เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 793 พี่ใหญ่เกา ท่านทำท่าเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร
- Home
- เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]
- บทที่ 793 พี่ใหญ่เกา ท่านทำท่าเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร
ตอนที่ 793 พี่ใหญ่เกา ท่านทำท่าเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร?
เมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความพิศวงของเกาเฉิงฮั่น หลินเป่ยเฉินก็รู้ได้โดยทันทีว่าในโลกนี้ไม่เคยมีผู้ใดสามารถเปิดพลังปราณธาตุได้ทั้งห้าชนิดพร้อมกันมาก่อน
สรุปมันคงเป็นเรื่องดีสินะ?
หลินเป่ยเฉินอดสอบถามเกาเฉิงฮั่นด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า “พี่ใหญ่เกา ท่านทำท่าเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร? โดยทั่วไปแล้ว ผู้มีพลังระดับเซียนสามารถเปิดพลังปราณธาตุได้กี่ชนิดหรือขอรับ?”
เกาเฉิงฮั่นนิ่งคิดอยู่อึดใจใหญ่ ก็ตอบออกมาว่า “ตอนนี้เจ้าจะมีพลังปราณธาตุกี่ชนิดมันไม่สำคัญหรอก”
อ้าว กลายเป็นเรื่องไม่สำคัญซะงั้น?
หลินเป่ยเฉินแทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง
เกาเฉิงฮั่นพูดต่อ “สิ่งสำคัญในตอนนี้ก็คือหากเหลียงหยวนเตาฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง พวกเราจะทำอย่างไรกันดี ข้าเองตกอยู่ในสภาพนี้ คงสู้กับมันไม่ไหวแล้ว”
หลินเป่ยเฉินก็ทำทีนิ่งคิดอยู่เช่นกัน
เกาเฉิงฮั่นสมแล้วที่เป็นนายทหารใหญ่ของเมืองนี้
แม่ทัพใหญ่มักนึกถึงหน้าที่การงานก่อนสิ่งอื่นใดเสมอ
“แต่เมื่อข้าเลื่อนระดับพลังขึ้นมาอยู่ในขั้นเซียน พลังในร่างกายก็น่าจะเพิ่มขึ้นด้วยไม่ใช่หรือขอรับ แล้วท่านจะบอกว่ามันไม่สำคัญได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินพยายามสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง “ถ้าสามารถใช้พลังปราณธาตุชนิดอื่นเสริมสร้างความแข็งแกร่งของพลังปราณธาตุทองคำได้ มันก็น่าจะเป็นเรื่องดีนะขอรับ?”
ขณะนี้ เด็กหนุ่มสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าภายในร่างกายนอกจากมีพลังปราณธาตุทองคำแล้ว มันยังโคจรไปด้วยความชุ่มฉ่ำของพลังปราณธาตุไม้ ความเย็นสบายของพลังปราณธาตุน้ำ ความร้อนแรงของพลังปราณธาตุไฟ และความหนักแน่นมั่นคงของพลังปราณธาตุดิน …ถ้าสามารถใช้ประโยชน์จากพลังปราณธาตุเหล่านี้ได้ทั้งหมด หลินเป่ยเฉินก็มั่นใจว่าตนเองคงไม่ตกเป็นรองเหลียงหยวนเตาอีกแล้ว
นี่ควรจะเป็นข้อดีที่เขาเลื่อนระดับขึ้นมาอยู่ในขั้นเซียนได้สำเร็จไม่ใช่หรือ?
เกาเฉิงฮั่นมองหน้าเด็กหนุ่ม พูดอะไรไม่ออก
สรุปว่า ‘เจ้าเศษสวะ’ คนนี้เลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นเซียนได้จริงๆ หรือ?
เด็กหนุ่มหน้าขาวสมองเสื่อมจากค่ายผู้อพยพ กลับมีตัวตนที่แท้จริงเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่?
