เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 742 หยดน้ำตาร่วงหล่นเป็นแสงสลัว
ตอนที่ 742 หยดน้ำตาร่วงหล่นเป็นแสงสลัว
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบอย่างแปลกประหลาด
ทุกคนรู้สึกได้ถึงความโกรธแค้นที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเด็กสาว ซึ่งปรากฏตัวขึ้นมาจากใต้พื้นดินผู้นี้
ทันใดนั้น คลื่นพลังแห่งความโกรธแค้นและจิตสังหารก็แผ่ปกคลุมทั่วบริเวณ ส่งผลให้กลุ่มนายทหารคนงานขุดเหมือง ผู้ผ่านสมรภูมิความตายมาอย่างโชกโชน ก็ยังอดยืนตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัวไม่ได้
ป้อมอสรพิษซุกซ่อนขุมกำลังที่น่าหวาดกลัวเอาไว้จริงๆ
ใช่แล้ว
คลื่นพลังที่แผ่ออกมาจากร่างเด็กสาวคนนี้ ให้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรจากพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพีกระบี่
อู๋หงที่หมดสติอยู่ในอ้อมแขนของหลินเป่ยเฉินมีเลือดเปียกชุ่มร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้า กระดูกแตกหักไม่เหลือชิ้นดี
แม้ว่าหลินเป่ยเฉินจะโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่ร่างกายของนางเพื่อเยียวยาอาการบาดเจ็บ แต่นักล่าอสูรสาวบาดเจ็บหนักมากเกินไป สุดท้าย เด็กหนุ่มก็ได้แต่พูดด้วยความตื่นตระหนกว่า
“พี่อู๋หง ทะ… ท่านต้องอดทนไว้ก่อนนะ”
หลินเป่ยเฉินไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกแล้ว ตะโกนเสียงดังว่า “รีบนำยารักษาอาการบาดเจ็บมาเร็วเข้า”
โจวฉุยหวูซวงผู้เป็นลูกศิษย์เอกของอานมู่ซีรีบปรี่เข้ามาดูอาการคนเจ็บ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตามองหลินเป่ยเฉินอย่างหมดหวัง
อู๋หงได้รับบาดเจ็บหนักมากเกินไป
ต่อให้มียาวิเศษก็ไม่สามารถช่วยนางได้อีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินกัดฟันกรอดและออกคำสั่ง “อย่างน้อยก็พยายามยื้อชีวิตนางเอาไว้ให้ได้นานที่สุด”
โจวฉุยหวูซวงกัดฟันและพยักหน้ารับคำสั่ง นอกจากนำโอสถหลายชนิดออกมาให้อู๋หงรับประทานแล้ว ก็ยังถ่ายเทพลังลมปราณของตนเองให้แก่หญิงสาวอีกด้วย
สองมือของหลินเป่ยเฉินเปียกชุ่มไปด้วยโลหิต
เขาเงยหน้ามอง
ในม่านหมอกขาวและฝุ่นผงที่จางหายไป ร่างของเด็กสาวยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงยังไม่เห็นหน้า หลินเป่ยเฉินก็รู้แล้วว่านางเป็นใคร
เด็กหนุ่มไม่คิดเลยว่าเมื่อกลับมาพบเจอกันอีกครั้ง พวกเขาจะต้องมาเจอกันในสถานการณ์เช่นนี้
“ข้าเคยช่วยเหลือเจ้าและปล่อยเจ้าให้รอดชีวิตมาแล้วครั้งหนึ่ง”
เด็กสาวร่างเล็กที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หลินเป่ยเฉิน ทำไมเจ้าถึงต้องเป็นศัตรูกับข้าครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยนะ?”
เด็กสาวผู้นี้ก็คือไป๋ชินหยุน
คุณหนูผู้ร่ำรวยจากสถานศึกษากระบี่สาม
นับเป็นสหายเก่าที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาในหุบเขาชายแดนเหนือ ผ่านความยากลำบากมาด้วยกันนับไม่ถ้วน
ใช่แล้ว…
และไป๋ชินหยุนก็ยังมีสถานะเป็นนางปีศาจที่ปรากฏตัวขัดขวางไม่ให้หลินเป่ยเฉินเดินทางมายังนครเจาฮุยอีกด้วย
หลินเป่ยเฉินได้แต่ก้มมองมือที่เปื้อนเลือดของตนเอง ไม่ตอบคำใด
หลังจากนั้น เขาจึงกระซิบถามออกไปว่า “เจ้าเป็นคนสร้างป้อมอสรพิษขึ้นมาอย่างนั้นหรือ?”
