เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 848 ผู้เสียชีวิต
ตอนที่ 848 ผู้เสียชีวิต
ปรากฏว่ามีการวางแผนร้ายอย่างนั้นหรือ?
เป้าหมายของการลอบสังหารครั้งนี้ก็คือเขา?
หลินเป่ยเฉินกัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น
มีคนอยากจะฆ่าเขาตั้งแต่ยังเดินทางไปไม่ถึงนครหลวงเลยหรือ?
ใครเป็นคนทำ?
ใครคือผู้ที่น่าสงสัยมากที่สุด?
แต่ไม่ว่าคิดดูเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็หาคำตอบไม่ได้
เขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาธรรมดาผู้หนึ่ง ทำไมถึงต้องฆ่าแกงกันด้วยล่ะ?
เรื่องนี้ต้องมีลับลมคมในแน่นอน
หลินเป่ยเฉินเริ่มคิดวิธีการสืบสวนคร่าวๆ อยู่ในใจ
“มีคนเสียชีวิตบ้างหรือไม่?”
เด็กหนุ่มถามด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจ
เสี่ยวเย่ลังเลเล็กน้อยก่อนตอบว่า “มีผู้เสียชีวิตมากมายเลยขอรับ บรรดาผู้ใช้ค่ายอาคมที่ควบคุมเรือเหาะลำนี้ต่างเสียชีวิตทั้งหมด แล้วคณะตัวแทนที่เดินทางมาจากวังหลวงก็เสียชีวิตไปถึงสองในสามส่วน ทางด้านกำลังพลของพวกเราเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายคน…”
ได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา
โหลวซานกวนในสภาพเลือดท่วมตัวเดินประคองเฉียนเฟยเซวียผู้อ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงเข้ามากล่าวว่า “เจิ้งหลงเซียงเสียชีวิตแล้ว…”
ครั้งนี้ คณะตัวแทนจากวังหลวงได้รับความเสียหายมากมายจริงๆ แม้แต่ผู้ที่ไม่สมควรตายก็ต้องมาถึงแก่ความตายโดยไม่ยุติธรรม หากเฉียนเฟยเซวียไม่ได้มีโหลวซานกวนผู้เป็นหนึ่งในหกราชองครักษ์คอยคุ้มกัน เกรงว่าเขาก็คงถูกระเบิดตายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยไปแล้วเช่นกัน
“บุคคลเลวทรามเช่นนั้นตายได้เสียก็ดี”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ราวกับไม่สนใจความตายของเจิ้งหลงเซียงแม้แต่นิด
จังหวะนั้น เซียวปิงเดินเข้ามารายงานด้วยใบหน้าอ้วนกลมที่เต็มไปด้วยคราบเขม่าดำ เสื้อผ้าที่สวมใส่ขาดวิ่นแทบทั้งตัว “ท่านพี่ขอรับ ม้าขาวของท่านตายแล้ว มันถูกไฟเผาเสียสุกไปทั้งตัวเลย…”
ระหว่างที่รายงาน น้องชายร่วมสาบานของเขาก็น้ำลายไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ว่าไงนะ?” เมื่อได้ยินการรายงานของเด็กหนุ่มร่างอ้วน หลินเป่ยเฉินก็อุทานออกมาด้วยความตกใจสุดขีด “ม้าของข้าตายแล้ว? เร็วเข้า รีบพาข้าไปดูเดี๋ยวนี้”
เฉียนเฟยเซวียกับโหลวซานกวนได้แต่หันมองหน้ากันด้วยความอ่อนใจ
เจิ้งหลงเซียงมีตำแหน่งเป็นถึงขุนนางระดับสูงจากวังหลวง เมื่อเสียชีวิตแล้วหลินเป่ยเฉินกลับไม่สนใจเลยสักนิด แต่เมื่อม้าของเขาตายบ้าง เหตุไฉนเด็กหนุ่มจึงได้เดือดเนื้อร้อนใจถึงเพียงนี้?
ชีวิตคนมีค่าต่ำต้อยกว่าชีวิตม้าอีกหรือ?
สองบุรุษหนุ่มพูดอะไรไม่ออกและต้องช่วยประคองกันเดินตามหลังหลินเป่ยเฉินไปต้อยๆ
หลังจากนั้น ทุกคนก็พบกับซากศพม้าขาวตัวหนึ่งที่ถูกไฟเผาจนดำเป็นตอตะโก กลิ่นเนื้อย่างลอยตลบอบอวลในอากาศ
ทำไมถึงมีกลิ่นหอมเช่นนี้นะ?