“เมื่อคนเราได้เลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นเซียน ระดับพลังลมปราณและชนิดของพลังปราณธาตุในร่างกายคือสิ่งสำคัญก็จริง แต่มันก็ยังเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้มาก หากคุณสมบัติของวิชาต่อสู้ที่เจ้าใช้งานยังคงเป็นวิชาเดิม”
“ระดับพลังที่สูงขึ้นจะสามารถแสดงประสิทธิภาพออกมาได้สูงสุดเมื่อใช้งานคู่กับการฝึกคัมภีร์วิทยายุทธ์ระดับเจ็ดถึงแปดดาวขึ้นไปเท่านั้น และถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็ยังมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับเซียนเพียงหยิบมือเดียวที่จะสามารถรีดเค้นพลังของตนเองออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ”
“และที่สำคัญก็คือ ผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นเซียนจะสามารถใช้พลังลมปราณได้ยาวนานมากขึ้น มีความแข็งแกร่งทางร่างกายมากขึ้น เมื่อบาดเจ็บก็สามารถฟื้นตัวได้เร็วมากขึ้น แต่ก็แลกมากับการต้องดูดซับพลังปราณธาตุมากกว่าคนทั่วไปเช่นกัน”
“และการใช้พลังปราณธาตุในผู้ที่มีพลังขั้นเซียนนั้น ก็จะเผาผลาญพลังเป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครคนใดคนหนึ่งจะสามารถมีพลังปราณธาตุในร่างกายอยู่พร้อมกันหลายชนิด หรือถ้าจะมีข้อยกเว้น บุคคลผู้นั้นก็มีพลังปราณธาตุเพียงสองชนิดเท่านั้น ไม่มากไปกว่านี้เด็ดขาด”
“เพียงเท่านั้นก็พอแล้วที่จะทำให้เขาผู้นั้นกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานในปฐพี เพราะขอแค่มีพลังปราณธาตุสองชนิด ระดับพลังในร่างกายก็จะสูงล้ำมากกว่าผู้ที่อยู่ในขั้นเซียนคนอื่นๆ หลายเท่า แต่มันก็มีความเป็นไปได้อีกเช่นกันว่าหากขึ้นมาอยู่ในขั้นเซียนแล้วมีพลังปราณธาตุถึงสองชนิด บุคคลผู้นั้นก็จะติดค้างอยู่ในขั้นเซียนระดับหนึ่งตลอดไป ไม่สามารถเลื่อนระดับพลังได้มากไปกว่านี้อีก…”
เกาเฉิงฮั่นพยายามให้ ‘ความรู้ขั้นพื้นฐาน’ แก่เด็กหนุ่มสมองเสื่อมด้วยความอดทน
เมื่อรับฟังจบลงแล้ว หลินเป่ยเฉินกลับยิ้มกว้างมากกว่าเดิม
แน่นอนแล้วว่าเขาเป็นผู้ที่ถูกเลือก
เขามีความพิเศษไม่เหมือนใคร
ฟังดูจากที่เกาเฉิงฮั่นอธิบายมานั้น ผู้ที่มีพลังปราณธาตุสองชนิดในร่างกายว่าแข็งแกร่งแล้ว แล้วผู้ที่มีพลังปราณธาตุถึงห้าชนิดอย่างเขาจะไม่แข็งแกร่งได้อย่างไร?
“พี่ใหญ่เกาพอจะมีคัมภีร์ใดให้ข้าได้ฝึกอย่างรวบรัดบ้างไหมขอรับ?” หลินเป่ยเฉินถามอย่างตรงไปตรงมา เพราะเขาอยากจะใช้โอกาสนี้เรียนรู้วิทยายุทธ์ขั้นสูงสำหรับผู้มีพลังระดับเซียนโดยเฉพาะ
ในเวลาเดียวกันนี้
เหล่าผู้รับชมที่อยู่โดยรอบต่างก็แสดงความดีใจออกมาอย่างถ้วนหน้า
ถึงก่อนหน้านี้ทุกคนจะมาที่นี่ในฐานะผู้สนับสนุนเหลียงหยวนเตา แต่เมื่อการต่อสู้ดำเนินต่อไป บรรดาขุนนางใหญ่ มหาเศรษฐี และยอดฝีมือระดับเจ้าสำนักต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความยินดี เมื่อเห็นท่านเจ้าเมืองของตนเองถึงแก่ความตายในที่สุด
แล้วผู้อพยพชาวเมืองหยุนเมิ่งเล่า?
แน่นอนว่าเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจของพวกเขาย่อมดังสะท้านผืนฟ้าสะเทือนพื้นดิน
การต่อสู้ที่อุบัติขึ้นก่อนหน้านี้ทำให้ชาวเมืองหมดหวัง
เพราะหากหลินเป่ยเฉินกับเกาเฉิงฮั่นพ่ายแพ้ พวกเขาย่อมรู้ดีกว่าผู้ใดว่านั่นหมายถึงอะไร
แต่ผลก็คือคุณชายหลินสมแล้วที่เป็นความหวังของชาวเมืองผู้อพยพ หลังได้รับพลังศรัทธาไปจากทุกคน เด็กหนุ่มก็สามารถลุกขึ้นสู้ได้อีกครั้งราวกับปาฏิหาริย์
เยว่หงเซียงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
โจวฉุยหวูซวง หวังซินอวี่ และเพื่อนๆ ผู้เป็นสมาชิกสมาคมตำหนักไม้ไผ่คนอื่นๆ ล้วนแต่ฉีกยิ้มออกมาด้วยความดีใจ แต่ถึงกระนั้น เสี้ยวหนึ่งของความคิดก็อดอิจฉาริษยาพลังที่สูงส่งของหลินเป่ยเฉินไม่ได้
หลายเดือนก่อนหน้านี้ ทุกคนเคยเข้าร่วมการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง แต่ละคนมีสถานะเป็นมือกระบี่รุ่นเยาว์ที่ได้รับการจับตามองจากผู้คนเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อเปรียบเทียบสภาพของตนเองในปัจจุบันกับหลินเป่ยเฉิน…
แล้วจะไม่ให้พวกเขาอิจฉาได้อย่างไร?
