เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 805 น้องสาวตัวน้อย
ตอนที่ 805 น้องสาวตัวน้อย
“องค์หญิงเพคะ…” เมื่อนักบวชหรงเห็นดังนั้น นางก็ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดลอยออกจากร่าง
หากองค์หญิงต้องถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา ศีรษะของนักบวชหรงก็คงไม่สามารถอยู่บนบ่าได้อีกต่อไป
“องค์หญิง”
“องค์หญิงขอรับ”
“ท่านหญิง…”
เสียงตะโกนดังขึ้นรอบบริเวณ
พลังลมปราณหนาแน่นพร้อมกับเงาร่างผู้คนหลายสิบสายปรากฏตัวออกมาจากรอบทิศทาง
หากเด็กสาวผู้นี้ต้องมาเสียชีวิตที่นี่ เหล่าแม่ทัพใหญ่ที่ควบคุมดูแลกองทัพในครั้งนี้ก็คงต้องถูกสั่งประหารชีวิตกันอย่างถ้วนหน้า
“ทุกคนถอยไป”
เสียงตะโกนสดใสดังกังวาน
คลื่นพลังสีฟ้าครามระเบิดออก
เงาร่างของยอดฝีมือชาวทะเลเหล่านั้นที่พุ่งตัวใกล้เข้ามาถึงกลับลอยกระเด็นปลิวออกไป
แม้แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังต้องหมุนตัวตีลังกาไปตั้งหลักอยู่ห่างไกล
เขาก้มหน้ามองกระบี่ในมือ
ปรากฏว่าตัวกระบี่หักเหลือแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
ตั้งแต่ช่วงกลางกระบี่ไปจนถึงปลายกระบี่หายไปที่ใดไม่มีใครรู้
หลินเป่ยเฉินเงยหน้ามองเด็กสาวผู้นั่งอยู่บนรถเข็น ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความประหลาดใจ
เมื่อสักครู่นี้ เขามั่นใจว่าแทงกระบี่เข้าเป้าหมาย และมีหยดเลือดไหลทะลักออกมาด้วยซ้ำ
แต่บัดนี้ หลินเป่ยเฉินกลับพบว่าสิ่งที่หยดลงไปบนพื้นดินไม่ใช่โลหิต
ปรากฏว่าเมื่อคมกระบี่สัมผัสเข้ากับกลางหน้าผากของเด็กสาว ปลายกระบี่ก็เกิดการหลอมละลายกลายเป็นโลหะเหลวสีแดงเข้มหยดลงไปบนพื้นดิน
ช่างเป็นพลังป้องกันตัวที่น่ากลัวนัก
หรือว่านางจะมีพลังขั้นเซียน?
เป็นไปได้หรือที่ชาวทะเลผู้มีพลังขั้นเซียนคนนี้จะมีพลังปราณธาตุไฟ ทั้งๆ ที่ชาวทะเลส่วนใหญ่มีพลังปราณธาตุน้ำ?
ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นรอบกาย
ยอดฝีมือของชาวทะเลจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นนักรบ นายทหารหรือว่าจอมเวทย์ต่างก็ปรากฏตัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
“ถอยไปซะ”
เด็กสาวบนรถเข็นยกมือโบกสะบัด
เหล่านักรบชาวทะเลเหล่านั้นหยุดชะงักและรีบล่าถอยกลับไปทันที
เด็กสาวบนรถเข็นจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉิน
เส้นผมดำยาวของนางม้วนเป็นมวยอยู่เหนือศีรษะ นางสวมมงกุฎทองคำที่ทำจากปะการังอัญมณี เปิดเผยให้เห็นถึงหน้าผากเกลี้ยงเกลาขาวเนียน ดวงตากลมโตมีชีวิตชีวา แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเย็นชาเกินอายุ จมูกโด่ง ริมฝีปากแดง ใบหน้าเรียวยาว แก้มออกจะตอบไปสักหน่อย… แต่เมื่อรวมองค์ประกอบทั้งหมดนี้เข้ากับคิ้วดกหนาเหนือดวงตา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ทำให้เด็กสาวดูสวยงามอย่างดื้อรั้น และดูเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมากทีเดียว
เมื่อหลินเป่ยเฉินสบตากับเด็กสาว เขาก็รู้สึกถึงอันตรายทันที
ยกเว้นเพียงแต่ขาสองข้างซึ่งมีผ้าห่มคลุมปิด ร่างกายส่วนต่างๆ ที่เขาเห็นล้วนไม่มีความเป็นชาวทะเลอยู่เลยสักนิดเดียว เด็กสาวคนนี้เหมือนกับเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งมากกว่า แต่ดูจากการแต่งกายและอัญมณีที่สวมใส่ หลินเป่ยเฉินก็มั่นใจว่าเด็กสาวผู้นี้จะต้องเป็นผู้มีพลังขั้นเซียนอีกคนหนึ่งของชาวทะเลที่ซ่อนตัวอยู่อย่างแน่นอน
“เจ้าคงเป็นหลินเป่ยเฉินกระมัง?” เด็กสาวพูดด้วยภาษามนุษย์ติดสำเนียงของชาวจักรวรรดิเป่ยไห่ชัดเจน
ฟังจากน้ำเสียงของนางแล้ว เด็กสาวน่าจะรู้จักภาษามนุษย์ดีไม่ใช่น้อย
หลินเป่ยเฉินแสยะยิ้มชั่วร้าย ตอบกลับไปเสียงแข็งกระด้าง “น้องสาว เจ้าอายุยังเยาว์วัย ในเมื่อไม่ได้พิการ เหตุไฉนถึงต้องนั่งรถเข็น”
“สามหาว”
“บังอาจนัก…”
เสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นดังออกมาจากบรรดาชาวทะเลที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ห่างออกไป
โดยเฉพาะหน่วยองครักษ์ม้าน้ำกว่าร้อยชีวิตที่ขณะนี้ดวงตาแดงก่ำด้วยความเดือดดาล
เด็กสาวบนรถเข็นเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามว่า “เจ้ามีพลังถึงขั้นเซียน แต่กลับพูดจาสามหาวไร้มารยาท ไม่กลัวว่าสักวันหนึ่งจะกลายเป็นเซียนตกสวรรค์เอาหรือ?”
“แล้วเจ้าล่ะ เป็นเผ่าพันธุ์ชาวทะเลแต่กลับมีพลังปราณธาตุไฟ ไม่กลัวเทพธิดาแห่งท้องทะเลจะเนรเทศหรืออย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินสวนกลับไปทันควัน
เขาแอบสำรวจมองขุมกำลังของฝ่ายตรงข้ามที่รายล้อมอยู่โดยรอบในขณะนี้
ความจริงนั้น หลินเป่ยเฉินสมควรหนีไปนานแล้ว
ถ้าอยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ แต่ถ้าเข้าถ้ำเสือแล้วขโมยลูกเสือไม่สำเร็จ ก็ต้องรีบหนีออกจากถ้ำเสือให้เร็วที่สุด
นี่คือแผนการของเขาในตอนแรก
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อเห็นหน้าเด็กสาวผู้อยู่บนรถเข็นคนนี้ หลินเป่ยเฉินกลับรู้สึกถูกดึงดูดอย่างประหลาด เขาอยากรู้ว่านางเป็นใครมาจากไหน มีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร จึงทำให้ยังอยู่ที่นี่ต่อไป ไม่ได้หลบหนีอย่างที่ควรจะเป็น
“ผู้ใดบอกว่าชาวทะเลมีพลังปราณธาตุไฟไม่ได้?” เด็กสาวหัวเราะเยาะ ดวงตาเป็นประกายเหยียดหยามขณะกล่าวว่า “หลักการสามัญธรรมดาเพียงเท่านี้เจ้าก็ยังไม่เข้าใจ ข้าละนึกไม่ออกจริงๆ ว่าเพราะเหตุใด บิดาผู้โง่เขลาของข้าถึงได้รับเจ้าเป็นลูกศิษย์”
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบด้วยความตกตะลึง “เจ้าคือ… บุตรสาวของอาจารย์ติงอย่างนั้นหรือ?”
เด็กหนุ่มพูดด้วยความตกใจ แต่ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เห็นแต่แสงสีแดงสว่างจ้า
วูบ!
