เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 681 เรื่องนี้เขารู้กันทั่ว
เมื่อออกมาจากกระโจมที่พักของเด็กหนุ่ม หลิวเฟยซูและพรรคพวกถึงได้เห็นว่าค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งมีความยิ่งใหญ่ขนาดไหน
พวกเขาอดตกตะลึงไม่ได้
ภาพที่เห็นแตกต่างจากค่ายผู้อพยพในจินตนาการราวฟ้ากับเหว
ค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
ผู้คนในค่ายที่พักสวมใส่เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ใบหน้าประดับรอยยิ้มแห่งความหวัง ไม่มีสัญญาณของการขาดแคลนอาหารแม้แต่น้อย ทุกคนต่างช่วยเหลือกันสร้างบ้านพักขึ้นมาด้วยความขยันขันแข็ง
และบ้านพักที่พวกเขาสร้างขึ้นมา ก็มีลักษณะแปลกประหลาดมาก
มันไม่เหมือนบ้านพักหลังไหนในละครเจาฮุย… ไม่สิ ต้องบอกว่ามันไม่เหมือนบ้านพักหลังไหนในมณฑลเฟิงอวี่เลยดีกว่า
บ้านพักในค่ายผู้อพยพแห่งนี้มีรูปทรงสี่เหลี่ยม บางหลังก็ซ้อนกันเป็นสองชั้น บ้านทุกหลังก่อสร้างและเคลือบสีรูปแบบเดียวกันหมด แต่กลับดูเป็นระเบียบเรียบร้อยและสะอาดตาอย่างยิ่ง
ระหว่างเส้นทางไปสู่บ้านพักแต่ละจุดจะมีการขุดบ่อน้ำบาดาลเป็นระยะ เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วค่ายพักขนาดใหญ่
นอกจากนี้ ตามพื้นที่ก่อสร้างหลายจุดยังมีคนงานร่างกายกำยำ จัดการขนย้ายอิฐหินดินทรายด้วยความขะมักเขม้น เพียงมองดูแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าคนงานเหล่านี้ไม่ใช่คนธรรมดา แต่พวกเขาเป็นนายทหารจากกองทัพของที่ไหนสักแห่ง แต่ละคนมีระดับพลังไม่ต่ำต้อย ฝีมือกระบี่สามารถต่อกรกับนายทหารระดับสูงของจักรวรรดิได้อย่างไม่เขินอาย แต่แทนที่จะหยิบจับอาวุธฆ่าฟันศัตรู พวกเขากลับยิ้มแย้มทักทายชาวเมืองอย่างเป็นมิตร และทำงานก่อสร้างด้วยความคล่องแคล่วเป็นอย่างยิ่ง
“คนกลุ่มนี้เป็นทหารไม่ใช่หรือ?”
เฉินซงอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ใช่แล้ว ซ้ำยังเป็นนายทหารหน่วยจู่โจมฝีมือดีอีกด้วย เห็นทีคงจะมีแต่หน่วยทะลวงฟันของนครเจาฮุยเท่านั้นที่จะต่อกรกับพวกเขาได้”
หนงซานเจี๋ยนพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจไม่แพ้กัน “ว่าแต่ทำไมพวกเขาถึงมาเป็นคนงานในค่ายที่พักแห่งนี้ได้นะ”
“มีที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นอีก”
หลิวเฟยซูว่า “พวกเจ้าลองคิดดูให้ดี ตอนที่บุกเข้าไปในลานประหารเมื่อสักครู่ ผู้ติดตามของคุณชายหลินก็เป็นระดับยอดฝีมือทั้งนั้น นี่หมายความว่าค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง ย่อมต้องเป็นชุมชนเร้นมังกรซ่อนพยัคฆ์แน่นอน แม้ภายนอกดูไม่มีอะไร แต่ในความเป็นจริง คุณชายหลินมีขุมกำลังน่ากลัวมาก”
โจวต้าวไห่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
นับว่าค่ายผู้อพยพแห่งนี้มีความแปลกประหลาดมากเกินไปแล้วจริงๆ
“แต่ว่าพี่หลิว ดูเหมือนว่าบุตรสาวของท่านกับคุณชายหลินนั้นจะ…” เฉินซงลดเสียงลงเป็นกระซิบและเอนตัวเข้ามาพูดต่อจากเดิม
หลิวเฟยซูมุมปากกระตุกระริก
ศิษย์น้องของเขาคนนี้นับว่าพูดจาปากไม่มีหูรูดอย่างแท้จริง
“เจ้ามองออกด้วยหรือ?”