ภายในป้อมอสรพิษมีซากศพและโครงกระดูกของผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นดั่งสวนสวรรค์ ทุกซอกมุมของสถานที่แห่งนี้กลับเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ไม่ทราบเลยว่าตลอดทุกวันทุกคืนที่ผ่านมา ต้องมีผู้เคราะห์ร้ายเสียชีวิตไปมากมายเพียงใด และต้องมีเลือดเนื้อของผู้บริสุทธิ์มากแค่ไหนที่ถูกสังเวยให้แก่นางปีศาจตนนี้…
หลินเป่ยเฉินไม่เคยมีอคติกับพวกสาวกปีศาจมาก่อน
แม้ว่าทั้งจักรวรรดิจะเกลียดชังสาวกปีศาจ และไล่ล่ากลุ่มคนเหล่านั้นด้วยความโกรธแค้นอำมหิต แต่หลินเป่ยเฉินก็ไม่เคยคิดสนใจ
นักพรตหญิงชินถูกใส่ความว่าเป็นสาวกปีศาจ ไป๋ชินหยุนกลับกลายเป็นนางปีศาจที่แท้จริงซึ่งสาวกปีศาจทุกคนให้ความเคารพบูชา ส่วนเยว่เว่ยหยางก็เป็นร่างของเทพีกระบี่ที่กลับมาเกิดใหม่….
สำหรับหลินเป่ยเฉินที่ทะลุมิติมาจากโลกอื่น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ ปีศาจหรือเทพเจ้า ทุกคนก็มีค่าเท่าเทียมกันหมดในสายตาของเขา
แต่บัดนี้…
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในป้อมอสรพิษ การสังเวยเลือดเนื้อผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก คือฝีมือของไป๋ชินหยุนอย่างนั้นหรือ?
หากเป็นเช่นนั้นแล้วล่ะก็…
มุมมองของหลินเป่ยเฉินที่มีต่อนางปีศาจและสาวกของนางก็จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
เพราะฉะนั้น ที่พวกปีศาจได้รับความเกลียดชังมากถึงขนาดนี้ ก็คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วกระมัง?
หลินเป่ยเฉินไม่ได้อยากทำตัวเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม หรือมีจิตวิญญาณของความเป็นผู้กล้า
นับตั้งแต่ที่อยู่ในโลกวรยุทธ์แห่งนี้ เขาประพฤติตนเป็นคนเห็นแก่ตัว หน้าเลือด จิตใจคับแคบ ไม่สนใจช่วยเหลือผู้ใดถ้าไม่จำเป็น…
เหตุผลบังหน้าที่บุกป้อมอสรพิษในวันนี้ ก็เพื่อมาช่วยเหลือผู้คน แต่เหตุผลที่แท้จริงนั้นเป็นเพราะเขาได้ยินเฉียนซื่อบอกว่าที่นี่มีคลังเก็บสมบัติขนาดใหญ่ต่างหาก…
แต่ตอนนี้เล่า?
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม? ไม่ใช่แล้วจะทำไม?”
ไป๋ชินหยุนหัวเราะในลำคอ
รอบๆ ร่างกายเด็กสาวปรากฏแสงสว่างเรืองรอง
ช่วยเสริมสร้างความสง่างามเป็นอย่างยิ่ง
แต่น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นกลับทำให้ไป๋ชินหยุนดูน่าหวาดกลัวอย่างแปลกประหลาด
“ข้าเคยปล่อยเจ้าไปแล้ว ทั้งๆ ที่เจ้าทำลายแผนการของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ทำร้ายผู้คนของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ทำไมเจ้าถึงต้องพยายามทดสอบความอดทนของข้าตลอดเลยนะ?”