ลำแสงสีแดงถูกยิงเข้ามา
หลินเป่ยเฉินหมุนตัวตีลังกาหลบไวเท่าความคิด ก่อนจะรู้สึกชาดิกบริเวณหัวไหล่ และเมื่อก้มหน้ามองหัวไหล่ของตนเอง เขาก็พบว่าบริเวณไหล่ซ้ายมีเลือดไหลทะลักออกมา ผิวหนังเปิดออกกลายเป็นบาดแผลฉกรรจ์มองเห็นถึงกระดูก ส่วนผิวหนังรอบๆ บาดแผลก็มีร่องรอยเหมือนถูกพิษร้ายแรง และพิษนั้นก็กำลังลุกลามอย่างรวดเร็ว…
“บิดาของข้าบอกว่าเจ้าคือความภาคภูมิใจของเขา” เด็กสาวบนรถเข็นมีสีหน้าเย็นชา ไม่ปิดบังเลยว่านางรังเกียจหลินเป่ยเฉินมากมายขนาดไหน “วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าซะ แล้วดูซิว่าเขายังจะภูมิใจในตัวเจ้าอยู่อีกหรือไม่”
ให้ตายสิ!
ทำไมเป็นเด็กนิสัยก้าวร้าวแบบนี้เนี่ย?!
แถมยังลอบโจมตีไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำ
“สรุปว่าเจ้าเป็นบุตรสาวของอาจารย์ข้าจริงๆ สินะ?”
หลินเป่ยเฉินมองไปที่เด็กสาวอย่างระมัดระวังตัว และเมื่อจ้องมองดูดีๆ แล้ว เขาก็พบว่าโครงหน้าของเด็กสาวมีหลายจุดที่คล้ายคลึงกับอาจารย์ติงอยู่พอสมควร… แต่เรื่องนิสัยใจคอนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
“เจ้าเอาเวลาที่มาถามคำถามนี้ ไปคิดดูว่าจะฝังศพตนเองที่ไหนไม่ดีกว่าหรือ” เด็กสาวยกมือขึ้นขัดจังหวะ ก่อนจะวางมือซึ่งสวมใส่ถุงมือสีขาวสะอาดลงบนผืนผ้าห่มที่คลี่คลุมขาทั้งสองข้างของนางและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ตัวเจ้าถูกพิษร้ายแรงเข้าไปแล้ว พิษชนิดนี้ถึงจะมีพลังขั้นเซียน ก็ไม่สามารถรับมือได้เด็ดขาด…”
แววตาที่เด็กสาวจ้องมองมายังหลินเป่ยเฉินในขณะนี้เปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นแววตาที่ใช้จ้องมองคนตายคนหนึ่ง
“เจ้าแน่ใจหรือ?”
หลินเป่ยเฉินอ้าปากออกและพ่นเปลวไฟสีเงินออกมา
เปลวไฟสีเงินนี้มาจากพลังศักดิ์สิทธิ์ มันเผาผลาญบาดแผลที่อยู่บนหัวไหล่ของเขา และช่วยกำจัดพิษให้แก่เด็กหนุ่มได้อย่างปาฏิหาริย์
“น้องสาว เจ้าทำตัวเป็นหมาลอบกัดเช่นนี้… ไม่น่ารักเลยนะ”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นและใช้วงแหวนวารีครอบคลุมศีรษะตนเอง
แสงสว่างเป็นประกายวูบวาบ
บาดแผลหายไปในพริบตาเดียว
“หืม?”
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเด็กสาวบนรถเข็น “ข้าคงประมาทเจ้าเกินไปสินะ”
หลินเป่ยเฉินโบกมือวูบและพูดว่า “น้องสาว ดูเหมือนเจ้าจะเข้าใจข้าผิดไปกันใหญ่แล้ว ทำไมเราไม่ใช้โอกาสนี้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และปรับความเข้าใจกันล่ะ?”
“ไม่” เด็กสาวตอบโดยไม่ต้องคิด
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง “อ้อ จริงด้วยสิ ไหนๆ เจ้าก็อยู่ที่นี่แล้ว ไม่ทราบว่าอาจารย์กับอาจารย์หญิงของข้าสบายดีหรือไม่?”