หลิวเฟยซูได้แต่ถามพร้อมกับถอนหายใจ
เหล่าชายฉกรรจ์จากเมืองเจี้ยนหยวนพร้อมใจกันพยักหน้าหงึกๆ บอกว่าดูออกตั้งแต่แรกเห็น
“ศิษย์พี่ ดูเหมือนว่าแผนการจับคู่บุตรสาวท่านกับบุตรชายของศิษย์พี่ฉุยจะล่มไม่เป็นท่าเสียแล้ว”
เฉินซงหัวเราะคิกคัก
“ความรักของลูกๆ พ่อแม่อย่าเข้าไปก้าวก่ายเลยดีกว่า”
“อิอิ ข้าคิดว่าคุณชายหลินก็เป็นคนดีไม่น้อยนะขอรับ ดูจากที่เขาเสี่ยงชีวิตช่วยเหลือศิษย์พี่ฉุย คนดีๆ เช่นนี้ไม่แปลกใจเลยที่จะมีหญิงงามเดินตามเขาต้อยๆ ถ้าหญิงงามเหล่านั้นจะเพิ่มบุตรสาวของท่านเข้าไปสักคน ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหายสักหน่อย”
“นี่ ศิษย์พี่ขอรับ ข้าว่าท่านคงต้องอยู่ที่ค่ายผู้อพยพแห่งนี้เป็นการถาวรเสียแล้ว ในเมื่อลูกสาวของท่านกลายเป็นภรรยาของคุณชายหลิน ในอนาคต ไม่แน่ว่าท่านอาจต้องเสียสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องบุตรเขยก็เป็นได้”
หลังจากนั้น กลุ่มชายฉกรรจ์ก็ระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความเฮฮา
หลิวเฟยซูได้แต่ถอนหายใจออกมายาวแรง ก่อนพูดว่า
“พวกเจ้าควรจริงจังกันให้มากกว่านี้หน่อยสิ”
เขาหมุนตัวกลับมามองหน้าศิษย์น้องคนสำคัญทั้งห้า “อีกไม่นานปัญหาใหญ่กำลังจะเกิด ปัจจุบันบ้านเมืองอยู่ในสภาพแตกแยกแบ่งก๊กแบ่งเหล่า พวกเจ้าก็คงได้เรียนรู้มาแล้วนะว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในเมืองเจี้ยนหยวน แต่แค่ไม่ได้สวมใส่เครื่องแบบนายทหาร จะหมายความว่าพวกเราไม่สามารถช่วยเหลือประเทศชาติได้อย่างนั้นหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นก็น่าเสียดายอย่างยิ่ง… พวกเราร่อนเร่พเนจรมาหลายสิบปี เฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้มานักต่อนัก หรือพวกเจ้าเคยชินต่อความเปลี่ยนแปลงจนลืมเลือนเจตจำนงของตนเองไปเสียแล้ว?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของกลุ่มชายฉกรรจ์สลายหายวับไปทันที
“ไม่รู้เพราะเหตุใด แต่ทันทีที่ข้าเห็นค่ายผู้อพยพแห่งนี้ ข้าก็เกิดสังหรณ์ว่าในอนาคตจะต้องมีการแบ่งแยกดินแดนกันแน่นอน พวกเราสมควรจับตาดูทุกอย่างให้ดี หากคุณชายหลินคือผู้ที่สามารถช่วยเหลือประเทศชาติให้รอดพ้นจากหายนะได้จริงๆ พวกเราก็สมควรเข้าร่วมกับค่ายผู้อพยพแห่งนี้ และเปลี่ยนเจตจำนงของพวกเราให้กลายเป็นความจริงเสียที”
หลิวเฟยซูพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
“แหม แหม แหม พี่สามช่างร้ายกาจเหลือเกิน”
โจวต้าวไห่หัวเราะออกมาเพื่อลดความตึงเครียดในบรรยากาศ “นี่ท่านกำลังวางแผนรวบรวมกำลังคนให้บุตรเขยของตนเองสร้างกองทัพสินะ แล้วพวกเราจะสามารถปฏิเสธได้อย่างไร?”
