ้าหน้าที่มือปราบที่ถาโถมเข้ามา
ในเวลาเดียวกันนี้ เด็กสาวก็หันหน้าไปร้องตะโกนใส่อดีตชายฉกรรจ์หน้ากากดำว่า “พวกท่านยังจะยืนเฉยอยู่ทำไมอีก? รีบมาช่วยเหลือเด็กทั้งสองคนเร็วเข้า”
ได้ยินดังนั้น อดีตชายหน้ากากดำทั้งสองคนก็รีบวิ่งเข้ามาใช้กระบี่ตัดโซ่ตรวนของเด็กๆ ออก
เพราะว่าเจ้าหน้าที่มือปราบที่เคยคุมตัวพวกเขา บัดนี้ไปปิดล้อมเฉียนเหมยหมดสิ้น
บัดนี้ เฉียนเหมยได้รับพลังพิเศษจากการแบ่งปันสัญญาณไวไฟของหลินเป่ยเฉิน พลังลมปราณในร่างกายของนางจึงเพิ่มพูนมากกว่าเดิมหลายเท่า ฝ่ามือหมุนควงในอากาศราวกับใบพัดลมเบอร์แรงสุด บรรดาเจ้าหน้าที่มือปราบที่ถาโถมเข้าใส่ จึงลอยกระเด็นกลับออกไปทั้งคนทั้งกระบี่…
วิธีการต่อสู้ที่บ้าระห่ำเช่นนี้ทำให้บรรดาคนดูรอบลานประหารต้องเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
หลงเสี่ยวเถียนมีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วตอนพูดว่า “สุนัขตัวนี้มาจากที่ไหน? อย่าเพิ่งไปสนใจคนตาบอด รีบจับกุมตัวเด็กหนุ่มผู้นี้ให้ได้ อย่าให้มันหนีรอดเด็ดขาด…”
แล้วนายทหารอีกจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าไปหาเฉียนเหมย
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่เพียงลำพังกลางลานประหารโดยไม่มีใครสนใจสักคน
เขากลายเป็นคนตาบอดตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?
คิดจะเมินกันแบบนี้เลยเหรอ?
ทุกคนเข้าใจผิดแล้ว
ทุกคนควรต้องให้ความสนใจมาที่เขาสิ
เพราะเขาเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง
เขาเป็นคนวางแผนการทั้งหมดนี้
แล้วทำไมถึงไม่สนใจกันบ้าง?
คิดจะหันมองกันสักนิดไม่ได้เลยหรือไง?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน
ด้วยความที่ไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องช่วยเหลือนักโทษประหารเพิ่มเติมนอกจากฉุยเฮาเฟิง เขาจึงสั่งให้เฉียนเหมยไปช่วยเหลือสามแม่ลูกเหล่านั้น
ใครจะไปคิดล่ะว่าเฉียนเหมยกลับขโมยซีนไปหน้าตาเฉย
“เฮอะ… อะแฮ่ม อะแฮ่ม อะแฮ่ม!”
หลินเป่ยเฉินกระแอมไอเสียงดัง พยายามเรียกร้องความสนใจให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จากนั้นจึงพูดว่า “ท่านผู้ว่าฉุย ไม่ต้องหวาดกลัว ข้ามาช่วยเหลือท่านแล้ว!”
ฉุยเฮาเฟิงหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน
เขารู้สึกว่าเด็กหนุ่มตาบอดผู้นี้ ชวนให้เกิดความรู้สึกคุ้นเคยชอบกล
แน่นอนว่าฉุยเฮาเฟิงไม่ได้หมายถึงรูปร่างหรือลักษณะหน้าตา
แต่เป็นบรรยากาศผิดปกติที่อยู่รอบๆ ตัวเด็กหนุ่มตาบอดต่างหาก…
ฉุยเฮาเฟิงรู้สึกเหมือนเคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน
แต่เขาอาจจะคิดมากเกินไปก็ได้
เพราะในกลุ่มคนที่ฉุยเฮาเฟิงรู้จัก ไม่มีใครตาบอด
อีกอย่างคนตาบอดผู้นี้ อายุน่าจะยังเยาว์วัย… น่าเสียดายนักที่ต้องตาบอดตั้งแต่อายุน้อย
เจิ้งกุยผู้คุมตัวฉุยเฮาเฟิงระเบิดเสียงหัวเราะเหยียดหยาม “เจ้าบอดผู้โง่เง่า นับว่าเจ้ารนหาที่ตายโดยแท้…”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
ฟู่!