เด็กสาวบนรถเข็นไม่อยากตอบคำถามนี้
นางถอดถุงมือออกอย่างช้าๆ
บนฝ่ามือของนางปรากฏเปลวไฟปะทุขึ้นมาวอมแวม
ก่อนที่เปลวไฟเหล่านั้นจะลุกลามไปทั่วฝ่ามือ
หลินเป่ยเฉินจ้องมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพราะไม่เข้าใจว่าเด็กสาวต้องการจะสื่อถึงอะไร เขาแค่นหัวเราะออกมาว่า “น้องสาวช่างเป็นคนดื้อรั้นเสียจริง เฮ้อ ข้าคงต้องหาโอกาสตีก้นเจ้าเพื่อสั่งสอนสักหน่อยแล้ว… ฝากไว้ก่อนเถอะ ครั้งหน้ารับรองว่าเจ้าก้นลายแน่…”
เสียงพูดของเด็กหนุ่มแข็งกระด้างมากกว่าปกติ
ก่อนที่ร่างของเขาจะจมหายลงไปใต้พื้นดินหน้าตาเฉย
วูบ!
เด็กสาวบนรถเข็นกระแทกฝ่ามือยิงเปลวไฟใส่ตำแหน่งที่หลินเป่ยเฉินเคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้ พื้นดินตรงบริเวณนั้นที่จับตัวเป็นน้ำแข็งถูกเผาไหม้กลายเป็นรูปฝ่ามือขนาดใหญ่ เปลวไฟลุกลามลงไปใต้ดินอย่างรวดเร็ว และเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น พื้นน้ำแข็งก็ลุกเป็นไฟในรัศมีกว้างขวาง
แต่หลินเป่ยเฉินก็สามารถหลบหนีไปได้เสียแล้ว
“องค์หญิงมีพลังถึงขนาดนี้แล้วหรือ?”
นักบวชหรงข่มกลั้นความเจ็บปวด ใบหน้าแสดงออกถึงความตกตะลึงชัดเจน
องค์หญิงผู้เป็นเลือดผสมระหว่างมนุษย์กับชาวทะเลเฝ้าฝึกฝนวิชาอยู่ในวิหารใต้สมุทรนานปี ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่า ณ ปัจจุบันนี้ องค์หญิงมีพลังอยู่ในขั้นไหนแล้ว?
ก็ไหนว่าองค์หญิง… เป็นบุคคลไร้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ?
แต่นี่เห็นได้ชัดว่าองค์หญิงมีพลังอยู่ในขั้นเซียนแล้วกระมัง
นักบวชหรงตัวสั่นเทา
หน่วยองครักษ์ม้าน้ำในชุดเกราะสีแดงเฝ้ามององค์หญิงด้วยสายตาเทิดทูนบูชา
เด็กสาวจ้องมองหลุมลึกรูปฝ่ามือที่อยู่บนพื้นดิน สีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก ก่อนที่นางจะถอนหายใจออกมา และกลับมาสวมใส่ถุงมือสีขาวนั้นอีกครั้ง
“บอกทหารทุกหน่วยของเรา หลังจากนี้ ให้บุกโจมตีกำแพงเมืองทั้งวันทั้งคืนอย่าได้หยุดพัก”
“พวกเจ้านำกองกำลังส่วนหนึ่งแบ่งเป็นสิบเอ็ดทัพเล็ก หกทัพใหญ่ อ้อมผ่านนครเจาฮุยไปบุกโจมตีเมืองชั้นในของมณฑลเฟิงอวี่ให้สำเร็จในเวลาสามวัน เมื่อยึดครองเมืองเหล่านั้นได้แล้ว นครเจาฮุยก็จะไม่เหลือที่พึ่งพิงอีกต่อไป”
“นำจอมเวทย์มนุษย์เงือกติดตามพวกเจ้าไปด้วย”
“ชาวทะเลเผ่าพันธุ์ใดถูกจับได้ว่าเป็นทหารหนีทัพหรือขัดขืนคำสั่ง พวกมันจะต้องถูกลงโทษทั้งเผ่าโดยทันที”
เสียงสั่งการของเด็กสาวเย็นชาไร้ความรู้สึก แต่มีความหนักแน่นมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าน้อยรับคำบัญชา”
เหล่าแม่ทัพใหญ่ของชาวทะเลที่คุกเข่าอยู่ในความมืดต่างก็พร้อมใจกันรับคำเสียงดังสนั่น
เป็นจังหวะเดียวกับที่มนุษย์หน้ากากแปดรูระดับเซียนและจอมเวทย์มนุษย์เงือกทั้งแปดตัวกลับมาถึงพอดี