สีหน้าของไป๋ชินหยุนปรากฏความผิดหวังเหมือนถูกเด็กหนุ่มหักหลังอย่างไรอย่างนั้น
นางวางร่างของราชันย์งูพิษลงบนพื้นดินข้างกาย ก่อนถ่ายทอดลำแสงประหลาดเหล่านั้นเข้าไปในร่างของประมุขป้อมผู้เสียชีวิต หลังจากนั้น ไป๋ชินหยุนก็หันกลับมามองหลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “หลินเป่ยเฉิน เรื่องราวในอดีตระหว่างเจ้ากับข้า นับจากนี้ไป…ถือว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น”
เด็กสาวยกมือข้างหนึ่งชูขึ้นไปในอากาศ
มวลอากาศปั่นป่วน
เส้นผมของนางฟุ้งกระจาย
เส้นผมจำนวนมากของนางขาดสะบั้น
ท่ามกลางแสงสว่างเรืองรองที่ห้อมล้อมรอบกาย หยดน้ำตาของไป๋ชินหยุนร่วงหล่นลงมากลายเป็นแสงสลัว
เสียงพูดของไป๋ชินหยุนยิ่งเย็นชามากกว่าเดิม “สำหรับเจ้า คนแซ่หลิน ความเมตตาที่ข้าเคยมีต่อเจ้านั้นไม่เหลืออยู่อีกแล้ว …ท่านปู่โจวของข้า รวมถึงพี่น้องสาวกของเขาทุกคนต้องตายก็เพราะเจ้า วันนี้ แม้แต่ประมุขป้อมทั้งสองคนนี้ก็ต้องตายด้วยน้ำมือของเจ้า เพราะฉะนั้น ระหว่างเจ้ากับข้ามีความแค้นมากเกินไป และข้าจะต้องแก้แค้นให้แก่ผู้คนของข้าที่เสียชีวิตไปให้ได้”
พูดยังไม่ทันขาดคำ
ร่างของไป๋ชินหยุนก็พุ่งเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินด้วยความเร็วสูงสุดพร้อมกับกำปั้นที่ชูขึ้นสูง
พลังกดดันจากกำปั้นของเด็กสาวรุนแรงมากพอที่จะถล่มภูเขาแยกมหาสมุทร
“ทุกคนหลบไป!”
หลินเป่ยเฉินคำรามออกมาเสียงดังขณะที่เส้นผมของตนเองปลิวไสวไปตามแรงลม กล้ามเนื้อทุกส่วนสัดในร่างกายแข็งเกร็ง
ในเวลาเดียวกันนี้ เด็กหนุ่มก็รวบรวมเรี่ยวแรงในร่างกายที่อยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย กระโจนเข้าไปซัดกำปั้นใส่ไป๋ชินหยุนเช่นกัน
ผลั่ก!
ผลั่ก!
ผลั่ก!
ได้ยินเสียงกำปั้นปะทะกันดังสนั่น
คลื่นพลังแผ่กระจายไปรอบบริเวณ
ใจกลางคลื่นพลังงานเป็นเด็กหนุ่มและเด็กสาวที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
คลื่นพลังกระจัดกระจายครอบคลุมไปทั่วป้อมอสรพิษ
ไม่ว่าเด็กหนุ่มและเด็กสาวเคลื่อนกายไปตรงจุดไหน พื้นที่บริเวณนั้นก็จะถูกทำลายล้างหมดสิ้น
หมู่ตึกจำนวนมากของป้อมอสรพิษพังถล่ม ทุกแห่งทุกหนกลายเป็นพื้นที่รกร้าง…
หลงเหลือเพียงก้อนหินดินทราย…
ราวกับว่านี่คือโลกหลังความตาย
กองทัพนายทหารคนงานขุดเหมืองล่าถอยออกไปตั้งหลัก…
นี่ไม่ใช่สงครามที่พวกเขาจะร่วมต่อสู้ได้
แม้แต่เฉียนเหมยซึ่งอยากจะเข้าไปช่วยเหลือนายน้อยใจจะขาด ก็ยังไม่สามารถฝ่ากระแสคลื่นพลังเข้าไปใกล้ตัวหลินเป่ยเฉินกับไป๋ชินหยุนได้เลยสักนิด
วูบ!
