เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 832 ข้าทำรุนแรงเกินไปหรือไม่
ตอนที่ 832 ข้าทำรุนแรงเกินไปหรือไม่
ใบหน้าของเจิ้งหลงเซียงบิดเบี้ยวขึ้นมาทันที
นอกจากจะแก้เผ็ดเด็กหนุ่มไม่ได้แล้ว
เขายังถูกอีกฝ่ายตอกกลับมาเสียหน้าหงาย
พูดจาเช่นนี้ไม่ทราบว่าได้ใช้สมองกลั่นกรองมาก่อนหรือไม่?
อ้อ เจิ้งหลงเซียงเกือบลืมไป เด็กหนุ่มหน้าขาวผู้นี้ว่ากันว่าเป็นบุคคลสมองเสื่อม
กว่าเจิ้งหลงเซียงจะรู้ตัวว่าไม่สมควรมีเรื่องปะทะคารมกับหลินเป่ยเฉินเลย มันก็สายไปเสียแล้ว
สัญชาตญาณบอกเขาว่าตนเองไม่ควรเป็นศัตรูกับเด็กหนุ่มผู้นี้
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงไม่มีปัญหา
แต่สัญชาตญาณของเจิ้งหลงเซียงกำลังร้องบอกให้เขาระมัดระวังตัวมากกว่าเดิม
ในฐานะขุนนางระดับสูง เจิ้งหลงเซียงควรจะรู้ดีกว่าใคร
การมีศัตรูที่คาดเดาพฤติกรรมไม่ได้ช่างเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย
เจิ้งหลงเซียงต้องย้ำเตือนตนเองว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในวังหลวง
เมื่อคิดได้ดังนั้น เจิ้งหลงเซียงก็สะกดกลั้นอารมณ์โกรธแค้นและไม่พูดคำใดอีก
ทันใดนั้น…
“เฮอะ เจ้าถือดีอย่างไรมาพูดจาสามหาวใส่ท่านหัวหน้าองครักษ์เจิ้ง?” เสียงตะโกนที่เย็นเยียบดังขึ้น
ปรากฏว่าเป็นขันทีฉกรรจ์เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่
เขาเดินเข้ามาใกล้ ยกมือชี้หน้าหลินเป่ยเฉินและแผดเสียงคำรามว่า “เจ้ามันก็เป็นแค่บุตรชายของผู้ร้ายหลบหนีคดี ไม่มีตำแหน่งทางการเมือง เป็นเพียงนายทหารอาสาสมัคร แต่กลับไปมัวเมาอยู่ในหอนางโลมทั้งคืน อีกทั้งยังมีนิสัยเหิมเกริมยโสโอหัง ขี่ม้าเข้ามาในค่ายทหารใหญ่ หลินเป่ยเฉิน หากเจ้าอยู่ในขอบเขตการดูแลของข้า เจ้าคงถูกลากตัวไปประหารชีวิตแล้ว…”
เกาเฉิงฮั่นหันกลับมามองหน้าขันทีใหญ่ด้วยแววตาสมเพชเวทนา
ขันทีผู้นี้มาจากวังหลวง
สถานะคงไม่ต่ำต้อย
เดิมทีคงมีอำนาจไม่ใช่น้อย จึงได้มีนิสัยชอบข่มขู่ผู้อื่นอยู่เป็นนิจ
แต่น่าเสียดายที่เมื่อมาถึงนครเจาฮุย ขันทีใหญ่กลับมุ่งหน้าตรงไปที่ค่ายผู้อพยพชาวเมืองหยุนเมิ่ง บางทีเขาอาจยังไม่รู้ว่าหลินเป่ยเฉินเลื่อนระดับพลังขึ้นมาอยู่ในขั้นเซียนแล้ว ขันทีฉกรรจ์ถึงได้กล้าพูดจาสามหาววางท่าใหญ่โตใส่เด็กหนุ่มอย่างไม่เกรงใจเช่นนี้
เฉียนเฟยเซวียนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน บัดนี้ บนใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย
โหลวซานกวนกำลังรอฟังคำแก้ตัวจากหลินเป่ยเฉิน
เจิ้งหลงเซียงถอยหลังกลับไปอย่างแช่มช้า ไม่สนใจคำพูดของขันทีใหญ่สักคำเดียว
มีแต่เพียงเกาเฉิงฮั่นเท่านั้นที่เดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เพี๊ยะ!
เสียงสะบัดสายแส้ดังขึ้นในอากาศ
“อ๊าก…” ขันทีฉกรรจ์ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน ยกมือขึ้นมาปิดบังใบหน้าตนเอง
เลือดสีแดงสดไหลออกมาตามง่ามนิ้วมือของเขา
“หลินเป่ยเฉิน เจ้าตัวชั่วร้าย เจ้ากล้าดีอย่างไร…”
ขันทีใหญ่จ้องมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาไม่อยากเชื่อ
ในมือของหลินเป่ยเฉินมีแส้ตีม้าอยู่เส้นหนึ่ง เขาสะบัดสายแส้อีกครั้งพร้อมกับพูดว่า “เจ้าเป็นใครมาจากไหน ถึงกล้าพูดจาสามหาวใส่ข้าเช่นนี้? จงตายซะ…”
เพี๊ยะ!