เฉียนเฟยเซวียกับโหลวซานกวนได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
“เจ้าม้าที่น่าสงสารของข้า ข้าเห็นเจ้ามาตั้งแต่ตัวเล็กตัวน้อย เจ้าสมควรได้ไปเดินเฉิดฉายอยู่ในวังหลวงแท้ๆ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะจากข้าไปเสียแล้ว…”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกเสียใจ
ฮื่อ
ม้าตัวนี้เป็นเขาเลือกมาเองกับมือ มันเป็นม้าที่มาจากสายพันธุ์ดีที่สุด ระหว่างการเลี้ยงดูได้รับประทานสมุนไพรวิเศษจากการจัดแจงของอานมู่ซี เจ้าม้าจึงเติบโตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์และแข็งแรง แต่มันกลับมาตายไปเสียอย่างนี้… นั่นก็เท่ากับว่าการลงทุนทุกอย่างของหลินเป่ยเฉินสูญสลายหายไปในพริบตา
เอ๋?
แต่ทำไมกลิ่นถึงหอมจังเลย?
หลินเป่ยเฉินจ้องมองซากศพของเจ้าม้า น้ำลายไหลหยดออกมาจากมุมปากไม่รู้ตัว
“หลังจากรับประทานสมุนไพรวิเศษเป็นอาหาร เนื้อของมันเมื่อผ่านการปรุงสุกแล้ว ก็น่าจะอร่อยเหมือนกันนะ?”
หลินเป่ยเฉินใช้เวลาคิดเพียงนิดเดียวเท่านั้น เขาก็เอื้อมมือออกไปบิเนื้อม้าออกมารับประทานคำหนึ่ง
หืม?
อาโหร่ยยยย!
ทันทีที่เนื้อม้าย่างสัมผัสกับปลายลิ้น รสชาติอันโอชาก็วิ่งผ่านไปทั่วช่องปาก
อร่อยเสียจนวิญญาณแทบหลุดลอยออกจากร่าง
กลิ่นก็หอมหวนชวนรับประทานยิ่งนัก
หลินเป่ยเฉินกินไปอีกหลายคำ
นับว่ามีรสชาติยอดเยี่ยมจริงๆ
“เจ้าม้าเอ๋ยเจ้าม้า คนเราเมื่อเกิดมาแล้วมีบุญคุณต้องทดแทน ข้าเลี้ยงดูเจ้ามาเป็นอย่างดี บัดนี้เมื่อเจ้าตายไปแล้ว ข้าก็จะขอกินเนื้อเจ้า เพื่อฟื้นฟูกำลังวังชาบ้างละนะ”
ใช่ ไม่เห็นเป็นเรื่องผิดปกติสักหน่อย
เมื่อปรับเปลี่ยนวิธีคิดของตัวเองได้แล้ว หลินเป่ยเฉินก็เริ่มต้นรับประทานเนื้อม้าโดยไม่รู้สึกผิดแม้แต่นิดเดียว
ทุกคนที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ต่างก็เบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
ความเปลี่ยนแปลงของเด็กหนุ่มอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขา
เซียวปิงยกมือปาดน้ำลายและสอบถามอย่างกระตือรือร้นว่า “อร่อยไหมขอรับท่านพี่?”
หลินเป่ยเฉินทำเหมือนไม่ได้ยิน
“ขอข้าลองชิมบ้างได้หรือไม่?”
เด็กหนุ่มร่างอ้วนถามออกมาด้วยความลังเลใจ
หลินเป่ยเฉินตอบกลับมาทั้งที่มีเนื้อม้าเต็มปาก “อย่ารบกวนคนกำลังกินอาหารสิ”
เซียวปิงอยากจะร้องไห้ แต่เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินก้มหน้าก้มตารับประทานโดยไม่สนใจผู้ใด เขาจึงแอบขยับเข้ามาบิเนื้อม้าชิ้นหนึ่งส่งเข้าปาก หลังจากนั้น ดวงตาของเด็กหนุ่มร่างอ้วนก็ต้องเบิกโต
อื้อหือ!
ทำไมถึงอร่อยขนาดนี้?