หลินเป่ยเฉินถูกกระแทกลอยขึ้นไปในอากาศ
แขนข้างหนึ่งของเขามีเลือดสาดกระจาย
“ทำไมแม่งเก่งจังเลยวะ”
เด็กหนุ่มตกตะลึง
ด้วยความที่ตนเองมีร่างกายแข็งแกร่งเท่ากับผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย ถึงจะไม่สามารถเอาชนะไป๋ชินหยุนได้ แต่อย่างน้อยก็สมควรต่อสู้ได้อย่างสูสี
คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น พอไป๋ชินหยุนเอาจริงขึ้นมา หลินเป่ยเฉินก็ไม่สามารถรับมือได้อีกแล้ว
ดังนั้น จึงไม่ผิดเลยที่จะบอกว่า…
ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาพบกัน ไป๋ชินหยุนมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะสังหารหลินเป่ยเฉินได้จริงๆ
แต่สุดท้ายนางกลับไม่ลงมือ
มาบัดนี้…
เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากร่างกายของไป๋ชินหยุน หลินเป่ยเฉินก็รู้แล้วว่าวันนี้นางคงไม่ปล่อยเขาไปอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินจึงไม่คิดออมมืออีกต่อไป
เขาใช้งานวิชาโลหิตกระชากวิญญาณ
พลางเปิดแอป NetEase Cloud Music เพื่อเล่นเพลงกระบี่ไร้เทียมทาน
เมื่อใช้งานตัวช่วยสำคัญทั้งสองแอปนี้
มวลพลังในร่างกายของเด็กหนุ่มก็พุ่งขึ้นสูง
ผลั่ก!
ผลั่ก!
ผลั่ก!
ผลั่ก!
หลินเป่ยเฉินต่อสู้ด้วยมือและเท้า
ไม่มีการใช้กระบี่
นี่คือการปะทะกันระหว่างพละกำลังที่แท้จริง
แต่ถึงกระนั้น หลินเป่ยเฉินก็ยังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ดี
ไป๋ชินหยุนรัวกําปั้นเข้ามาราวกับพายุใหญ่
หลินเป่ยเฉินทำได้เพียงปัดป้องเท่านั้น
“ทำไมไป๋ชินหยุนถึงแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้นะ?”
“อย่าบอกนะว่านี่คือพลังที่แท้จริงของนางปีศาจ?”
“จริงด้วยสิ เราเข้าใจแล้ว”
“เมื่อผู้บริสุทธิ์ถูกสังหารในป้อมอสรพิษ เลือดของทุกคนก็จะกลายเป็นอาหารของนาง นอกจากนางปีศาจจะมีพลังเพิ่มสูงขึ้นเพราะแรงศรัทธาของสาวกแล้ว นางยังมีพลังเพิ่มเติมจากการดื่มเลือดอีกด้วย… เพราะแบบนี้ ไป๋ชินหยุนถึงได้มีระดับพลังแข็งแกร่งมากกว่าที่เราคิด นี่หมายความว่าป้อมอสรพิษอาจจะมีขุมกำลังที่แท้จริงแข็งแกร่งยิ่งกว่าขุมกำลังของกองทหารนครเจาฮุยด้วยซ้ำ…”
“ไป๋ชินหยุนเป็นนางปีศาจที่คอยหนุนหลังตระกูลเว่ยแห่งมณฑลเฉียนเกา ป้อมอสรพิษซึ่งเป็นสาขาต่างเมืองของพวกมันยังแข็งแกร่งขนาดนี้ ไม่อยากจะนึกเลยว่าต้นสังกัดของตระกูลเว่ยจะแข็งแกร่งขนาดไหน…”
ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่นมากเท่านั้น
เมื่อลองทบทวนดูให้ดี
หากไป๋ชินหยุนคุ้มคลั่งขึ้นมาเมื่อไหร่ นางก็คงสามารถเปลี่ยนให้นครเจาฮุยแห่งนี้กลายเป็นเมืองคนตายได้ตลอดเวลา
ผลั่ก!
หลินเป่ยเฉินกระแทกหมัดออกไปข้างหน้าอีกครั้ง
พวกเขาต่อสู้กันไม่หยุดยั้ง
คลื่นพลังทำลายล้างที่แผ่กระจายไปรอบบริเวณทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในป้อมอสรพิษกลายเป็นเม็ดทรายร่วนซุย
ขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นกองทหารของตัวเมือง หรือบรรดายอดฝีมือทุกคน ต่างก็รีบรุดมาชมดูการต่อสู้ด้วยความตื่นตกใจ
“หลินเป่ยเฉิน… ข้าจะใช้ค่ายอาคมปีศาจส่งเจ้าลงนรกเอง”
ไป๋ชินหยุนม้วนตัวตีลังกากระโดดลงมายืนอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่ม
หลังจากนั้น มือทั้งสองข้างของนางก็ขยับเขยื้อนเป็นท่วงท่าแปลกประหลาด
แล้วพื้นดินกับผืนฟ้าก็สั่นสะเทือนในเวลาเดียวกัน
หลังจากนั้น คลื่นพลังกดดันมหาศาลก็แผ่ออกมาจากผืนฟ้าและผืนดิน
หลินเป่ยเฉินรู้สึกหายใจไม่ออก
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
เขารู้สึกได้ถึงอันตรายที่คุกคามเข้ามา
แย่แล้วสิ
ถึงร่างกายจะมีความแข็งแกร่งในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย แต่ก็คงไม่สามารถต้านทานแรงกดดันมหาศาลขนาดนี้ได้แน่ๆ
หลินเป่ยเฉินไม่เหลือตัวช่วยอื่นใดให้ใช้งานอีกแล้ว
หรือว่าวันนี้เขาจะต้องตายจริงๆ นะ?
