เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 729 นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็กลัวเป็นเหมือนกันนี่นา
ตอนที่ 729 นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็กลัวเป็นเหมือนกันนี่นา
ลมหายใจต่อมา หลินเป่ยเฉินรับรู้ได้ถึงพลังที่ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย
นี่คือความรู้สึกที่แปลกประหลาดมาก
มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับครั้งที่แล้วตอนที่ทำภารกิจเลื่อนระดับแบบก้าวกระโดด ร่างกายของเขาจะแข็งเกร็ง ราวกับว่าร่างกายและวิญญาณถูกหยุดชะงักอยู่กับที่
คลื่นความร้อนแผ่ไปถึงอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย
นี่คือความรู้สึกคล้ายกับการเกิดเหน็บชา เหมือนตอนที่หลินเป่ยเฉินนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อเล่นเกมโดยไม่ได้ขยับตัวนานเกินไป
หลังจากนั้น ความรู้สึกที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้น… ราวกับว่าเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของหลินเป่ยเฉินถูกฉีดพลังเพิ่มเติมเข้าไป
กระบวนการเหล่านี้ไม่รู้เลยว่ากินเวลานานเท่าไหร่
เมื่อหลินเป่ยเฉินกลับมาได้สติอีกครั้ง เขาก็รู้สึกเหมือนเพิ่งตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการเมาค้าง แม้ร่างกายจะปวดเมื่อยเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกสบายเนื้อสบายตัว
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน
สดชื่นเหลือเกิน!
เขาได้ยินเสียงดังกร๊อบแกร๊บออกจากข้อต่อทุกส่วนในร่างกาย
หลินเป่ยเฉินยืนบิดขี้เกียจ
ทุกครั้งที่เขาขยับตัว ก็จะมีเสียงกระดูกเคลื่อนไหวดังออกมาตลอดเวลา คล้ายกับว่าพวกมันกำลังเคลื่อนกลับเข้าตำแหน่งเดิมอย่างไรอย่างนั้น
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ว่าร่างกายของตนเองแข็งแกร่งมากกว่าเดิมหลายเท่า
เขารู้แล้วว่าความรู้สึกของประโยคที่ว่า ‘กำปั้นทะลวงนภา บาทาขยี้ปฐพี’ มันเป็นอย่างไร
“ถึงกระดูกในร่างกายของเราจะแข็งแกร่งสู้เซียวปิงไม่ได้ แต่เรี่ยวแรงของเราต้องมากกว่าเจ้าอ้วนนั่นหลายเท่าแน่นอน ฮ่าฮ่าฮ่า”
“ด้วยพละกำลังมหาศาลเช่นนี้ ขอเพียงหมัดเดียวเท่านั้น เราก็สามารถต่อยเซียวปิงตายได้เป็นร้อยคนแล้ว”
“แต่โชคดีนะเนี่ยที่เราฝึกวิชากระบี่เร้นกายเอาไว้ ไม่อย่างนั้น ร่างกายคงทนการเลื่อนระดับแบบก้าวกระโดดอย่างนี้ไม่ไหวแหง”
“แต่เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมดูเหมือนร่างกายจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างเดียว แต่พลังลมปราณไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยหว่า?” เมื่อหลินเป่ยเฉินปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงของร่างกายได้แล้ว เขาถึงได้ค้นพบปัญหาใหญ่ของตนเอง
ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เพียงหมัดเดียว ก็คงสามารถเอาชนะแม่ทัพฉลามอู๋หยา ผู้มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายได้แล้ว
แต่พลังปราณธาตุทองคำในร่างกายของเขาไม่ได้เพิ่มขึ้นด้วย
ดูเหมือนว่าการเลื่อนระดับแบบก้าวกระโดดของแอปพลิเคชัน Keep จะหมายถึงการเลื่อนระดับของร่างกายอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้รวมถึงการเลื่อนระดับของพลังลมปราณด้วยอย่างนั้นหรือ?
ประโยคตอนรับภารกิจที่ว่า ‘อาจจะสามารถเลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นเซียนได้สำเร็จ’ นั้น ก็น่าจะรวมถึงการเลื่อนระดับพลังลมปราณด้วยไม่ใช่หรือไง?