เฉินซงผสมโรงว่า “ศิษย์พี่หลิว ท่านเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว”
กลุ่มชายฉกรรจ์ส่งเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง
แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเข้าใจคำพูดของหลิวเฟยซูเป็นอย่างดี
เดิมทีทุกคนนับเป็นมือกระบี่ยอดอัจฉริยะ มีทางเลือกมากมายที่จะเข้าสำนักกระบี่ชื่อดัง แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยอมสาบานตนเป็นลูกศิษย์ของเมืองเจี้ยนหยวน
แต่ด้วยความที่เลือกอาจารย์ผิดคิดจนตัวตาย ช่วงเวลาในครึ่งชีวิตแรกของพวกเขาจึงสูญเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์
บัดนี้ โอกาสที่จะได้ตอบแทนประเทศชาติมาถึงแล้ว มีใครบ้างไม่อยากเข้าร่วม?
สำหรับกับชายฉกรรจ์กลุ่มนี้ นี่เปรียบเสมือนโอกาสสุดท้าย
ความเสี่ยงสูง
พวกเขาจะเดิมพันผิดพลาดไม่ได้อีกแล้ว
ในระหว่างที่พูดคุยกันมาถึงตรงนี้ ฉุยหมิงโหลวก็วิ่งเข้ามาประสานมือคำนับทุกคนด้วยความอ่อนน้อม
“คุณชายหลินสั่งให้ข้าน้อยจัดเตรียมที่พักให้แก่พวกท่านในค่ายแห่งนี้แล้วขอรับ รอให้บิดาของข้าฟื้นตัวขึ้นเสียก่อน ข้าจะให้พวกท่านได้เข้าพบเขาอีกครั้ง”
“เหนื่อยหน่อยนะ หลานชาย”
หลังจากนั้น กลุ่มชายฉกรรจ์ก็ติดตามฉุยหมิงโหลวไปยังเขตที่พักในค่ายผู้อพยพ
“นี่คือคนจากหอนางโลมบุปผารื่นรมย์ขอรับ เป็นเพราะพวกมันก่อปัญหานอกค่ายพัก คุณชายหลินจึงจับตัวมาใช้แรงงาน เพื่อชดใช้ความผิดที่พวกมันก่อ…”
“ส่วนนี่เป็นทหารจากทัพเว่ยซาน พวกเขามาลอบโจมตีค่ายของเรากลางดึกแต่ล้มเหลว สุดท้ายจึงถูกจับตัวมาใช้แรงงานตัดไม้ผ่าฟืนขนย้ายก้อนหิน…”
“คนกลุ่มนี้เป็นสมาชิก 19 นายจากหน่วยม้าขาวของกงซุนไป๋ และเนื่องจากพวกเขากระทำตัวหยาบคายต่อคุณชายหลิน จึงถูกจับกุมตัวมาใช้แรงงานในค่ายที่พักเพื่อชดใช้ความผิด…”
“ส่วนคนที่เหลือเป็นผู้อพยพจากค่ายอื่นๆ หลังผ่านการคัดเลือกแล้ว พวกเขาก็จะได้เข้ามาทำงานที่นี่ ตราบใดที่ทำงานอย่างขยันขันแข็ง ทุกวันก็จะได้รับค่าจ้างเป็นโอสถเป่ยเฉินสองเม็ด…”
ฉุยหมิงโหลวอธิบายทุกอย่างระหว่างเดินผ่านด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“โอสถเป่ยเฉินอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินชื่อที่แปลกประหลาดนั้น หลิวเฟยซูก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและถามว่า “มันคืออะไร?”
ฉุยหมิงโหลวจึงอธิบายสรรพคุณของโอสถเป่ยเฉินให้รับฟัง
บรรดายอดฝีมือจากเมืองเจี้ยนหยวนพากันเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
คงมีเพียงอัจฉริยะฟ้าประทานเท่านั้นที่จะคิดสูตรยาเช่นนี้ขึ้นมาได้
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งเคารพเลื่อมใสหลินเป่ยเฉินมากขึ้นเท่านั้น
ภายใต้การนำทางของฉุยหมิงโหลว กว่าที่กลุ่มชายฉกรรจ์จะเดินวนอ้อมค่ายที่พักมาถึงบ้านพักของตนเองนั้น ไม่รู้เลยว่าพวกเขาต้องอ้าปากค้างไปทั้งหมดกี่รอบ
กลุ่มชายฉกรรจ์รู้สึกเหมือนได้เข้าสู่โลกใบใหม่
ค่ายผู้อพยพแห่งนี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างแปลกประหลาดมากเกินไป