หลังจากนั้น สองพี่น้องร่วมสาบานก็นั่งก้มหน้าก้มตารับประทานซากม้าไหม้ไฟอย่างเอร็ดอร่อยยิ่งนัก
“ทุกคนเข้ามาลองชิมสิ”
หลินเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นมากวักมือเรียกกลุ่มคนที่ยืนดูอยู่รอบตัว
หลังจากนั้นเพียงพริบตาเดียว
เจ้าม้าขาวที่ถูกไฟไหม้เกรียมก็เหลือแต่โครงกระดูกเกลี้ยงเกลาเท่านั้น
บางคนถึงกับอร่อยจนสติเลอะเลือนไปชั่วคราว
พวกเขาไม่เคยรับประทานเนื้อม้าที่ไหนอร่อยเช่นนี้มาก่อน…ไม่ใช่สิ ต้องอธิบายว่าพวกเขาไม่เคยรับประทานเนื้อสัตว์ชนิดไหนอร่อยถึงขนาดนี้มาก่อน
“ท่านพี่อยากลองทุบกระดูกมันแล้วรับประทานไขกระดูกดูไหมขอรับ ข้าขอรับประกันเลยว่าอร่อยมาก…”
เซียวปิงเสนอแนะด้วยความกระตือรือร้น
เพี๊ยะ!
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นตบศีรษะเซียวปิงอย่างแรง ตวาดว่า “เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่? แค่ม้าของข้าตายก็ถือว่าน่าเศร้าใจมากพอแล้ว นี่เจ้าถึงกับคิดที่จะทุบกระดูกเพื่อกินไขกระดูกมันอีกหรือ… เอ่อ ว่าแต่ไขกระดูกที่เจ้าว่า มันอร่อยจริงๆ ใช่ไหม?”
เฉียนเฟยเซวียกับโหลวซานกวนได้แต่ยืนกะพริบตาปริบๆ
หลินเป่ยเฉินยังกล้าเรียกตนเองว่าเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งอยู่อีกหรือ?
เป็นอีกครั้งที่พวกเขาได้เห็นตัวตนในมุมใหม่ของหลินเป่ยเฉิน
กลุ่มคนที่รวมตัวกันอยู่รอบกายเด็กหนุ่มต่างก็ประหลาดใจทั้งสิ้น
เฉียนเฟยเซวียถึงกับคิดด้วยความวิตกกังวลว่า ขนาดม้าสุดที่รักหลินเป่ยเฉินยังกินได้ลงคอ แล้วยังจะมีเรื่องอะไรที่หลินเป่ยเฉินทำไม่ได้บ้าง?
ส่วนโหลวซานกวนก็กำลังคิดว่า นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้หลินเป่ยเฉินสามารถเลื่อนระดับพลังได้อย่างรวดเร็วสินะ? เพราะความที่สามารถทำได้ทุกอย่างเช่นนี้ หลินเป่ยเฉินจึงเลื่อนระดับขึ้นมากลายเป็นยอดฝีมือขั้นเซียนได้ในระยะเวลาอันสั้น?
…
สายลมและหิมะยิ่งมายิ่งรุนแรง
เข้าสู่ยามค่ำแล้ว
คณะตัวแทนจากนครหลวงได้รับความเสียหายหนักหน่วง ผู้คนสองในสามของพวกเขาเสียชีวิตไปจากเหตุเรือเหาะระเบิด
ส่วนสมาชิกหน่วยผู้พิทักษ์สีเงินซึ่งติดตามมาอารักขาหลินเป่ยเฉินเสียชีวิตไปทั้งสิ้นสามคน
แต่เมื่อได้รับประทานเนื้อม้ากันอย่างถ้วนหน้า จิตใจของนายทหารผู้รอดตายก็ฟื้นฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
หลังจากปรึกษาหารือกันเล็กน้อย พวกเขาก็ตัดสินใจตั้งค่ายพักแรมกลางหุบเขาหิมะแห่งนี้
อุณหภูมิหนาวเย็น แต่โชคดีที่ทุกคนมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ขึ้นไปทั้งสิ้น ความหนาวเย็นเหล่านี้จึงไม่ใช่ปัญหา
หลินเป่ยเฉินใช้วงแหวนวารีทำการรักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ
ขอแค่พวกเขายังมีลมหายใจ เด็กหนุ่มก็สามารถรักษาได้อย่างไม่มีปัญหา
ทุกคนต่างขอบคุณหลินเป่ยเฉิน
กระโจมหลังใหญ่ถูกกางบริเวณเนินเขาหิมะ มีการสร้างค่ายอาคมรอบกระโจมเพื่อรักษาอุณหภูมิด้านในให้เหมาะสมต่อการพักผ่อน
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินกำลังเตรียมน้ำอุ่นให้เด็กหนุ่มเข้าไปอาบ