เสียงแส้สะบัดดังขึ้นอีกครั้ง
“อ๊าก…” ผู้เป็นขันทีจากวังหลวงส่งเสียงร้องโหยหวนขณะล้มลงไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้นห้อง
บัดนี้ เขาพยายามโคจรพลังลมปราณ อาศัยวิทยายุทธ์ที่มีติดตัวหมายหลบหลีกสายแส้ แต่มันก็ยังไม่เป็นผล
“พวกเราจับตัวมันไปใช้แรงงานเป็นคนขุดหิน”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง
นายทหารในชุดเกราะสีเงินสองคนเดินเข้ามาลากขันทีฉกรรจ์กลับออกไปจากห้องโถงใหญ่ในไม่กี่ลมหายใจต่อมา
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้สามหนุ่มผู้มาจากวังหลวงต้องเบิกตาโต
ช่างอำมหิตเหลือเกิน!
ช่างบ้าอำนาจเหลือเกิน!!
แม้แต่ผู้ที่เป็นบุตรหลานขององค์จักรพรรดิก็ยังไม่บ้าอำนาจเช่นนี้เลย!!!
เจิ้งหลงเซียงหันกลับไปมองหน้าเกาเฉิงฮั่นโดยไม่รู้ตัว
หลินเป่ยเฉินก่อเรื่องวุ่นวายในค่ายทหาร ถือเป็นการฉีกหน้าเกาเฉิงฮั่นโดยตรง แล้วเกาเฉิงฮั่นจะไม่ทำอะไรสักหน่อยหรือ?
คิดไม่ถึงเลยว่านอกจากไม่ทำอะไรแล้ว เกาเฉิงฮั่นกลับยังมีสีหน้าผ่อนคลายสบายใจ ยืนมองขันทีใหญ่ถูกลากตัวออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นั่นเอง พวกของเจิ้งหลงเซียงจึงรู้ตัวแล้วว่าพวกตนเองประเมินสถานะของหลินเป่ยเฉินต่ำต้อยมากเกินไป
หลังจากนั้น เกาเฉิงฮั่นก็แจ้งข่าวแก่พวกเขาว่าเด็กหนุ่มคนนี้สามารถเลื่อนระดับพลังขึ้นมาอยู่ในขั้นเซียนได้สำเร็จแล้ว นั่นทำให้พวกของเจิ้งหลงเซียงตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง และสายตาที่จ้องมองหลินเป่ยเฉินก็แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“ท่าน… ใช่ ข้าหมายถึงท่านนั่นแหละ”
หลินเป่ยเฉินยกแส้ตีม้าในมือขึ้นชี้หน้าเจิ้งหลงเซียงและหัวเราะเยาะ “ท่านคือหัวหน้าองครักษ์เจิ้งใช่หรือไม่? ต่อจากนี้ไป ยามท่านจะพูดคำใดออกมา ขอให้คิดทบทวนดูให้ดี มิเช่นนั้นจะหาว่าข้าไม่เตือน เห็นว่าท่านเป็นขุนนางใหญ่โตมาจากทางวังหลวง ความผิดในครั้งนี้ข้าจึงปล่อยผ่านไปก่อน แต่หากยังมีครั้งหน้า ข้าก็จะฆ่าท่านในแบบฉบับที่ทำให้ตระกูลเจิ้งไม่กล้ากลับมาล้างแค้นเด็ดขาด ไม่ทราบว่าเข้าใจแล้วหรือไม่?”
ขณะนี้ เจิ้งหลงเซียงทั้งรู้สึกร้อนใจ โกรธแค้นและหวาดกลัว
เจิ้งหลงเซียงคิดไม่ถึงเลยว่าหลินเป่ยเฉินจะไม่มีเหตุผลถึงขนาดที่อยากฆ่าเขาไม่เลิกรา
แต่เขาจะทำอย่างไรได้?
อีกฝ่ายมีพลังอยู่ในขั้นเซียน
บัดนี้ เจิ้งหลงเซียงทำได้เพียงเก็บกดความโกรธแค้นและพยักหน้าตอบรับว่าเข้าใจเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินเก็บแส้ตีม้าและหันไปมองหน้าเกาเฉิงฮั่น ก่อนยิ้มอย่างอารมณ์ดี “พี่ใหญ่เกา ไม่ทราบว่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ ข้าทำรุนแรงเกินไปหรือไม่?”
เกาเฉิงฮั่นแอบสบถอยู่ในใจว่า เจ้าลูกเต่าตัวแสบ ถามแบบนี้จะให้เขาตอบว่าอย่างไรได้อีก?
“ฮ่าฮ่า เจ้าทำได้เหมาะสมแล้ว ก็เจ้ามีพลังระดับเซียนไม่ใช่หรือ?”