แต่เมื่อมีคำว่า ‘อาจจะ’ เข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็สามารถตีความได้หลายความหมาย
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินทำภารกิจสำเร็จแล้ว ‘ โอกาส’ ที่ ‘อาจจะ’ เลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นเซียนได้ ก็คงขี้นอยู่กับตัวเขาเอง
แต่เขาจะใช้โอกาสครั้งนี้เลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นเซียนได้สำเร็จอย่างไร นั่นแหละคือสิ่งสำคัญที่สุด
หลินเป่ยเฉินลองโคจรพลังลมปราณในร่างกาย แน่ใจว่ามันต้องมีสักทางที่ทำให้เขาเลื่อนระดับพลังได้สำเร็จ แต่อย่างน้อย เขาก็ค้นพบประโยชน์หนึ่งอย่างของการที่มีร่างกายแข็งแรงขึ้นแล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า ร่างกายของเราแข็งแรงขึ้นขนาดนี้ คืนนี้ล่ะ เราจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เยว่เว่ยหยางอีกต่อไป ถึงนางจะเป็นเทพเจ้ากลับมาเกิดใหม่ แต่นางก็จะต้องร้องขอชีวิตจากเราแน่นอน”
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความมั่นใจ
ในที่สุด เขาก็จะได้มีโอกาสสอนบทเรียนให้แก่เทพีกระบี่องค์เก่าสักที
คืนนี้จะเป็นครั้งแรกที่นางต้องยอมแพ้ต่อเขา
เมื่อคิดได้ดังนั้น เด็กหนุ่มก็เฝ้ารอคอยให้ราตรีกาลมาเยือนด้วยใจจดจ่อ
แต่จนแล้วจนรอด รอจนถึงรุ่งเช้า ‘เยว่เว่ยหยาง’ กลับไม่ได้มาปรากฏตัวเหมือนทุกคืน
“หืม?”
“หรือนางจะรู้ว่าเราแข็งแกร่งมากขึ้น ก็เลยไม่กล้ามา?”
“นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็กลัวเป็นเหมือนกันนี่นา”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกผิดหวังยิ่งนัก
…
ณ วิหารประจำนครเจาฮุย
ยอดเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหารประจำเมืองโผล่พ้นออกมาจากม่านหมอกยามเช้า เยว่เว่ยหยางยืนอยู่หน้าทางเข้าวิหารตลอดคืน คิ้วของนางขมวดมุ่น
“ในเมื่อมาอยู่ที่นี่แล้ว เหตุไฉนถึงไม่กล้าโผล่หน้าออกมา ช่างขี้ขลาดเหลือเกิน”
เด็กสาวพูดออกมาแผ่วเบา
นักพรตใหญ่หลงเยว่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลังไม่ต่างจากหุ่นไม้ตัวหนึ่ง ตลอดคืนที่ผ่านมา หญิงชราก็ไม่พูดอะไรเลยสักคำเดียว
“ลำแสงประทานพรสี่สาย ผู้ปล่อยลำแสงสามคน ฮ่าฮ่าฮ่า…”
“เจ้าพวกปีศาจ ถ้าอยากจะมาแย่งความศรัทธาไปจากข้า พวกเจ้าก็มีแต่ต้องตายก่อนเท่านั้น”
ริมฝีปากของเยว่เว่ยหยางบิดตัวเป็นรอยยิ้มอำมหิต
เมื่อวานนี้ นางตั้งใจยิงลำแสงประทานพรใส่รูปปั้นเทพีกระบี่ในสถานศึกษา เพื่อเป็นการบอกให้ทุกคนรู้ว่านางคือเทพีกระบี่ตัวจริงเพียงผู้เดียวเท่านั้น
บัดนี้ นางกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งพร้อมด้วยความแค้นเต็มหัวใจ
ไม่เพียงแต่เทพีกระบี่ในร่างเด็กสาวอยากจะทวงคืนทุกอย่างที่เคยเป็นของตนเองกลับมาเท่านั้น แต่นางยังต้องการแก้แค้นผู้ที่เคยทรยศหักหลังนางในอดีตอีกด้วย
ลำแสงประทานพรสามสายแรกนั้น ลำแสงแรกเป็นของเทพีกระบี่จอมปลอมที่อยู่บนดินแดนทวยเทพ ลำแสงที่สองเป็นของนางปีศาจที่อยู่ในตัวเมืองเจาฮุย ซึ่งนางปีศาจนั้นต้องการแสดงอภินิหารเพื่อประกาศสงคราม
แต่สิ่งเดียวที่ทำให้ ‘เยว่เว่ยหยาง’ มึนงงสับสนมากที่สุดก็คือลำแสงประทานพรสายที่สี่ นางไม่รู้เลยว่ามันมาจากไหน
หรือว่าจะมีปีศาจอีกหนึ่งตนแฝงตัวอยู่ในนครเจาฮุย?
มิหนำซ้ำ ปีศาจตนนี้ยังมีระดับพลังเทียบเท่าเทพีกระบี่ตัวปลอมกับนางปีศาจตัวเก่าอีกด้วย
เห็นทีคงประมาทไม่ได้แล้ว
“เหตุที่เทพีกระบี่ตัวปลอมยิงลำแสงใส่รูปปั้นวิหคหน้าสถานศึกษานั้น เป็นเพราะว่านางไม่กล้ายอมรับว่าตนเองคือเทพีกระบี่ตัวจริง”
“ส่วนที่นางปีศาจยิงลำแสงใส่รูปปั้นของหลินเป่ยเฉิน ก็เพราะอยากจะส่งเสริมภาพลักษณ์ให้หลินเป่ยเฉินกลายเป็นเทพเจ้า…”
“ส่วนลำแสงสุดท้ายที่ยิงใส่ร่างกายของหลินเป่ยเฉินนั้น ข้าไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใดกันแน่ ฮ่าฮ่าฮ่า…”
“น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ”
‘เยว่เว่ยหยาง’ เข้าใจว่าหนึ่งในปีศาจที่แสดงอภินิหารเมื่อวานนี้ จะต้องบุกมาที่วิหารของนางตอนกลางดึกแน่นอน คิดไม่ถึงเลยว่ารอคอยจนรุ่งเช้า กลับไม่มีภูตผีปรากฏตัวแม้แต่ตนเดียว
ขี้ขลาดตาขาว
เสียเวลาจริงๆ
เมื่อคืนนี้นางจึงไม่ได้ดูดซับพลังจากหลินเป่ยเฉินเหมือนที่ทำทุกๆ คืน
หึหึ
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้แล้ว เทพีกระบี่ในร่างเด็กสาวจึงนึกขึ้นมาได้ว่าร่างกายของเด็กหนุ่มมีความแปลกประหลาดพิสดารมากเกินไป
นี่ก็ผ่านมานานนับเดือนแล้ว แทนที่พลังของเขาจะหมดไป มันกลับเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่งผลดีต่อเยว่เว่ยหยางโดยตรง มันทำให้นางฟื้นฟูพลังขึ้นมาได้เร็วมากกว่าที่คิด
“งั้นถือว่าให้เวลาเขาได้พักผ่อนหน่อยก็แล้วกัน”
เยว่เว่ยหยางค่อยๆ หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในวิหาร
นักพรตใหญ่หลงเยว่เหลียวหน้ามองเทพีกระบี่ผู้กลับมาเกิดใหม่เดินหายลับไปจากสายตา แล้วแววตาของหญิงชราก็เป็นประกายวิตกกังวลขึ้นมาทันที
ไม่รู้เพราะเหตุใด นักพรตใหญ่หลงเยว่ถึงได้รู้สึกว่าเทพีกระบี่องค์นี้ ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
…
เด็กสาวผู้หนึ่งนั่งอยู่บนยอดหอคอยหรูหราของคฤหาสน์หลังโตในพื้นที่เขตสี่ และขณะนี้ นางกำลังจ้องมองไปยังทิศทางของวิหารประจำเมืองที่อยู่บนยอดเขาห่างไกลออกไป
“ยังคิดว่าตนเองแข็งแกร่งอยู่เหมือนเดิมอีกหรือ?”
เด็กสาวยกมือกอดอก ดวงตาเป็นประกายเกลียดชังวาววูบ “อีกไม่นานหรอก เดี๋ยวเจ้าจะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า และใครกันแน่ที่เป็นผู้ถูกล่า”
นางเอนตัวลงนอนบนยอดหอคอย เงยหน้ามองท้องฟ้า
“เทพเจ้าเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นจะมีสิ่งใดน่าเคารพนับถือสักนิด”
“ต่อให้นางกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง นางก็สามารถตายได้อีกครั้งเช่นกัน”
“โลกใบนี้ควรเป็นของทุกคน ไม่ควรอยู่ภายใต้การปกครองของเทพเจ้าแต่เพียงฝ่ายเดียว มิเช่นนั้น นี่ไม่เท่ากับว่าเป็นการเอาเปรียบผู้อื่นหรอกหรือ…”
“พายุใหญ่กำลังจะมาเยือนแล้ว นับจากนี้ไป โลกใบนี้จะต้องเกิดความเปลี่ยนแปลง”
เด็กสาวยังคงยกมือกอดอกขณะที่จ้องมองดวงตะวันค่อยๆ ลอยขึ้นจากหลังม่านหมอก ณ เส้นขอบฟ้าพร้อมกับการมาถึงของเช้าวันใหม่
…
ในพื้นที่เขตสาม
คฤหาสน์หลังเล็ก
หลิงเฉินกำลังนั่งอยู่บนกิ่งไม้ของต้นหม่อนโบราณซึ่งยืนต้นอยู่ในลานข้างคฤหาสน์ เส้นผมสีดำยาวของนางปลิวไสวไปตามสายลมหนาวที่พัดผ่าน ไม่ต่างจากเปลวไฟสีดำที่กำลังปะทุ
“เฮ้อ พวกเราไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้วนะ”
“ท่านรู้แล้วใช่ไหมว่าข้าอยู่ในเมือง”
“หากทำจนถึงขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ แสดงว่าท่านโง่เขลาเกินไปแล้ว”
“อย่าให้ข้าต้องเป็นฝ่ายไปหาท่านก่อนนะ”
“มิฉะนั้น เราได้เห็นดีกันแน่ เชอะ”
นางพูดกับตัวเองก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
แววตาของเด็กสาวเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“เฉินเอ๋อร์ เจ้าออกมานั่งอยู่บนต้นไม้อีกแล้วหรือ? รีบลงมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ได้เวลารับประทานยาแล้ว”
ชินหลันซูเดินมายืนอยู่ใต้ต้นไม้
หลิงเฉินม้วนตัวลงมาจากกิ่งไม้และทิ้งตัวลงมายืนอยู่บนพื้นดินอย่างสวยงาม ก่อนพูดว่า “รับทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่”