ยังคงมีอีกหลายเรื่องราวที่พวกเขาไม่เข้าใจและฉงนสงสัย ซึ่งทุกคนก็เฝ้ารอคอยที่จะได้พบคำตอบด้วยความตื่นเต้น
…
“เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นเช่นนี้…”
หลินเป่ยเฉินกำลังนอนแช่น้ำอุ่นอยู่ในอ่างอาบน้ำ หัวไหล่ได้รับการนวดคลึงจากสองสาวรับใช้ เขาเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวิหารบนเนินเขาผ่านตัวอักษร และส่งข้อความผ่านแอปวีแชทไปให้เทพีกระบี่หิมะไร้นามรับทราบ โดยที่ไม่ลืมกำชับด้วยว่า
‘ท่านเองได้โปรดระวังตัว เทพีกระบี่ที่อยู่กับท่านนั้นเป็นตัวปลอม หากนางรู้ว่าท่านทราบความจริงแล้ว ท่านอาจตกอยู่ในอันตรายก็เป็นได้… แต่ถ้าเกิดความแตกขึ้นมา ท่านอย่าบอกนางก็แล้วกันว่ารู้มาจากข้า… ขอให้ท่านโทษว่าเป็นความผิดของเทพเจ้าองค์ไหนสักองค์ก็ได้’
กว่าที่จะกดส่งข้อความเหล่านี้ออกไป หลินเป่ยเฉินผ่านการขบคิดอย่างหนักมาแล้ว
เขาเห็นถึงความจำเป็นที่ต้องเตือนเทพีกระบี่หิมะไร้นามให้รู้ตัว เพราะถึงอย่างไร นางก็เคยช่วยเหลือเขามาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
‘เป็นเพียงวิญญาณร่อนเร่พเนจร ยังกล้าเรียกตัวเองว่าเทพเจ้าอยู่อีกหรือ?’
เทพีกระบี่หิมะไร้นามตอบข้อความกลับมาอย่างรวดเร็วและยาวเหยียด ‘ในอดีต แม่นั่นอาจเคยเป็นเทพีกระบี่ก็จริง แล้วมันสำคัญตรงไหน? บนดินแดนทวยเทพมีเทพเจ้าอยู่เป็นพันเป็นหมื่นองค์ ใครแข็งแกร่งมากกว่ากันก็จะได้ครอบครองตำแหน่งที่ต้องการ เห็นได้ชัดว่านางวิญญาณเร่ร่อนนั่นอยากจะกลับคืนสู่ตำแหน่งแต่ไม่มีปัญญาทำได้ นางจึงอาศัยวิธีเป่าหูน้องชาย เจ้าได้โปรดอย่าหลงเชื่อคารมของนางเด็ดขาด น้องชายจงคิดด้วยความหนักแน่นเถิดว่า เทพีกระบี่บนดินแดนทวยเทพในขณะนี้ คือตัวจริงที่เหมาะสมที่สุดแล้ว’
หลินเป่ยเฉินถึงกับต้องอ่านทวนข้อความใหม่ด้วยความมึนงง
‘หมายความว่าท่านรู้เรื่องนี้มานานแล้วหรือ?’
เขาพิมพ์ถามกลับไป
‘แหม เรื่องนี้เขาก็รู้กันทั้งดินแดนทวยเทพนี่แหละ คนที่ไม่รู้ก็คือคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่เท่านั้น’
เทพีกระบี่หิมะไร้นามตอบกลับมาอย่างเร็วไวผิดปกติ ‘ตราบใดที่เทพเจ้าองค์อื่นๆ ไม่คัดค้าน เทพีกระบี่องค์ปัจจุบันก็ยังสามารถดำรงตำแหน่งได้ต่อไป ส่วนวิญญาณเร่ร่อนที่เจ้าพบเจอนั้น เป็นเพียงอดีตเทพีที่ยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ต่างหาก… เฮ้อ พูดไปก็ไร้ประโยชน์ ที่ข้าบอกน้องชายเรื่องนี้ ก็เพราะเห็นพวกเรามีความสัมพันธ์อันดีหรอกนะ ร่างเปลือยของข้า เจ้าก็เคยเห็นมาแล้ว วิญญาณเร่ร่อนตนนั้นก็แค่อยากปั่นหัวเจ้า น้องชาย อย่าปล่อยให้นางล้างสมองของเจ้าง่ายดายเช่นนี้สิ’
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
วิญญาณเร่ร่อนที่ยอมรับความจริงไม่ได้อย่างนั้นหรือ?
ผู้คนบนดินแดนทวยเทพรับทราบเรื่องนี้หมดแล้ว?
แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือเทพีกระบี่หิมะไร้นามกำลังเอาความสนิทสนมของพวกเขามาเป็นเดิมพัน
อย่างน้อยเขาก็เคยเห็นร่างเปลือยของนางมาแล้ว
พลัน หลินเป่ยเฉินรู้สึกลำบากใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย