เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 699 แผนการเปลี่ยนแปลงสถานะ
ตอนที่ 699 แผนการเปลี่ยนแปลงสถานะ
หมู่บ้านของชาวเมืองหยินเหยียน
บรรยากาศสดใส
กระท่อมของพวกเขาไม่สามารถป้องกันความหนาวเย็นได้อีกต่อไป เมื่อสายลมฤดูหนาวทวีความรุนแรงมากขึ้น มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะเอาตัวรอดต่อไปได้
กลุ่มผู้อพยพจึงขุดหลุมบนพื้นดิน และกระโดดลงไปอยู่ในนั้นเพื่อหลบซ่อนตัวจากความหนาว
นี่คือความฉลาดของมนุษย์
นี่คือการปรับตัวของมนุษย์เมื่อต้องเจอกับสภาพแวดล้อมสุดแสนหฤโหด
ทว่า หลุมใต้ดินก็ยังไม่สามารถป้องกันความมืดมิด ความคับแคบ ความชื้น และความทุกข์ของผู้คนได้อยู่ดี
โชคดีที่พวกเขาไม่ต้องทนรับสภาพแวดล้อมสุดโหดเช่นนี้อีกแล้ว
บัดนี้ ผู้อพยพจากเมืองหยินเหยียนกำลังเก็บเสื้อผ้าและข้าวของส่วนตัว เพื่อย้ายไปอาศัยอยู่ในหมู่บ้านของชาวเมืองหยุนเมิ่งเช้าวันพรุ่งนี้
นั่นเป็นเพราะว่าเหล่าคนงานที่ไปทำงานในค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง อย่างเช่นพวกของหยางต้าซาน ได้เปลี่ยนสถานะจากคนงานกลายเป็นผู้คนส่วนหนึ่งในหมู่บ้านของชาวเมืองหยุนเมิ่งอย่างเป็นทางการ ทุกคนจึงมีสิทธิ์ได้เช่าบ้านราคาถูก มีสิทธิ์ได้ใช้ชีวิตด้วยความสะดวกสบายภายในบ้านพักแสนอบอุ่นอีกครั้ง
พวกเขาจะไม่ต้องทนหิวโหย ไม่ต้องทนกับความเหน็บหนาวอีกแล้ว
สำหรับโชคชะตาของผู้อพยพก่อนหน้านี้ ทุกคนทำได้เพียงทำใจยอมรับความลำบาก
แต่บัดนี้ เพราะการปรากฏตัวของคุณชายหลิน ชีวิตของพวกเขาจึงดีขึ้นมากกว่าเดิมหลายร้อยเท่า
และวันนี้ ชาวเมืองหยินเหยียนก็ได้รับของขวัญพิเศษมาจากชาวเมืองหยุนเมิ่ง
นั่นคือโอสถเป่ยเฉิน
ทุกครอบครัวล้วนชื่นชอบยาลูกกลอนชนิดนี้
สำหรับกลุ่มผู้อพยพ หลินเป่ยเฉินมีค่าควรกราบไหว้บูชายิ่งกว่าเทพีกระบี่เสียอีก
หยางต้าซานกำลังบรรยายสิ่งที่ตนเองพบเจอมาในวันนี้ด้วยความตื่นเต้น “พวกเจ้าทราบหรือไม่ ด้วยสรรพคุณของดินดำเป่ยเฉินที่คุณชายหลินผลิตขึ้นมานั้น เพียงวันเดียวพวกเราก็สามารถสร้างบ้านได้ถึง 100 หลัง และบ้านแต่ละหลังก็แข็งแรงสะอาดสะอ้าน เห็นว่าอีกไม่นานจะมีสิ่งที่เรียกว่าเครื่องทำความร้อนติดตั้งด้วยนะ มันจะช่วยทำให้ภายในบ้านเกิดความอบอุ่นโดยไม่มีไฟไหม้… และ ‘บ้านเช่าราคาถูก’ ก็ถูกก่อสร้างขึ้นวันนี้เอง พวกมันมีสภาพดีกว่าบ้านพักของพวกเราไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ถึงจะไม่ดีเหมือนบ้านของชาวเมืองหยุนเมิ่ง แต่อย่างน้อยก็มีความอบอุ่นและอยู่ได้อย่างสะดวกสบาย…”
สำหรับหยางต้าซาน นี่คือวันแห่งความตกตะลึงอย่างแท้จริง
ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง เขาก็คงไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
เหล่าผู้ติดตามคนอื่นๆ รับฟังด้วยความนิ่งเงียบ
แต่ทุกคนกลับไม่ได้แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาอย่างที่คิด
หูเหลาปายิ้มมุมปากและพูดว่า “วันนี้ข้าก็เพิ่งไปเกี่ยวข้าวมาเหมือนกัน ข้าวที่เพิ่งหว่านเมล็ดพันธุ์ไปเมื่อวานนั่นแหละ…”
หลี่เหลาเอ้อร์เอ่ยขึ้นมาบ้าง “ทุ่งสมุนไพรวันนี้ก็มีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวมากมายเช่นกัน คิดไม่ถึงเลยว่าเวลาเพียงคืนเดียว สมุนไพรน้ำค้างร้อยปีกลับสามารถเติบโตขึ้นมาได้แล้ว…”
จางเหลาซานพูดด้วยความตื่นเต้น “วันนี้ข้าไปสำรวจพื้นที่สำหรับสร้างสถานศึกษากับคุณชายฉุย ปรากฏว่าคุณชายฉุยเลือกมาสามตำแหน่งในพื้นที่เขตสอง และเลือกอีกหนึ่งตำแหน่งในพื้นที่เขตสาม หากแผนการทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว คาดว่าสถานศึกษาของคุณชายหลินก็น่าจะใช้เวลาสร้างเพียงสามวันเท่านั้น…”
“คุณชายหลินสามารถเลือกพื้นที่ในเมืองเขตสามได้ด้วยหรือ?”
หลายคนหันมามองหน้าจางเหลาซานด้วยความไม่อยากเชื่อ
“ย่อมเลือกได้อยู่แล้ว เห็นว่ามีเจ้าหน้าที่แซ่เฉียนผู้หนึ่งเป็นคนอนุมัติคำสั่งให้แก่คุณชายหลินด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีใครสามารถคัดค้านพวกเขาได้อีก”
คนงานแซ่โจวพลันยิ้มอย่างผู้ชนะ “พี่ชายทั้งสามท่านอย่าเพิ่งหลงลำพองใจมากเกินไป สิ่งที่พวกท่านพบเจอหาได้น่าตกใจไม่เมื่อเทียบกับสิ่งที่ข้าเผชิญมา วันนี้ข้าติดตามพ่อบ้านหวังเข้าไปซื้อของในตัวเมืองเขตสาม พวกท่านรู้หรือไม่ว่าข้าพบเจอสิ่งใด? ข้าพบว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เขตสามต่างก็เข้ามาหัวเราะประจบประแจงพ่อบ้านหวัง แม้แต่ผู้ดูแลหอนางโลมบุปผารื่นรมย์เมื่อเห็นหน้าผู้อพยพอย่างข้า เขาก็ยังต้องก้มหัวให้เพื่อแสดงความเคารพ และต้อนรับข้ายามเข้าไปใช้บริการเป็นอย่างดี…”
กลุ่มชายฉกรรจ์หันขวับกลับมามองคนพูดเป็นตาเดียว “หอนางโลมบุปผารื่นรมย์อย่างนั้นหรือ?”
นี่หมายความว่าคนแซ่โจวแอบไปเที่ยวหอนางโลมที่ใหญ่ที่สุดในตัวเมืองมาใช่หรือไม่?
