เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 811 พลังของเจ้าหายไปไหนหมด
ตอนที่ 811 พลังของเจ้าหายไปไหนหมด
ณ ศูนย์หลอมโอสถ
โรงเก็บวัตถุดิบหมายเลขหนึ่ง
“ที่นี่แหละขอรับ” อานมู่ซีเดินนำหลินเป่ยเฉินมาถึงโรงเก็บวัตถุดิบแห่งหนึ่งและอธิบายว่า “ปกติเด็กสาวผู้นั้นจะทำหน้าที่เฝ้ายามอยู่ที่นี่ นางมีนิสัยไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด จึงไม่ค่อยปรากฏตัวให้ใครเห็นสักเท่าไหร่…”
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าเคร่งเครียด ประตูโรงเก็บวัตถุดิบปิดแน่น ในหัวใจเริ่มเกิดสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมาอีกครั้ง
เฮ้อ เกิดเป็นไป๋ชินหยุนก็ไม่ง่ายเหมือนกันแฮะ
ถูกทรยศ ถูกไล่ล่าตามฆ่าและเกือบจะต้องเสียชีวิต ก่อนหน้านี้หลินเป่ยเฉินเคยคิดช่วยเหลือนาง แต่ด้วยความที่มีงานยุ่งมากเกินไป เขาจึงได้แต่นำนางมาทิ้งไว้ที่นี่ ไม่มีเพื่อน ไม่มีผู้ใดให้พูดคุย นางคงลำบากมากแล้วจริงๆ
ฮื่อ
ช่างน่าสงสารอะไรขนาดนี้
ยิ่งตอนนี้โทรศัพท์มือถืออยู่ระหว่างการอัปเกรดอุปกรณ์ รูปโฉมที่แท้จริงของไป๋ชินหยุนก็คงกลับคืนมาแล้ว นางยิ่งปรากฏตัวให้ผู้ใดเห็นไม่ได้เป็นอันขาด
นับว่าเป็นความผิดของเขาคนเดียว
หลินเป่ยเฉินรู้สึกละอายใจยิ่งนัก
เขาเดินเข้าไปเปิดประตูและร้องเรียกว่า “เสี่ยวไป๋ ข้ามาแล้ว…”
แต่พูดออกมาได้เพียงไม่กี่คำ หลินเป่ยเฉินก็ต้องชะงักกึก
เขากวาดตามองในโรงเก็บวัตถุดิบ ริมฝีปากกระตุก นิ่งเงียบอยู่หลายอึดใจ ถึงได้ตั้งสติหันกลับมามองหน้าอานมู่ซีที่ยืนอยู่ด้านหลังและสอบถามว่า “ที่นี่คือ… โรงเก็บวัตถุดิบที่ท่านพูดถึงจริงๆ หรือ? หากมันเป็นโรงเก็บวัตถุดิบจริง เหตุไฉนจึงไม่มีสมุนไพรวิเศษอยู่เลยแม้แต่ต้นเดียว? หรือพูดอีกอย่างก็คือ เหตุไฉนที่นี่จึงมีแต่ความว่างเปล่า?”
ขณะนี้ อานมู่ซีอยู่ในอาการตกตะลึงมากกว่าหลินเป่ยเฉินเสียอีก
เครื่องหมายคำถามปรากฏขึ้นในใจของเขาเช่นกัน
ใช่แล้ว!
ที่นี่คือโรงเก็บวัตถุดิบหมายเลขหนึ่งซึ่งใช้เป็นสถานที่เก็บสมุนไพรวิเศษและวัตถุดิบสำหรับการหลอมโอสถคุณภาพสูง
โรงเก็บวัตถุดิบแห่งนี้เป็นอานมู่ซีดูแลการก่อสร้างด้วยตนเองทุกขั้นตอน
นอกจากนั้น บนกำแพงทุกด้านของโรงเก็บวัตถุดิบยังได้อาจารย์หลิวฉีไห่มาสร้างค่ายอาคมคุ้มกันให้อีกชั้น โรงเก็บวัตถุดิบแห่งนี้จึงสามารถป้องกันได้ทั้งแสงสีเสียงและสิ่งรบกวนจากภายนอก เช่นเดียวกับอุณหภูมิและความชื้น
ที่นี่จัดว่าเป็นโรงเก็บวัตถุดิบคุณภาพสูง ชั้นวางวัตถุดิบสร้างขึ้นด้วยเหล็กกล้า สามารถรองรับน้ำหนักสมุนไพรวิเศษชนิดต่างๆ ได้จำนวนมหาศาลโดยที่พวกมันจะไม่เหี่ยวเฉาหรือเสียสรรพคุณทางยาแต่อย่างใด…
โรงเก็บวัตถุดิบแห่งนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจของอานมู่ซี
แต่ตอนนี้เล่า?