โลหิตก็พุ่งกระฉูดออกมาจากท้ายทอยของเจิ้งกุย
ใบหน้าของชายหนุ่มหน้ากลมแข็งค้าง
บนหน้าผากของเขาปรากฏรูโหว่เท่ากับนิ้วมือคน
โลหิตกำลังไหลทะลักออกมาจากรูนั้นอย่างช้าๆ
“เจ้านั่นแหละที่ตาบอด”
หลินเป่ยเฉินคำรามด้วยความโกรธแค้น “บรรพบุรุษของเจ้าตาบอดกันทั้งตระกูล”
เขาตั้งใจใส่แว่นกันแดดทำเท่ แล้วทำไมทุกคนถึงได้คิดว่าเขาเป็นคนตาบอดกันหมดเลยนะ?
ไปลงนรกซะเถอะ
หลังจากถูกเฉียนเหมยขโมยซีน และยังถูกฝ่ายตรงข้ามเข้าใจว่าเป็นคนตาบอด ขณะนี้ คุณชายหลินจึงรู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างยิ่ง
ฉุยเฮาเฟิงเลิกคิ้วสูงด้วยความตื่นตะลึง
เขาชะงักไปเล็กน้อย
เมื่อสักครู่นี้คือวิชาฝ่ามือลำแสงพิฆาตไม่ใช่หรือ?
หรือว่านี่คือหลินเป่ยเฉิน?
แล้วทำไมหลินเป่ยเฉินถึงตาบอด?
เด็กหนุ่มกระโดดวูบเดียวก็มายืนอยู่ข้างกายฉุยเฮาเฟิง
“พวกเรารีบหนีกันดีกว่าขอรับ ท่านเจ้าเมือง”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม
เมื่อได้ยินเสียงพูด ฉุยเฮาเฟิงก็มั่นใจแล้ว
นี่คือหลินเป่ยเฉินจริงๆ
“ดวงตาของเจ้า…”
ฉุยเฮาเฟิงดูจะเป็นกังวลเรื่องดวงตาของหลินเป่ยเฉินขึ้นมาทันที
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงคำรามในลำคอด้วยความรำคาญใจ “ไม่ต้องห่วงขอรับ ข้าไม่ได้ตาบอด ดวงตาของข้ายังปกติดีทุกอย่าง… เพียงแต่ข้าเป็นคนจิตใจดีงามและเกลียดชังการฆ่าคนเป็นที่สุด ข้าไม่อยากมองเห็นเลือดของผู้ใด จึงต้องใช้แผ่นศิลาสีดำปิดดวงตาเอาไว้เพื่อไม่ให้มองเห็นเลือด ต้องทำเช่นนี้เท่านั้น ข้าจึงสามารถฆ่าคนได้โดยไม่มีปัญหา”
ฉุยเฮาเฟิงพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ไม่ว่าจะเคยติดต่อกับหลินเป่ยเฉินมากี่ครั้ง ไม่ว่าจะคิดว่าตนเองรู้จักเด็กหนุ่มคนนี้ดีมากแค่ไหน แต่ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน หลินเป่ยเฉินก็มักจะแสดงพฤติกรรมแปลกประหลาดเหนือธรรมดา และสร้างความงุนงงให้แก่ผู้คนได้เสมอ
สาเหตุที่เขาต้องปิดตา ก็เพราะไม่อยากมองเห็นเลือดอย่างนั้นหรือ?
ในโลกนี้มีบุคคลเช่นนี้ด้วย?