เกาเฉิงฮั่นพูดจบก็ระเบิดเสียงหัวเราะกลบเกลื่อนความอึดอัดใจ
หลินเป่ยเฉินได้แต่ส่ายศีรษะและถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย
เขาพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวังว่า “เฮ้อ พี่ใหญ่ก็น่าจะรู้นิสัยของข้าดีนะขอรับ ข้าไม่ได้อยากทำอะไรรุนแรงเช่นนี้เลย อีกอย่าง อาจารย์ของข้าก็สั่งสอนให้ต่อสู้กับผู้คนด้วยคุณงามความดี ข้าเป็นผู้ที่มีการศึกษาสูงส่ง หวังที่จะใช้ชีวิตอย่างราบเรียบสงบสุข แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด โลกใบนี้ถึงใจร้ายกับข้าเหลือเกิน ต้องมีบุคคลโง่เขลามากมายนับไม่ถ้วนมายั่วโมโหข้าอยู่ร่ำไป… ข้าจะบอกอะไรให้นะขอรับ บทลงโทษที่ข้ามอบให้แก่ขันทีผู้นั้น ยังถือว่าเป็นโทษสถานเบาด้วยซ้ำ”
เฉียนเฟยเซวียกับโหลวซานกวนหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก พวกเขาต่างก็เห็นแววตาตื่นตระหนกในดวงตาของกันและกัน
เพราะคำว่าโทษสถานเบาของเด็กหนุ่มนั้น น่าจะทำให้ขันทีฉกรรจ์แทบปางตายแล้ว
เจิ้งหลงเซียงก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าพูดคำใด
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้งว่า “จริงด้วยสิขอรับ ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่เการีบร้อนตามหาตัวข้าเช่นนี้ มีเหตุอันใดหรือ?”
เกาเฉิงฮั่นพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ข้าเรียกเจ้ามาเพื่อรับราชโองการจากวังหลวง”
“ราชโองการ?”
หลินเป่ยเฉินทวนคำด้วยความไม่อยากเชื่อ “ถูกส่งมาให้ข้าเนี่ยนะขอรับ?”
เรื่องที่เขาสามารถเลื่อนระดับพลังขึ้นสู่ขั้นเซียนและสามารถสังหารเหลียงหยวนเตาได้สำเร็จ ยังไม่น่าล่วงรู้ไปถึงหูคนในวังหลวงสักหน่อย
ราชโองการที่ถูกส่งมาหาเขาในครั้งนี้จึงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่ๆ
ถ้าอย่างนั้น…
เด็กหนุ่มหันกลับไปมองหน้าผู้ตรวจการจากวังหลวงเฉียนเฟยเซวียด้วยความสงสัย
เฉียนเฟยเซวียยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วม้วนกระดาษสีทองเหลืองอร่ามก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา ชายหนุ่มค่อยๆ คลี่เปิดม้วนกระดาษนั้น ลำแสงสีทองคำยิ่งแผดแสงสว่างเจิดจ้ามากขึ้นและมากขึ้น เฉียนเฟยเซวียยกม้วนกระดาษนั้นขึ้นอ่านข้อความที่อยู่ด้านในพลางกล่าวว่า “หลินเป่ยเฉินจงรับราชโองการ”
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ก่อนก้มศีรษะลงทำความเคารพ
“มีคำสั่งจากองค์จักรพรรดิเรียกตัวเจ้าเข้าสู่วังหลวงโดยเร็วที่สุด”
เฉียนเฟยเซวียอ่านข้อความเสียงดังฟังชัด
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความงุนงงเล็กน้อย
แค่นี้เองเหรอ?
จะเรียกตัวเขาเข้าวังหลวง?
เพราะอะไร?
ไม่คิดอธิบายเหตุผลสักหน่อยหรือไง?
คำสั่งเพียงหนึ่งประโยคสร้างความสงสัยให้เกิดขึ้นในหัวใจเป็นอย่างยิ่ง สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็ทนไม่ไหวต้องถามออกไปว่า “กราบเรียนท่านผู้ตรวจการเฉียน ข้าน้อยเป็นเพียงเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น เหตุไฉนองค์จักรพรรดิถึงต้องเรียกตัวเข้าวังหลวงด้วย?”
“เจ้าถามข้า แล้วข้าจะไปถามใคร?”
เฉียนเฟยเซวียยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร “เจ้าเอาราชโองการไปดูเองเถอะ”
หลังจากนั้น ม้วนกระดาษสีทองคำก็ลอยเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินอย่างช้าๆ
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นรับเอาไว้อย่างไม่เต็มใจ ขณะถามว่า “ท่านผู้ตรวจการเฉียนไม่รู้อะไรจริงๆ หรือขอรับ?”
เฉียนเฟยเซวียยังคงตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “หลังจากที่องค์ชายเจ็ดเดินทางกลับถึงวังหลวงได้อย่างปลอดภัย ทุกครั้งที่เข้าพบองค์จักรพรรดิ องค์ชายเจ็ดก็มักจะกล่าวถึงความดีความชอบของเจ้าอยู่บ่อยครั้ง… ไม่แน่ว่าการเรียกตัวเจ้าเข้าสู่วังหลวงในครั้งนี้ อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็เป็นได้”