โรงเก็บวัตถุดิบอยู่ในสภาพยุ่งเหยิง ชั้นวางโลหะและชั้นวางที่ทำขึ้นจากไม้ล้มระเนระนาด ร่องรอยบางส่วนบอกว่าพื้นที่ด้านในเกิดเหตุไฟไหม้ คล้ายกับว่ามีคนมาตั้งเตาปิ้งย่างทำอาหารอย่างไรอย่างนั้น
และสมุนไพรวิเศษที่อานมู่ซีหวงแหนยิ่งกว่าชีวิตของตนเองก็ไม่เหลืออยู่เลยสักต้นเดียว… พวกมันหายไปอยู่ที่ไหน?
มีคนขโมยสมุนไพรวิเศษของเขาไปอย่างนั้นหรือ?
อานมู่ซีรู้สึกร้อนใจ เหงื่อไหลเต็มหน้าผาก ดวงตาพร่ามัว ตัวคนสั่นเทา…
“อะ อะ อาจารย์ ท่านอาจารย์เป็นอะไรไป?”
โจวฉุยหวูซวงรีบเข้ามาประคองอาจารย์ของตนเองทันที
“ตบหน้าเขาซะ”
หลินเป่ยเฉินพูด
โจวฉุยหวูซวงจึงตบหน้าอานมู่ซีอย่างแรงหลายครั้ง
“โอ๊ย…” อานมู่ซีร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ค่อยๆ ฟื้นกลับขึ้นมาได้สติอีกครั้ง เขาจ้องมองไปยังโรงเก็บวัตถุดิบของตนเอง เมื่อพบเข้ากับความว่างเปล่า ดวงตาก็เหลือกลานและหมดสติไปอีกรอบ
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
คงได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจมากเลยสินะ
“พาอาจารย์ของเจ้าไปให้หมอตรวจดูดีกว่า”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง
หลังจากนั้น โจวฉุยหวูซวงจึงรีบประคองร่างที่ไร้สติของอานมู่ซีตรงไปยังสำนักพยาบาลโดยเร็ว
หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึก
เดินเข้าไปในโรงเก็บวัตถุดิบหมายเลขหนึ่ง เมื่อแผ่พลังจิตสำรวจดูพื้นที่ด้านใน ใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย “ข้ามาแล้ว เสี่ยวไป๋ เจ้ามัวซ่อนแอบอะไรอยู่ตรงนั้น?”
“บัดซบ ในที่สุดเจ้าก็มาได้สักทีนะ” เสียงใสๆ ดังออกมาจากส่วนลึกด้านในโรงเก็บวัตถุดิบ “รอสักครู่ เดี๋ยวข้าออกไปหา…”
ย่อมเป็นเสียงของไป๋ชินหยุน
หลินเป่ยเฉินมองประตูห้องพักที่อยู่ลึกเข้าไปด้านในและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เพียงเท่านี้ เขาก็รู้แล้วว่าไป๋ชินหยุนยังคงปลอดภัยดีทุกประการ
ส่วนเรื่องสมุนไพรวิเศษที่หายไปนั้นมันไม่สำคัญหรอก
ชีวิตของสหายย่อมสำคัญกว่า
อีกอย่าง เขายังติดเงินไป๋ชินหยุนอยู่ 100,000 เหรียญทองคำ ถือโอกาสที่สมุนไพรวิเศษหายไปในครั้งนี้หักลบกลบหนี้กันเลยดีกว่า
อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่า
เขานี่มันฉลาดจริงๆ
หลินเป่ยเฉินรู้สึกพอใจในวิสัยทัศน์ของตนเองยิ่งนัก
หลังจากนั้นอึดใจใหญ่
แอ๊ด
ประตูห้องพักด้านในเปิดออก
ถึงเสื้อผ้าของไป๋ชินหยุนจะยับยู่ยี่ แต่เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของนางดีขึ้นมามากแล้ว
“โอ๊ะ เจ้าฟื้นตัวได้ดีเลยนี่นา ข้ากะว่าจะนำวงแหวนวารีมาช่วยรักษาให้เจ้าสักหน่อย…”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความโล่งอก แต่เมื่อสายตาเลื่อนสำรวจเรือนร่างของไป๋ชินหยุน ทันใดนั้น เขาก็ต้องหยุดชะงัก สีหน้าแสดงความโกรธแค้นเหมือนเพิ่งค้นพบเรื่องราวที่น่าสะพรึงกลัวบางอย่าง “หยุดอยู่ตรงนั้น เจ้าไม่ใช่เสี่ยวไป๋ เจ้าเป็นใคร? ผู้ใดส่งเจ้ามาที่นี่?”
ไป๋ชินหยุนกะพริบตาปริบๆ มองหน้าเขาอย่างไม่อยากเชื่อ “นี่ข้าเอง ทำไมเจ้าถึงจำไม่ได้”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะในลำคออย่างรู้ทัน “หึหึ อย่ามาโกหก เจ้าปิดบังข้าไม่ได้หรอก เจ้าไม่รู้หรืออย่างไร? เสี่ยวไป๋ตัวจริงหน้าอกใหญ่ยิ่งกว่าอะไรดี”
“แล้วมันทำไม?”