คนแซ่โจวตกตะลึง ก่อนจะลอบอุทานว่าแย่แล้ว
เขาเผลอหลุดปากออกมาเสียได้
พ่อบ้านหวังอุตส่าห์กำชับนักหนาไม่ให้เขาบอกผู้ใดว่าวันนี้พวกเขาแอบแวะไปที่หอนางโลมบุปผารื่นรมย์ก่อนเดินทางกลับค่ายที่พักหลายชั่วยามหลังจากนั้น
คนแซ่โจวเมื่อคิดได้จึงไม่พูดอะไรออกมาอีก นอกจากคุกเข่าลงไปบนพื้นและขอร้องว่า “พี่ชายทั้งหลาย ได้โปรดอย่านำเรื่องนี้ไปบอกผู้ใดเลยนะขอรับ”
พลัน ในบ้านพักของพวกเขาก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะด้วยความสนุกสนาน
…
บนยอดต้นสน
ภายในกระโจมที่พักหลังใหญ่
หลินเป่ยเฉินกำลังรับประทานผลแก้วมังกรสวรรค์
ปากของเขากลายเป็นสีแดงฉานเหมือนกำลังกินเลือดไม่มีผิด
ดังนั้น จึงไม่มีผู้ใดกล้ารับประทานผลแก้วมังกรที่สองสาวรับใช้นำมาปอกวางไว้บนถาดเบื้องหน้าทุกคนเลย
เพราะผลไม้ชนิดนี้มีหน้าตาน่ากลัวมากเกินไป
“ทุกคนจงกินเถิด ไม่ต้องเกรงใจ”
หลินเป่ยเฉินพูดไปด้วยกินไปด้วย “วันนี้พี่ใหญ่เกาแห่งนครเจาฮุย ได้แวะมาดื่มสุรากับข้าหลายจอก และพวกเราก็ได้พูดคุยกันอยู่หลายเรื่อง…”
คำพูดประโยคนี้ทำให้ฉู่เหิน หลิวฉีไห่ พานเว่ยหมินและคนอื่นๆ มีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาทันที
แน่นอนว่าพี่ใหญ่เกาที่เด็กหนุ่มพูดถึงก็คือเกาเฉิงฮั่นนั่นเอง
แต่การเรียกขานผู้มีพลังระดับเซียนอย่างสนิทสนมเช่นนี้ ทำให้คณะอาจารย์รู้สึกเป็นกังวลไม่ใช่น้อย
เพราะพวกเขาไม่รู้เลยว่าเกาเฉิงฮั่นจะยินดีให้หลินเป่ยเฉินเรียกขานด้วยความสนิทสนมเช่นนี้หรือไม่
การที่เกาเฉิงฮั่นมาเยือนค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งด้วยตนเอง อีกทั้งยังพูดคุยกับหลินเป่ยเฉินอยู่นานสองนาน ย่อมมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของค่ายที่พักแห่งนี้รวมอยู่ด้วย
คณะอาจารย์รู้สึกได้ว่าความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ พี่ใหญ่เกาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เอาเรื่องพวกเราแม้แต่ข้อหาเดียว”
หลินเป่ยเฉินหยิบแก้วมังกรที่มีขนาดเท่าแตงโมหั่นชิ้นพอดีคำยัดใส่ปากและพูดต่อ “ตกลงพวกท่านจะไม่รับประทานจริงๆ หรือ มันอร่อยมากนะ ข้าจะโกหกพวกท่านไปเพื่ออะไร?”
ฉู่เหินใบหน้ากระตุกเล็กน้อยด้วยความไม่เชื่อใจ ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “หมายความว่าเรื่องที่เราขัดแย้งกับกองทัพเว่ยซาน และจับทหารของพวกเขามาใช้แรงงานในหมู่บ้านของเรานั้น… ทางนครเจาฮุยจะไม่เอาเรื่องเอาราวอะไรเลยหรือ?”
“ใช่แล้วขอรับ พี่ใหญ่เกาบอกว่าจะไม่เอาเรื่องพวกเราเลย”
หลินเป่ยเฉินรับประทานแก้วมังกรสวรรค์อย่างเอร็ดอร่อยต่อไป
ทุกคนนิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออก
หลินเป่ยเฉินรู้ตัวไหมว่าตนเองเป็นคนที่พูดจาเหลวไหลมากมายขนาดไหน?
ทุกสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดออกมา คณะอาจารย์ไม่ทราบเลยว่าสมควรต้องเชื่อสักกี่ส่วนกัน
หลินเป่ยเฉินพูดต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น พี่ใหญ่เกาก็ยังรับปากว่าจะยกเลิกโทษประหารของท่านเจ้าเมืองฉุยและท่านอาหลิว รวมถึงคนอื่นๆ ที่กระทำการช่วยเหลือนักโทษประหารหลบหนีด้วยเช่นกัน”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉุยเฮาเฟิง หลิวเฟยซู และคณะยอดฝีมือที่ปฏิบัติการชิงตัวนักโทษประหารก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ
พวกเขามีโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิต ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เกิดความทุกข์ใจถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ
แต่เมื่อหลินเป่ยเฉินบอกว่าเกาเฉิงฮั่นรับปากจะยกเลิกโทษประหารของพวกเขา กลุ่มชายฉกรรจ์จึงสามารถถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกได้เสียที
เพราะหากไม่ใช่ผู้มีพลังระดับเซียนซึ่งมีตำแหน่งพิเศษประจำเมืองออกหน้าเองเช่นนี้ แม้แต่ผู้ว่าการมณฑลก็คงไม่กล้ายกเลิกโทษประหารให้แก่นักโทษคดีอุกฉกรรจ์อย่างพวกเขาด้วยซ้ำ