ทันใดนั้น ผิวน้ำของบ่อโลหิตเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
ปุดปุดปุดปุด!
ฟองอากาศผุดพราวขึ้นมา
บ่อโลหิตสั่นไหวเป็นระลอกคลื่น
“มันฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว”
เกาเฉิงฮั่นพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เหลียงหยวนเตากำลังจะฟื้นคืนชีพกลับมาเป็นครั้งที่แปด
พวกเขาจะไม่มีหนทางใดสามารถสังหารปีศาจร้ายตัวนี้ได้จริงๆ หรือ?
การฟื้นคืนชีพในครั้งนี้ไม่ทราบเลยว่าจะทำให้ ‘เหลียงหยวนเตา’ แข็งแกร่งสักเพียงใด?
หลินเป่ยเฉินผู้เลื่อนระดับขึ้นมาอยู่ในขั้นเซียนจะสามารถรับมือได้หรือไม่?
เกาเฉิงฮั่นยังคงอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจต่อสู้ได้อีก
หลินเป่ยเฉินจ้องมองไปที่บ่อโลหิต
ทันใดนั้น กลิ่นไอปีศาจก็ลอยขึ้นมาจากใจกลางบ่อโลหิต
และแล้ว ผิวน้ำก็รวมตัวกันกลายเป็นคลื่นน้ำที่มีความสูงเท่ากับตึกหลายชั้น นอกจากอัดแน่นด้วยพลังลมปราณปีศาจแล้ว ในคลื่นน้ำที่กำลังซัดใส่มายังทิศทางของหลินเป่ยเฉินกับเกาเฉิงฮั่นนี้ ยังเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนของวิญญาณที่ตายด้วยความทุกข์ทรมาน เพราะแขนขาและอวัยวะจากซากศพของพวกเขาก็รวมอยู่ในคลื่นน้ำลูกนี้ด้วยเช่นกัน
“ระวังตัว”
เกาเฉิงฮั่นคำรามออกมาเสียงดัง
นี่คือครั้งแรกที่เหลียงหยวนเตาใช้บ่อโลหิตโจมตีพวกเขา
เกาเฉิงฮั่นไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ”
หลินเป่ยเฉินขยับเท้าก้าวออกไปข้างหน้า “ข้ามาที่นี่เพื่อกำจัดมารร้าย คลื่นน้ำลูกนี้ไม่มีทางทำอะไรข้าได้ทั้งนั้น… เคล็ดวิชากำแพงขวางทัพ!”
พูดจบ
พื้นดินเบื้องหน้าของพวกเขาก็ยกตัวขึ้นกลายเป็นกำแพงสูงเท่ากับตึกหลายชั้น มิหนำซ้ำ บริเวณฐานกำแพงดินยังเสริมสร้างอย่างแข็งแกร่งด้วยพลังลมปราณหนาแน่น ไม่ว่าคลื่นน้ำที่กำลังถาโถมเข้ามานั้นมีความสูงมากเท่าไหร่ แต่กำแพงดินของเด็กหนุ่มก็มีความสูงมากกว่านั้นอีกหลายเท่า!
ครืน!
เสียงคลื่นน้ำปะทะเข้ากับกำแพงดินดังสนั่นหวั่นไหว ก่อนที่พลังคุกคามทั้งหมดจะค่อยๆ จางหายไปอย่างแช่มช้า
“นี่คือความสามารถของพลังปราณธาตุดินอย่างนั้นหรือ?”
เกาเฉิงฮั่นดวงตาเป็นประกายลุกวาว
ปรากฏว่าเมื่อเด็กหนุ่มสามารถเลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นเซียนสำเร็จ เขาก็สามารถใช้พลังปราณธาตุดินได้โดยทันที
และดูเหมือนว่าหลินเป่ยเฉินจะสามารถควบคุมพลังปราณธาตุดินได้อย่างชำนาญไม่ใช่น้อย เคล็ดวิชาที่เขาใช้ออกมาซึ่งชื่อว่า ‘กำแพงขวางทัพ’ นั้นอีกเล่า มันอาจจะดูเป็นวิชาที่ไม่มีอะไรซับซ้อนก็จริง แต่การจะควบคุมพื้นดินให้ยกตัวขึ้นมาเป็นกำแพงป้องกันอันตรายให้แก่ตนเองได้สำเร็จนั้น ไม่ทราบเลยว่าต้องผ่านการฝึกฝนมายาวนานสักเท่าไหร่?