ไป๋ชินหยุนถามกลับมาเสียงเรียบ
สายตาของเด็กหนุ่มค่อยๆ เลื่อนลงไปจับจ้องที่หน้าอกของไป๋ชินหยุน ก่อนถามว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
ฮ่าฮ่า
ภูเขาไฟอันใหญ่โตมโหฬารคู่นั้นหายไปไหน?
เพราะเหตุใดจึงได้เหลืออยู่แต่ทุ่งราบ?
มันราบเรียบเสียจนถ้าโลกนี้มีเครื่องบิน ก็ใช้เป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ได้เลยด้วยซ้ำ
เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวผู้นี้มีเจตนาปลอมตัวเป็นไป๋ชินหยุน
คงเป็นมือสังหารที่ใครสักคนส่งมาสินะ
คิดว่าจะสามารถตบตาเขาได้ง่ายๆ หรืออย่างไร?
เมื่อไป๋ชินหยุนสังเกตเห็นสายตาและสีหน้าของหลินเป่ยเฉิน นางก็ก้มมองตามสายตาของเขา ก่อนที่กล้ามเนื้อบนใบหน้าจะกระตุกด้วยความโกรธแค้น และกระโดดเข้าไปตบหน้าผากเด็กหนุ่มเสียงดังเพี้ยะ “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าพลังของข้าถูกกักเก็บอยู่ในถันคู่นี้…”
หลินเป่ยเฉินยกมือลูบคลำหน้าผากป้อยๆ
“พลังอะไรของเจ้า?”
เขาถามเสียงดังในขณะที่ถอยหลังหนีออกมา “หากเจ้าเสียพลังเหล่านั้นไป เสน่ห์ของเจ้าก็หายไปครึ่งหนึ่งเลยนะ เจ้ารู้หรือไม่?”
เพี๊ยะ! เพี้ยะ! เพี้ยะ!
ไป๋ชินหยุนยังคงวิ่งตามมาไล่ตบหน้าผากหลินเป่ยเฉินด้วยความเดือดดาล
ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ทีเดียว กว่าที่โรงเก็บวัตถุดิบจะกลับมาอยู่ในความสงบ
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” หลินเป่ยเฉินนั่งพักหอบหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย “เจ้าเสียพลังไปได้อย่างไร?”
ไป๋ชินหยุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองใจว่า “แล้วเจ้าคิดว่าการสร้างค่ายอาคมคุ้มกันหมู่บ้านผู้อพยพแห่งนี้มันทำได้ง่ายมากหรือไง? หรือเจ้าคิดว่าค่ายอาคมที่พังทลายลงไปนั้น มันสามารถซ่อมแซมตนเองได้?”
เดี๋ยวก่อนนะ?
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
“เจ้า เจ้า เจ้า…”
เขาจ้องมองไป๋ชินหยุนอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้าเป็นคนซ่อมแซมม่านพลัง… ให้กับค่ายผู้อพยพอย่างนั้นหรือ?”
ไป๋ชินหยุนมองค้อนปะหลับปะเหลือกและพึมพำว่า “ก็เกือบทั้งหมดนั่นแหละ แต่อีกส่วนหนึ่งก็ต้องยกให้เป็นความดีความชอบของเยว่หงเซียงด้วยเช่นกัน…”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง…”
หลินเป่ยเฉินยกนิ้วกลางขึ้นมาทำท่าดันแว่นแบบยอดนักสืบจิ๋วโคนัน ในที่สุด คำถามที่เขาสงสัยมาตลอดก็ได้รับคำตอบสักที
เขาพูดต่อ “ไม่สิ ในเมื่อเจ้าสามารถปลดผนึกพลังออกมาได้แล้ว เหตุไฉนเจ้าถึงไม่ขึ้นไปล้างแค้นที่วิหารเทพกระบี่ก่อนล่ะ…”
ไป๋ชินหยุนยกมือกอดอก ฟันกรอดกัดแน่นด้วยความคับแค้นใจ แล้วจึงสงบสติอารมณ์ พยายามอธิบายออกมาด้วยความอดทนว่า “ตอนนั้นข้ายังทำไม่ได้ เพราะข้าต้องนำสมุนไพรวิเศษทั้งหมดในโรงเก็บวัตถุดิบแห่งนี้มาหลอมเป็นโอสถให้ได้เสียก่อน เมื่อได้โอสถวิเศษตามที่ต้องการแล้ว ข้าถึงจะสามารถเลื่อนระดับพลังได้สำเร็จ และมันก็จะทำให้ข้าแข็งแกร่งมากกว่าเดิม”
นั่นไงล่ะ
ปริศนาอีกข้อได้รับคำตอบแล้ว
สมุนไพรวิเศษที่ถูกเก็บอยู่ในโรงเก็บวัตถุดิบแห่งนี้ถูกไป๋ชินหยุนนำไปหลอมเป็นโอสถจริงๆ ด้วย
ฟึบ!
หลินเป่ยเฉินตบมือเสียงดังและพูดว่า “ปัญหาอยู่ตรงนี้แหละ พวกเรามาคุยกันเรื่องค่าเสียหายของสมุนไพรวิเศษเหล่านั้นดีหรือไม่?”