เด็กหนุ่มตกตะลึง
แต่อย่างน้อยขอดิ้นรนสักหน่อยเถอะ
หลินเป่ยเฉินพยายามรวบรวมพลังลมปราณในร่างกาย แต่เมื่อไป๋ชินหยุนขยับมืออีกเพียงเล็กน้อย พลังทั้งหมดในร่างกายของหลินเป่ยเฉินก็สลายหายไป
ลมหายใจต่อมา…
“กระบี่ทะลวงวิญญาณ!”
ไป๋ชินหยุนคำรามเสียงดัง มือข้างหนึ่งชูขึ้นไปในอากาศ แล้วมวลพลังงานจากท้องฟ้าก็หลอมรวมกัน กลายเป็นกระบี่ลำแสงเล่มใหญ่ในมือของนาง
มวลอากาศปั่นป่วนอีกครั้ง
ไม่มีผู้ใดจะสามารถรับมือกระบี่ลำแสงเล่มนี้ได้อีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินทำได้เพียงถอยหนีออกมาอย่างรวดเร็ว
นี่คือกระบี่ที่เขาไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป
เฮ้อ
นี่เขาจะต้องมาตายที่นี่จริงๆ เหรอเนี่ย
หลินเป่ยเฉินพบว่าตนเองหลบหนีออกมาได้เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น ม่านกระบี่ของเด็กสาวก็แผ่ปกคลุมปิดทางหลบหนีหมดสิ้น
ห่างออกมาไม่ไกล
“ไม่นะ…”
เฉียนเหมยร้องครวญครางด้วยความเศร้า ถลันกายวิ่งออกมาด้วยความตื่นกลัว “นายท่าน!”
หยดน้ำตาของสาวรับใช้ไหลพราก
ต่อให้เฉียนเหมยอยากจะเข้าไปรับกระบี่แทนหลินเป่ยเฉินมากแค่ไหนก็ทำไม่ได้ เพราะนางไม่สามารถทะลวงม่านกระบี่ผ่านเข้าไปได้เลย
บรรดากองทหารคนงานขุดเหมืองก็ได้แต่เฝ้ามองด้วยความหมดหวังเท่านั้น…
หลินเป่ยเฉินไม่รู้ว่าตนเองสมควรทำอย่างไรอีกแล้ว เขานำโทรศัพท์มือถือออกมากำในมือแน่น และตั้งใจจะใช้มันเป็นเกราะกำบังต้านทานกระบี่ลำแสงที่กำลังจะฟาดฟันลงมา…
แต่ในพริบตานั้น
มวลอากาศปั่นป่วนอีกครั้ง
แล้วเด็กสาวในชุดเสื้อคลุมสีดำผู้หนึ่งก็มาปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าหลินเป่ยเฉิน
“เจ้าคิดว่าเพลงกระบี่ของตนเองสูงส่งมากหรือ!”
เด็กสาวเสื้อคลุมดำถือกระบี่จันทราอยู่ในมือ นางโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะฟาดฟันกระบี่ออกไปเป็นแนวขวาง
วูบ!
เคล้ง!
ได้ยินเสียงคมกระบี่ปะทะคมกระบี่
นี่คือการต่อสู้ระหว่างเทพเจ้า
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ว่าพลังกดดันที่คุกคามร่างกายของเขาสลายหายไปแล้ว
เด็กหนุ่มสามารถล่าถอยออกมายืนหอบหายใจได้โดยสะดวก
สัมผัสแห่งความตายที่คืบคลานเข้าใกล้เมื่อสักครู่นี้ก็จางหายไปแล้วเช่นกัน