แต่ว่า…
พฤติกรรมเช่นนี้
นี่แหละหลินเป่ยเฉินตัวจริงเสียงจริง
“เจ้าไม่ควรมาที่นี่เลย…”
ฉุยเฮาเฟิงกล่าว
หลินเป่ยเฉินรีบพูดว่า “แต่มาแล้วก็คือมาแล้ว มาแล้วย่อมหมายความว่าจะกลับไปมือเปล่าไม่ได้… ท่านเจ้าเมืองฉุย ท่านอยากจะยืนโต้เถียงกับข้าที่ตรงนี้ หรืออยากจะรีบหลบหนีมากกว่ากัน?”
ฉุยเฮาเฟิงตอบละล่ำละลัก “ย่อมต้องรีบหลบหนี แต่พิธีประหารชีวิตวันนี้รวบรวมยอดมือปราบจากทั่วเมือง พวกเราคงไม่สามารถหนีรอดได้อีก”
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงขึ้นมา
จริงด้วย
เขาลืมคิดไปเลยว่าฝ่ายตรงข้ามอาจมีกำลังเสริมชุ่มแฝงตัวอยู่
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะประมาทเกินไปหน่อยจริงๆ
“ท่านเจ้าเมืองฉุย ท่านเป็นโรคกลัวการบินหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
“หา?”
ฉุยเฮาเฟิงขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
โรคกลัวการบินหมายความว่าอย่างไร?
แต่จังหวะต่อมา แขนขวาของเขาก็ถูกจับแน่น ก่อนที่ท้องฟ้าจะพลิกกลับ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉุยเฮาเฟิงมองเห็นก็กลับหัวกลับหาง
เกิดอะไรขึ้น?
ฉุยเฮาเฟิงรู้สึกเวียนหัวอยากอาเจียน
“เซียวปิง รับไป”
หลินเป่ยเฉินจับแขนของฉุยเฮาเฟิงหมุนตัวสองสามรอบแล้วเหวี่ยงอดีตผู้ว่าการประจำเมืองหยุนเมิ่งลอยออกไปจากลานประหาร
วูบ!
ร่างของฉุยเฮาเฟิงพุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ลอยข้ามศีรษะของผู้คนนับพัน ตรงไปยังนอกเขตตลาด
“ท่านพี่ได้โปรดวางใจ ข้าน้อยจะรับไว้เอง”
เด็กหนุ่มร่างอ้วนกระโดดขึ้นจากพื้นดินและคว้าตัวฉุยเฮาเฟิงจากกลางอากาศได้อย่างแม่นยำ
แต่ในจังหวะที่คว้าตัวฉุยเฮาเฟิงได้แล้ว สีหน้าของเซียวปิงก็เปลี่ยนแปลงไป
ลมหายใจต่อมา เด็กหนุ่มร่างอ้วนก็ร้องโหยหวนว่า “เหวอ ท่านพี่โยนมาแรงมากเกินไปแล้ว…”
พลัน เซียวปิงและฉุยเฮาเฟิงที่กอดกันกลมก็พุ่งกระเด็น หายลับเข้าไปในภูเขาเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ด้านข้างตลาด ได้ยินเสียงต้นไม้โค่นล้มดังโครมครามตลอดเวลา แล้วฝุ่นผงก็ลอยฟุ้งในอากาศ ราวกับมีคนทิ้งระเบิดปรมาณูอย่างไรอย่างนั้น
หลินเป่ยเฉินอ้าปากค้าง
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
พละกำลังในร่างกายของเขาเพิ่มมากขึ้นหรือไง?
หรือว่าจะเป็นเพราะ…
ทุกครั้งที่รับพลังจากเทพเจ้าเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายของเขาก็จะแข็งแกร่งมากขึ้น?
เด็กหนุ่มก้มหน้ามองมือตัวเอง
ถ้าเป็นอย่างนั้น…
การสูญเสียความบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ก็คงไม่ถือว่าร้ายแรงอะไรกระมัง?