รอบๆ กระโจมหลังนี้ยังมีกระโจมสีเงินหลังเล็กอีก 20 หลังถูกกางออก เพียงมองดูก็รู้ว่ากระโจมเหล่านี้มีราคาแพงระยับ ซ้ำอุปกรณ์ทุกอย่างยังผ่านการเล่นแร่แปรธาตุและลงค่ายอาคมมาเป็นอย่างดีอีกด้วย
มีเพียงกระโจมของสมาชิกหน่วยผู้พิทักษ์สีเงินเท่านั้นที่ไม่มีค่ายอาคมพิเศษ แต่พวกเขาก็มีฉนวนกันความร้อนและฉนวนกันเสียงคุณภาพสูง ซึ่งเพียงเท่านี้ก็เพียงพอต่อการหลับนอนแล้ว
นี่เป็นผลมาจากตอนก่อนออกเดินทาง สำนักผู้ใช้ค่ายอาคมและนักเล่นแร่แปรธาตุประจำหมู่บ้านผู้อพยพชาวเมืองหยุนเมิ่งต้องทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ เพื่อผลิตอุปกรณ์ออกมาให้ได้ตามที่คุณชายหลินต้องการ
สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่ว่าคุณชายหลินต้องการสิ่งใด พวกเขาก็ต้องพยายามทำออกมาให้ดีมากที่สุด
เพราะทุกคนรู้ดีว่าคุณชายหลินต้องการให้นายทหารหน่วยผู้พิทักษ์สีเงินมีศักดิ์ศรีเทียบเท่ากับเหล่าคณะตัวแทนที่มาจากนครหลวง
ดังนั้น ถึงกระโจมที่พักของพวกเขาจะไม่มีค่ายอาคมพิเศษ แต่ด้านในก็มีขนาดกว้างขวาง สะอาดสะอ้าน ช่วยป้องกันความหนาวเย็นและเสียงรบกวนได้เป็นอย่างดี
กระโจมที่พักเหล่านี้สามารถกันเสียงข้างนอกเข้ามาข้างในและกันเสียงข้างในดังออกไปรบกวนข้างนอก เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงสามารถใช้กระโจมเป็นสถานที่ฝึกวิชาได้อย่างไม่มีปัญหา
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินมาปรากฏตัวอยู่หน้ากระโจมที่พักของหน่วยผู้พิทักษ์สีเงินหมายเลขสี่
เยว่เว่ยหยางสวมใส่ชุดเครื่องแบบของนายทหารประจำหน่วยส่ายศีรษะตอบกลับมาว่านางไม่เป็นไร
การระเบิดก่อนหน้านี้มีความรุนแรงมากเสียจนเยว่เว่ยหยางที่เพิ่งจะฟื้นฟูพลังกลับขึ้นมาอยู่ในขั้นเซียน ก็ยังรับรู้ได้ถึงอันตรายอย่างชัดเจน
“มีคนตั้งใจจะระเบิดเรือเหาะเพื่อสังหารเจ้า”
เยว่เว่ยหยางพูด “ศูนย์กลางแรงระเบิดมาจากห้องพักของเจ้า บัดนี้ เจ้ามีพลังอยู่ถึงระดับเซียน การที่ใครสักคนจะแอบนำระเบิดมาวางไว้ในห้องพักของเจ้าโดยที่เจ้าไม่รู้ตัวคือเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ นี่หมายความว่าผู้ลงมือจัดเตรียมทุกอย่างมาเป็นอย่างดี และรู้รายละเอียดทั้งหมดว่าบนเรือเหาะลำนี้ มีใครบ้างที่จะโดยสารกลับสู่นครหลวง”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าตอบกลับไป “ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน เสียแต่ว่ายังไม่มีหลักฐาน”
“ความจริงคืนนี้เจ้าไม่ควรให้ทุกคนพักที่นี่เลย เพราะอีกฝ่ายหนึ่งอาจจะตามมาไล่ฆ่าเจ้าอีกครั้งก็เป็นได้”
เยว่เว่ยหยางพูดออกมาด้วยความห่วงใย
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปาก “เพราะเหตุนี้แหละ ข้าจึงอยากจะรอพวกมันอยู่ที่นี่”
เหตุการณ์เรือเหาะระเบิดทำให้มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก นี่ถือเป็นความแค้นที่หลินเป่ยเฉินจะปล่อยผ่านไปไม่ได้เด็ดขาด
เยว่เว่ยหยางกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วสีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนไปขณะเอ่ยว่า “แต่ที่นี่…”